บทนำ
จันทร์เพ็ญส่องสกาวกลางท้องฟ้ายามราตรี หมู่ดารากะพริบแสงริบหรี่ลงคล้ายพยายามหลบเร้น
ใครบางคนยืนแหงนหน้ามองภาพเดือนและดาวจุดประกายแสงสว่างด้วยแววตาเหม่อลอย มือเรียวยาวเอื้อมคว้าไปกลางอากาศ ทำราวกับว่าต้องการสัมผัสจับดวงจันทราที่อยู่สูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง
จนเมื่อภวังค์ที่ลอยละล่องไปไกลคืนกลับ ชายหนุ่มในอาภรณ์สีม่วงเนื้อดีจึงแย้มยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันในความโง่งมของตน
เขาลดแขนลงแล้วจ้องมองเนื้อผ้าที่ตนสวมใส่ แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนหยิบยืมผ้าอาภรณ์ผืนนี้มาใช้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่คุ้นชิน
จนเมื่อแว่วเสียงตีกลองบอกเวลาว่าเข้าสู่ยามจื่อ (23.00-00.59) ชายหนุ่มจึงก้าวถอยออกห่างจากระเบียงหน้าต่าง ณ ชั้นบนสุดของหอว่านเหอ อันเป็นหอนายโลมอันดับต้น ๆ ของแคว้นเฉิน
***
ชุดฮั่นฝูกรุยกรายที่กำลังสวมใส่ยังคงสร้างความรู้สึกเงอะงะให้กับเขาเสมอยามก้าวเดิน ร่างเพรียวเยื้องย่างไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่ตั้งอยู่มุมห้องเพื่อหยิบเอาผ้าคาดตาที่ปักลวดลายดอกเหลียนฮวาสีขาวนวล (ดอกบัว) ขึ้นมาถือ จากนั้นจึงลากเท้าไปยังตั่งเตียงที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อรอการใช้งาน
ผ้าคาดเนื้อบางถูกผูกจนแน่น เขาพยายามตรวจสอบเพื่อความมั่นใจว่าผ้าผืนนี้จะไม่หลุดหล่น จนเมื่อขยับซ้ายขยับขวาจนพอใจ มือเล็กจึงลดลงมาประสานเอาไว้ที่ตัก
กลิ่นกำยานบางเบาที่ถูกจุดเคยทำให้เขาประหม่าจนแทบคลั่ง เสียงดนตรีที่ค่อย ๆ เงียบลงจากภายนอกครั้งหนึ่งสามารถทำให้เขาเสียขวัญ ทว่ายามนี้สิ่งเหล่านั้นดูคล้ายกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปเสียแล้ว
แม้แต่ยามที่ประตูห้องนอนถูกเปิดออกพร้อมกับการมาเยือนของใครบางคน ก็ไม่อาจทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกได้อีกต่อไป
คนบนเตียงส่งยิ้มให้กับ ‘แขกพิเศษ’ ผู้ที่จะมาเยือนสถานที่แห่งนี้ในทุกคืนจันทร์เพ็ญ แม้ผ้าคาดตาจะสามารถบดบังใบหน้าของแขกพิเศษขาประจำผู้นี้ให้เลือนลง แต่ในห้วงจินตนาการของเขานั้น กลับสามารถมองเห็นใบหน้าเย็นชาของคนผู้นี้ได้อย่างชัดเจน
ฝีเท้าก้าวเดินอย่างหนักแน่นตามวิสัย เจ้าของห้องผู้ปิดตาตามกฎที่ถูกตั้งเอาไว้ตั้งแต่ราตรีแรกแว่วได้ยินเสียงเสียดสีของเนื้อผ้าที่ถูกถอดออก มันถูกพาดวางทิ้งเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง ตามมาด้วยเสียงโลหะกระทบดังอย่างอ้อยอิ่ง
คนนั่งรอบนเตียงรู้สึกจนใจไม่น้อย เพราะดูเหมือนว่าแขกผู้นี้คงเพิ่งกลับมาจากนอกด่านเป็นแน่แท้ เขาล่ะนึกอยากเปิดปากต่อว่าอีกฝ่ายสักหน มีอย่างที่ไหนใส่เครื่องแบบแม่ทัพเดินเข้าหอโคมเขียว ไม่รู้จะเรียกได้ว่าองอาจกล้าหาญหรือหน้าด้านหน้าทนดี
แม้ในใจจะมีคำพูดนับร้อยพัน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกไปแม้ครึ่งคำ มีเพียงรอยยิ้มบางที่ประดับเอาไว้ไม่จางหายและการที่ผู้สวมตำแหน่งเจ้าของห้องขยับตัวเล็กน้อย โดยหมายเว้นที่ว่างบนเตียงนอนให้มากขึ้นอึดใจต่อมาแขกผู้มาเยือนก็เดินมานั่งลงเคียงกัน
ระหว่างพวกเขาไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ย จะมีเพียงการขยับเข้าใกล้อย่างเป็นธรรมชาติ ร่างเพรียวในอาภรณ์สีม่วงเอนอิงซบกับอกแกร่ง ใบหูแนบลงเพื่อสดับฟังเสียงชีพจรที่เต้นอย่างมั่นคง จมูกสูดดมกลิ่นกายบุรุษแบบเฉพาะตัวของคนผู้นี้ ก่อนมือเล็กทั้งสองข้างจะกอบกุมมือแกร่งของอีกฝ่ายขึ้นมา พลางก้มลงประทับริมฝีปากลงไปที่ปลายนิ้วหยาบกร้านจากการเคี่ยวกรำทำศึกในสนามรบมานานหลายปี
กริยาออดอ้อนอ่อนหวานทำให้ร่างเพรียวถูกรวบกอด ก่อนจะถูกพลิกกดลงกับเตียงนอนในวินาทีต่อมา อาภรณ์ที่เดิมก็ไม่ได้ถูกสวมให้แน่นหนาอันใด ยามนี้จึงเลื่อนคลายออกเผยผิวเนียนใต้ร่มผ้าออกมาล่อสายตาคนมอง ใบหน้าของพวกเขาห่างกันไม่ถึงคืบ คนที่คร่อมทับเหนือร่างเริ่มซุกไซ้ปลายจมูกสูดดมกลิ่นกรุ่นจากเนื้อนวล
ช่างน่าประหลาดที่กลิ่นกายของนายบำเรออันดับหนึ่งแห่งหอว่านเหอ หาใช่กลิ่นเครื่องหอมหรือดอกไม้ตามที่เคยได้ยินคำร่ำลือ
แต่มันกลับคล้ายกลิ่นแป้งสาลีที่ถูกนำมานวดและนึ่งจนกลายเป็นหมั่นโถวลูกขาวอวบน่ากิน
พอสมองจินตนาการภาพของกินขึ้นมา ปฏิกิริยาทางร่างกายก็ตอบรับโดยพลัน ลำคอของแขกพิเศษในค่ำคืนนี้แห้งผาก เขาเลียริมฝีปากของตนด้วยความรู้สึกหิวกระหายที่ไม่อาจยับยั้ง สุดท้ายจึงฝังเขี้ยวลงบนลาดไหลเล็ก ฝากรอยฟันบาง ๆ เอาไว้บนผิวกายนุ่ม
คนโดนกัดไม่ส่งเสียงร้องใด ๆ ออกมา ทำเพียงขบเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อสกัดกั้น ไม่ให้มีสุ้มเสียงใดเล็ดลอด
ห้ามจ้องมอง...เพราะแบบนั้นเขาจึงได้คาดปิดดวงตาเอาไว้
ห้ามเอ่ยวาจา...เพราะแบบนั้นเขาจึงได้พยายามข่มเสียงไว้ในลำคอ
ห้ามใช้มารยาสาไถย...เพราะแบบนั้นเขาจึงออดอ้อนอย่างใสซื่อ
ห้ามขัดขืน...เพราะแบบนั้นเขาจึงโอบกอดคนผู้นี้เอาไว้อย่างแนบแน่น
นี่คือกฎไม่กี่ข้อที่ถูกตั้งขึ้นระหว่างเรา นับตั้งแต่คืนจันทร์เพ็ญราตรีแรกที่ความสัมพันธ์เช่นนี้เริ่มต้น จวบจนวันเพ็ญครั้งที่สิบสองเช่นค่ำคืนนี้
เมื่อถึงช่วงเวลาราตรีกาล นายท่านผู้นี้จะปรากฏกายในยามจื่อ (23.00-00.59) เพื่อร่วมอภิรมย์กับ ฟางซิน นายโลมอันดับหนึ่งแห่งหอว่านเหอ เขาจะกกกอด ส่วนตัวข้ามีหน้าที่ทอดกาย เราสองเริงรักเร่าร้อน ราวต้องการหลอมรวมกลายเป็นหนึ่ง
จวบจนเมื่อทิวากรมาเยือน ความแนบชิดสนิทเนื้อดูคล้ายเลือนรางไม่ต่างจากภาพฝัน นายท่านผู้นั้นจากไปช่วงยามอิ๋น (3.00-4.59) เสมอ
อุ่นไอที่เคยร้อนระอุจางหายจนเย็นชืด สิ่งที่หลงเหลือไว้เป็นหลักฐานของค่ำคืนที่พ้นผ่าน มีเพียงรอยยับย่นของผ้าปูที่นอน และเงินแปดตำลึงทองบนโต๊ะข้างเตียง
***