04

1287 Words
“ข้าว่าแล้วเจ้าต้องมา” นี่คือคำทักทายแรกของผู้เป็นเจ้าของห้องทันทีที่เห็นว่าผู้ใดมาเยือน ผู้กล่าวทักมีนามว่า ฟางซิน เด็กหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบาง ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตาดอกท้อฉายแววเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่มันกลับยิ่งขับให้บรรยากาศรอบกายของเขาดูคล้ายภูตจิ้งจอกยามทอดกายอาบแดดอย่างสบายอารมณ์เสียมากกว่า ท่าทางเย้ายวนใจแม้แต่ยามนอนเอกเขนกอย่างเกียจคร้านเช่นนี้ ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งนายโลมอันดับหนึ่งแห่งหอว่านเหอ “จริงหรือไม่?” เสี่ยวเม่ยวิ่งรุดเข้าไปทรุดตัวนั่งลงที่พื้น มือเกาะขอบตั่งเตียงของอีกฝ่าย พร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยแววคาดหวัง ฟางซินเหลือบมองเจ้าคนที่กระตือรือร้นไม่ต่างจากยามลูกกระรอกถือเมล็ดทานตะวันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาไม่พยักหน้า เพียงแต่เอ่ยตอบกลับมาลอย ๆ “พ่อบ้านจางเพิ่งกลับไปเมื่อครู่” ซึ่งคำเอ่ยนั้นก็แทนเครื่องยืนยันได้แล้วว่าเรื่องเล่าลือในตลาดที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริง เสี่ยวเม่ยรู้สึกหมดแรงขึ้นมาเสียเฉย ๆ มือที่เกาะขอบเตียงตกลงพื้นราวไร้กระดูก ริมฝีปากอิ่มคว่ำลงตามอารมณ์ที่ดำดิ่งสู่ความผิดหวังไม่รู้จบ ความชื่นชมในใจของเสี่ยวเม่ยที่มีต่อเฉินฮ่าวเทียนนั้น เรียกได้ว่าก่อเกิดมาจากการคิดเพ้อฝันไปเสียหลายส่วน ยามเฉินฮ่าวเทียนได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค เสี่ยวเม่ยอายุได้ราวหกขวบซึ่งนับเป็นช่วงวัยที่พอจะรู้ความแล้ว จึงสามารถกล่าวได้ว่าเขาเติบโตมากับการได้ยินชื่อเสียงเรียงนามและกิตติศัพท์เลื่องลือของเฉินฮ่าวเทียนจนอายุเข้ายี่สิบสองปี เฉินฮ่าวเทียนเป็นผู้มีความมุ่งมั่น ฝีมือการรบเก่งกาจสามารถ เชี่ยวชาญวิชาทั้งบู๊และบุ๋น ที่สำคัญนั้นยังเป็นผู้ยึดมั่นในรัก ไม่เจ้าชู้มากเล่ห์ ข้อดีมากมายเพียงนี้ราวกับเทพเซียนเลยไม่ใช่หรือ รูปโฉมงดงาม องอาจกล้าหาญ จิตใจมั่นคงดุจหินผา ที่กล่าวมาล้วนควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญและเทิดทูนเอาไว้บนหิ้งเลยไม่ใช่หรือ แต่แล้วเหตุใด เทพเซียนในใจของเสี่ยวเม่ยผู้นี้ถึงได้เลือกเดินย่ำลงมาบนเส้นทางสายโลกีย์เสียแล้ว คิดอยากมีรักใหม่ก็มีไปเถิด แต่ใยเลือกเดินเบี่ยงมายังเส้นทางนี้ได้เล่า! ภาพท่านแม่ทัพในจินตนาการที่เขาตั้งเอาไว้ว่าสูงส่งเทียมฟ้าแหลกสลายลงไม่เหลือชิ้นดี “เป็นอะไร...เข่าอ่อนเลยรึ” ฟางซินเอ่ยออกมาเสียงกลั้วหัวเราะ ท่าทางราวกับโลกถล่มของสหายผู้นี้มองดูไปก็น่าขันไม่น้อย เรื่องความชื่นชอบที่เสี่ยวเม่ยมีต่อเฉินฮ่าวเทียนนั้น หากเขาไม่รับรู้ก็นับว่าโง่เต็มทนแล้ว เจ้าตัวดีวัน ๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่เอ่ยยกย่องเชิดชูแม่ทัพประจิมผู้นั้นราวกับเป็นเทพเซียนลงมาจุติ สิ่งดีสิ่งใดที่พบล้วนกล่าวว่าเหมาะสมกับเฉินฮ่าวเทียนทั้งสิ้น แม้จะนึกเวทนาอยู่บ้างที่ภาพฝันของสหายต้องพังลง แต่ฟางซินก็อารมณ์ดีไม่น้อยเลย เพราะอย่างน้อยวันนี้ได้มีคนตาสว่างเสียที รับรู้ขึ้นมาบ้างว่าดวงจันทร์ที่อีกฝ่ายเทิดทูนหาใช่เทวดาจากชั้นฟ้าที่ไหน แต่เป็นมนุษย์เดินดินผู้หนึ่งเหมือนกันนั้นแล “ละ...แล้วเขาจองตัวผู้ใด...พี่หมิงเฟยหรือ” เสี่ยวเม่ยเอ่ยถามเสียงสั่นหลังจากรวบรวมสติอยู่พักใหญ่ หมิงเฟยที่เอ่ยถึงนั้น คือนายโลมชื่อดังอีกผู้หนึ่งของหอนายโลมแห่งนี้ “ยังไม่รู้เลย...ข้าก็มารอฟังอยู่นี่ล่ะ...เห็นว่าเขียนเงื่อนไขมาวุ่นวายเหลือเกิน” ฟางซินตอบกลับ ความจริงเขาก็กำลังรอการประกาศจากท่านแม่อยู่เช่นเดียวกัน ใจอยากจะรู้นักว่าพี่น้องคนใดในหอกันหนอจะถูกเลือกให้ได้ปรนนิบัติรับใช้แม่ทัพประจิมในคืนจันทร์เพ็ญที่กำลังมาเยือนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทันใดนั้นเอง ประตูห้องพักของฟางซินถูกเลื่อนเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของสตรีนางหนึ่ง “อ้าวอาเม่ย...วันนี้ไม่ได้ไปตั้งแผงหรอกรึ” แม่เล้าลี่จินเอ่ยทักทายหลังจากที่ก้าวเข้ามาในห้องและพบว่านอกจากคนที่นางมีธุระด้วยแล้ว มีใครอีกคนอยู่ด้วยเช่นกัน “ทะ...ท่านป้า...คือว่า” เสี่ยวเม่ยละล่ำละลักตอบกลับ ในขณะที่ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่งามจ้องมองที่เทียบจองตัวเล่มสีน้ำเงินเข้มในมือของผู้มาเยือน ลี่จินมองตามสายตาของเด็กหนุ่มที่นางรักใคร่เอ็นดู ก่อนจะเอ่ยถาม “อ่อ...นี่น่ะหรือ? ” นางยกเทียบเชิญที่เพิ่งได้รับขึ้นมาโบกไปมา และก็ได้รับการพยักหน้ารัวจนจุกผมที่มัดรวมเป็นก้อนกลม ๆ บนศีรษะของเสี่ยวเม่ยโยกขยับไปมาอย่างน่ารักน่าชัง ทว่าลี่จินไม่ได้เอ่ยตอบคำถามพ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อย นางยื่นเทียบเชิญชี้ไปที่คนที่นอนเหยียดกายบนเก้าอี้ยาวในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อยเสียแทน “วันเพ็ญครั้งหน้าเจ้าเตรียมรับแขกสำคัญด้วยเล่าฟางซิน” “ข้า?” ฟางซินยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยพลัน เด็กหนุ่มร้องถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อหู คนที่คราแรกยังอารมณ์ชื่นมื่นบัดนี้เริ่มยิ้มไม่ออกเสียแล้ว “ใช่...พ่อบ้านจางจากจวนแม่ทัพประจิมกล่าวว่าต้องการคนที่รู้ความหน่อย...ข้าเอ่ยปากไปสองสามชื่อ...แต่สุดท้ายก็เลือกเจ้า” แม่เล้าเอ่ยต่อเพื่อยืนยันคำสั่งของนาง จากการหารือกับพ่อบ้านประจำจวนแม่ทัพที่กินเวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยาม เนื่องจากเงื่อนไขพิเศษที่ทางแม่ทัพประจิมร้องขอ ในที่สุดก็เห็นควรว่าฟางซินคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับรองแขกสูงศักดิ์ท่านนี้ คำกล่าวของแม่เล้าประจำหอว่านเหอนำพาความเงียบให้เข้ามากัดกินไปทั่วบริเวณ ลี่จินที่เริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติจึงได้เอ่ยถามขึ้น “ใยทำหน้าเช่นนั้น...ไม่ดีใจรึ” “อะ...อาเม่ย...” ฟางซินไม่ได้ตอบคำถาม เจ้าตัวรีบทรุดตัวลงมานั่งกับพื้นเคียงข้างพ่อค้าขายหมั่นโถวที่ตอนนี้ทำสีหน้าเหม่อลอยราวกับว่าสติได้หลุดกระเด็นไปไกลเสียแล้ว “ข้าไม่เป็นอันใด...ไม่เป็นอันใด” เสี่ยวเม่ยเอ่ยซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น ก่อนที่นัยน์ตาเมล็ดซิ่งที่มักจะฉายแววสดใส บัดนี้คลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำตา เด็กหนุ่มท่าทางใสซื่อจริงใจร่ำไห้ออกมาเงียบ ๆ เกิดเป็นภาพชวนเวทนาให้สงสารจับใจคนที่มองดูทั้งสอง “อาเม่ย...ใยร้องไห้เล่า!?” ลี่จินเห็นเด็กน้อยของนางหลั่งน้ำตาก็ทำสิ่งใดไม่ถูก รีบรุดมานั่งเคียงขนาบข้างอีกฝั่ง มืออวบลูบหลังปลอบโยนคนที่เริ่มสะอื้นจนตัวสั่นด้วยความเป็นกังวล นางส่งสายตาถามความกับฟางซินที่ร้อนรนไม่ต่าง นายโลมคนงามขยับตัวเข้าใกล้ก่อนกระซิบบอกสาเหตุที่ทำให้อาเม่ยคนดีของนางร่ำไห้ “อะไรนะ! เจ้าหลงรั- อืม!!” “เบาเสียงหน่อยท่านแม่!” พอรู้ความเจ้าของหอนายโลมเลื่องชื่อมีอันต้องอุทานออกมาเสียงดัง ดีที่ฟางซินมือไว เขารีบยกมือขึ้นปิดปากลี่จินเอาไว้ เพราะเกรงว่าเสียงของอีกฝ่ายจะเล็ดลอดออกไปนอกห้องพัก ***
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD