EP.04 #ไร้ร่องรอย

1361 Words
ณ ร้านกาแฟย่านโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง บริเวณโต๊ะติดกระจกชั้นลอยปรากฏร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ เขาสวมชุดสูทหรูหราราคาแพงนั่งไขว่ห้าง ดวงตาคมเข้มดุจเหยี่ยวหรี่มองไปทางถนนหน้าร้าน เฝ้ามองผู้คนเบื้องล่างเดินผ่านไปมา “นายควรจะเลิกมาที่นี่สักทีนะ ไฟซัล” เสียงทักท้วงจากร่างสูงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างไม่ได้ทำให้สายตาคมละไปจากถนนเลยสักนิด เขายังคงไล่สายตามองผู้คนเบื้องล่างทีละคน ทีละคน โดยเฉพาะเด็กสาวในชุดนักเรียนนานาชาติซึ่งคือจุดประสงค์หลักในการมานั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะมุมนี้… มุมที่มองเห็นเบื้องล่างได้อย่างสะดวก “อย่าเพิ่งขัดอารมณ์ฉันได้ไหม วันนี้หมดเวลางานแล้ว นายจะไปไหนก็ไปสิ” ไฟซัล รองประธานหนุ่มเอ่ยปากไล่โดยไม่ชายตามองคนข้างกาย ทำเอาคนถูกไล่ถอนหายใจดังเฮือก มือหนาคลายเนกไทออกลวก ๆ ทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม คราวนี้เรียกสายตาคมให้ละกลับมามองได้สำเร็จ “บอกให้กลับ ไม่ใช่ให้นั่ง” “หมดเวลางานแล้วนี่ ฉันไม่ใช่เลขานายแล้ว” อลัน เลขาหนุ่มมาดเข้มตอบด้วยน้ำเสียงยียวนหน่อย ๆ นอกจากเขาจะรั้งตำแหน่งเลขาของท่านรองประธานแล้ว เขายังเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทของไฟซัลอีกด้วย “เหอะ ทุกวันนี้ฉันก็แยะไม่ออกอยู่แล้วว่าใครเป็นเจ้านายใครเป็นลูกน้องกันแน่” ไฟซัลเบะปากใส่ก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปมองเหล่าเด็กนักเรียนวัยใสเช่นเดิม กาแฟถูกยกขึ้นจิบเบา ๆ ดับอารมณ์ขุ่นมัว “นายเหมือนโรคจิตเข้าไปทุกวันแล้วนะ คิดจะนั่งมองเด็กพวกนั้นไปถึงเมื่อไหร่ ทำแบบนี้มาเกือบสิบปีแล้ว เหมือนตาลุงโรคจิตชะมัด” “นายสิตาลุง!” คนถูกกล่าวหาว่าเป็นตาลุงโรคจิตหันขวับมาจิกตาใส่ทันที กล้าดียังไงมากล่าวหาว่าคนหล่อแถมยังโคตรอัจฉริยะอย่างเขาเป็นตาลุงโรคจิตกัน เขาคือไฟซัล แวนเนอร์นะ ทายาทเพียงคนเดียวของ แวนเนอร์กรุ๊ป บริษัทน้ำหอมรายใหญ่ของประเทศ แถมเขายังมีดีกรีเป็นถึงนักวิจัยยอดอัจฉริยะที่มีรางวัลโนเบลการันตีนับไม่ถ้วน กล้าดียังไงมากล่าวหาเขาแบบนี้กัน อลันชักจะหาญกล้าเกินไปแล้ว! “นายรู้ใช่ไหมว่านี่มันผ่านมาสิบปีแล้ว” น้ำเสียงเบื่อหน่ายปนเหนื่อยใจของอลันเอ่ยถามคำถามเดิม ๆ ที่เขามักจะถามไฟซัลมาตลอดเวลาสิบปี คนถูกถามวางแก้วกาแฟลงบนจานรอง ดวงตาคมปรายมองเลขาคนสนิท สีหน้าทะมึนทึงทันตา “ใช่ มันผ่านมาสิบปีแล้ว… สิบปีที่เด็กคนนั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าฉันจะทุ่มเงินหรืออำนาจในการสืบหาตามหาแค่ไหนก็ไม่เคยพบเบาะแสอะไร ฮึ… อย่าว่าแต่เบาะแส แม้แต่ชื่อของเธอยังหาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” เป็นเวลาเกือบสิบปีนับตั้งแต่วันที่ไฟซัลพบกับเด็กสาวคนนั้นบนสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยานั่น หลังจากนั้นเขาตามหาเธออย่างไม่หยุดพัก ไม่ว่าจะทุ่มเงินมหาศาลขนาดไหนหรือจ้างนักสืบฝีมือดีแค่ไหน แต่ก็ยังไร้วี่แววของเธออยู่ดี จนบางครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องคืนนั้นมันเป็นแค่ความฝันหรือความเมาจนเพ้อของตัวเขาเองหรือเปล่า หนทางเดียวที่พอจะช่วยปลอบประโลมความโหยหาเธอคนนั้นได้ก็คือการมานั่งมองชุดเครื่องแบบนักเรียนนานาชาติที่เธอคนนั้นเคยสวมใส่ตอนนั้นนี่แหละ เพราะมันคือสิ่งที่เขาจดจำได้และเป็นสิ่งเดียวที่พอจะยืนยันว่าเรื่องคืนนั้นไม่ใช่ความเพ้อฝันไปเองของเขา “มันผ่านมาสิบปีแล้ว เด็กคนนั้นเวลานี้คงจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การที่นายมานั่งมองพวกเด็กมัธยมเหล่านี้บ่อย ๆ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะไฟ นายควรเลิกมาที่นี่ได้แล้ว นี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะพูด” บนโลกใบนี้ไม่มีใครรู้จักไฟซัลดีเท่าอลันอีกแล้ว เขาคือคนที่รู้ทุก ๆ เรื่องของไฟซัล เป็นทั้งสมอง มือ และเท้า เขาเป็นทุก ๆ อย่างเท่าที่จะเป็นให้ไฟซัลได้ ทั้งเพื่อนที่รู้ใจ ทั้งลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ เพียงแค่มองตาเขาก็รู้แล้วว่าไฟซัลคิดอะไร เหมือนเช่นเวลานี้… ไฟซัลกำลังจมอยู่ในอดีตอีกแล้ว ข้อดีข้อเดียวของการพบกันระหว่างไฟซัลกับเด็กสาวปริศนาคนนั้นคือการที่ตัวตนของเธอช่วยฉุดรั้งไฟซัลออกมาจากอดีตอันแสนเศร้าได้ นับตั้งแต่วันนั้นไฟซัลเอาแต่หมกมุ่นกับการตามหาเธอมาตลอดเวลาสิบปี เขาใช้เธอเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว เป็นจุดมุ่งหมายในการมีชีวิตอยู่ต่อไป ผู้หญิงที่ไฟซัลสามารถสวมกอดได้… เด็กสาวคนนั้นเขาจะต้องตามหาเธอให้พบ! . . . “ต้องใส่ชุดนี้ด้วยเหรอ พี่ว่ามันออกจะ… น่าอายเกินไป” ไลลานาทำหน้าลำบากใจ ในมือถือเครื่องแบบนักเรียนจากโรงเรียนเก่าของเธอ ดวงตาหวานกวาดมองรุ่นน้องคนสนิทที่ตอนนี้กำลังสวมเครื่องแบบเดียวกันกับในมือของเธออยู่ “ไม่น่าอายหรอกพี่ไลลา เรามาอยู่แถวโรงเรียนเก่าก็ควรใช้ความเป็นศิษย์เก่าให้เป็นประโยชน์ อีกอย่างหนูขออนุญาต ผอ. แล้วค่ะ พี่ไปเปลี่ยนชุดมาเถอะ” ริตา รุ่นน้องสาววัยยี่สิบสองผลักดันแผ่นหลังรุ่นพี่คนสวยไปทางห้องน้ำผู้หญิง ตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง พวกเธอเข้ามาที่นี่เพื่อพาไลลานาเข้ามาเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ “แต่ว่า… พี่อายุยี่สิบห้าแล้วนะ จะให้พี่ใส่มันจริง ๆ เหรอริตา” เรื่องที่ไลลานากังวลไม่ใช่เรื่องผู้อำนวยการโรงเรียน แต่เป็นเรื่องวัยของเธอต่างหาก จะให้ผู้หญิงที่อายุเกินวัยมัธยมมาเกือบสิบปีอย่างเธอสวมเครื่องแบบนักเรียนเนี่ย นะ… น่าอายเกินไปแล้ว! “โธ่! อายุยี่สิบห้าอะไรกันคะ หน้าพี่ยังเด็กกว่าหนูอีกนะ เชื่อหนูเถอะน่า ไปเปลี่ยนชุดเถอะค่ะ ทุกคนรอพี่อยู่นะ” “แต่เราแค่มาเปิดโครงการให้มูลนิธินะริตา ทำไมต้องใส่ชุดนักเรียนแบบนี้ด้วยล่ะ” ไลลานายังพยายามแย้งรุ่นน้องสาว จุดประสงค์ที่พวกเธอมาในวันนี้คือการจัดโครงการให้กับทางมูลนิธิเพื่อหาผู้อุปถัมภ์รายใหม่ที่ถนนสายนี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเก่าของพวกเธอ และคนที่คิดภารกิจในวันนี้ก็คือริตานี่แหละ เธอเป็นคนเสนอแนวคิดนี้ขึ้นมาโดยมีทุกคนในกลุ่มอาสาร่วมสนับสนุนด้วย “พี่ไลลานี่ละก็… มันเป็นคอนเทนต์ค่ะคอนเทนต์ สมัยนี้เราต้องรู้จักคิดคอนเทนต์แปลกใหม่ แล้วใช้สื่อโซเชียลให้เป็นประโยชน์ ถ้าเราสวมชุดนักเรียนมัธยมแบบนี้ เราจะได้รับความสนใจมากกว่า” “แต่มันเหมือนเราหลอกลวงทุกคนนะ” ริตาส่ายหน้าอย่างรู้สึกเหนื่อยใจหน่อย ๆ เธอลากรุ่นพี่สาวเข้ามาในห้องน้ำสำเร็จ “เราไม่ได้บอกว่าเราคือนักเรียนมัธยมนี่คะ จะเรียกว่าหลอกลวงได้ยังไง พี่ก็คิดซะว่ามันเป็นเครื่องแบบอาสาสิ” “แต่…” “ไม่มีแต่แล้วค่ะ ถ้าพี่ยังอยากจะช่วยมูลนิธิก็รีบเปลี่ยนชุดเถอะ เราไม่มีเวลาแล้วนะคะ” ปัง ประตูห้องน้ำถูกบังคับปิดอย่างตัดบท ไลลานากะพริบตามองบานประตูปริบ ๆ ในมือยังคงถือเครื่องแบบนักเรียนมัธยมค้างเอาไว้ นี่ฉันต้องใส่มันจริง ๆ น่ะเหรอ?
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD