02

1592 Words
หากจะเอ่ยถึงต้นตอความสัมพันธ์ลวงหลอกที่เกิดขึ้นของเสี่ยวเม่ยและเฉินฮ่าวเทียนแล้ว ก็คงต้องย้อนกลับไปเมื่อราวหนึ่งปีก่อน รัชศกลู่เฉิงปีที่สามสิบหก แคว้นเฉินบนแผ่นดินต้าเว่ยในช่วงที่ฤดูหนาวเพิ่งพ้นผ่านนั้น ได้มีข่าวสะเทือนเลือนลั่นข่าวหนึ่งถูกประกาศ ซึ่งข่าวที่ว่านั้นก็คืองานสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ มอบให้แก่ท่านอ๋องน้อยแห่งแคว้นเฉินและคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมโยธา เดิมการที่สองตระกูลใหญ่เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันก็หาใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องอันใดกับชีวิตของคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ทว่าเหตุที่ทำให้งานสมรสพระราชทานนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อซุบซิบในวงน้ำชา ก็เป็นเพราะเบื้องหลังฉากหน้างานมงคลสมรสของคู่ยวนยางที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ยังมีข่าวลือเรื่องชิงรักหักสวาทของเหล่าชนชั้นสูง ให้ชาวบ้านร้านตลาดได้จับกลุ่มคุยกันได้อย่างออกรส เพราะมีใครบ้างในเขตเมืองหลวงและแคว้นเฉินจะไม่ทราบ ว่าตัวว่าที่คู่บ่าวสาวนั้นหาได้ชอบพอกันไม่ ท่านอ๋องน้อย เฉินหนิงเทียน คือบุตรชายคนโตของเฉินชินอ๋องและพระชายาเอก เฉินหนิงเทียน เป็นท่านชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปลักษณ์เป็นเอกและฐานันดรสูงศักดิ์ สตรีทั่วแคว้นต่างหมายใจคิดฝันอยากเป็นพระชายาของเขาทั้งนั้น ทว่าเจ้าตัวเป็นคนรักสงบอย่างมาก เขามุ่งศึกษาพระธรรมมาตั้งแต่รู้ความ แม้แต่คราได้รับอวยยศเป็นท่านอ๋องน้อยแล้ว เจ้าตัวก็ยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาคำสอนในหอตำรา มากกว่าออกไปเที่ยวเล่นเช่นบรรดาท่านชายคนอื่น บรรยากาศรอบตัวของท่านอ๋องน้อยยามปรากฏกาย ทุกย่างก้าวดูไม่ต่างจากพระโพธิสัตว์เสด็จลงมาโปรดจากสวรรค์ก็ไม่ปาน ส่วนฝ่ายว่าที่เจ้าสาวนั้น กล่าวว่าคือคุณหนูใหญ่ตระกูลเหลียน เหลียนจินหลิน แห่งจวนเสนาบดีกรมโยธา เหลียนจินหลินคือคุณหนูคนงามที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในห้าโฉมสะคราญบนแผ่นดินต้าเว่ย กิริยามารยาทอ่อนหวาน เฉลียวฉลาดทันคน เชี่ยวชาญทั้งศาสตร์และศิลป์ นับเป็นยอดพธูแห่งยุค ท่านอ๋องน้อยและคุณหนูเหลียนต่างเห็นหน้าค่าตากันมาตั้งแต่เล็ก จะกล่าวได้ว่าเติบโตเป็นเพื่อนเล่นต่างวัยด้วยกันมาเลยก็ว่าได้ สองตระกูลสนิทสนมกลมเกลียว มองดูแล้วไม่น่ามีปัญหาที่ใดให้ต้องถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นขี้ปากชาวบ้าน หากไม่ใช่เพราะว่าเรื่องระหว่างทั้งคู่นั้นหาได้มีตัวละครเพียงสอง เฉินชินอ๋องมีโอรสอยู่ทั้งสิ้นสองคน บุตรคนโตนาม เฉินหนิงเทียน กำเนิดจากพระชายาเอก ส่วนบุตรคนรองนาม เฉินฮ่าวเทียน กำเนิดจากอดีตพระชายารองผู้เป็นเพียงสามัญชน เหตุที่ต้องกล่าวว่าเป็น อดีต นั้นเพราะบัดนี้พระชายารองได้หย่าขาดกับเฉินชินอ๋องและถูกกักตัวอยู่ท้ายจวนอ๋องมานานหลายปีแล้ว คนเล่าลือกันทั่วแคว้นว่า หลงลู่เซียนกลายเป็นสตรีวิปลาส วัน ๆ ไม่ทำสิ่งใด เอาแต่ร่ำไห้และเฝ้ากอดประคบประหงมตุ๊กตายัดนุ่นตัวหนึ่ง เดิมเฉินชินอ๋องแม้ไม่ได้มีใจรักชอบนางแต่อย่างใด แต่ก็พยายามหาหมอมารักษา เพราะอย่างไรนางก็นับเป็นมารดาของบุตรชายคนรอง ทว่าไม่ว่าจะหมอคนหรือหมอผีก็ไม่สามารถเรียกคืนสติของอดีตพระชายารองได้ จนวันหนึ่งหลงลู่เซียนคลุ้มคลั่งทำร้ายร่างกายหวางเฟยโดยหมายแก่ชีวิต เฉินชินอ๋องไม่อาจเอาหูไปนาตาไปไร่ได้อีก จึงได้ประกาศหย่าขาดกับนาง และสั่งกักบริเวณหลงลู่เซียนเอาไว้ที่ท้ายเรือนไม่ให้ออกไปไหนได้แม้เพียงครึ่งก้าว ครานั้นคนทั่วแคว้นหยิบยกชื่อของหลงลู่เซียนมานินทากันเสียสนุกปาก ด้วยเพราะเดิมนางเป็นเพียงสาวใช้ในจวน แต่มักใหญ่ใฝ่สูงวางอุบายต่ำช้าปีนขึ้นเตียงเฉินชินอ๋องจนถูกไล่ออกจากจวน เจ็ดเดือนต่อมานางกลับมาพร้อมกับเด็กทารกเพศชาย แรกเริ่มเฉินชินอ๋องไม่คิดรับนางเป็นภรรยา แต่หลงลู่เซียนข่มขู่ว่าจะไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตายพร้อมบุตรชาย เฉินชินอ๋องเวทนาชีวิตบริสุทธิ์ของเด็กน้อยจึงยอมรับนางเข้าจวนมอบตำแหน่งพระชายารองให้ เพราะเห็นแก่สายเลือดตน วีรกรรมคนแม่ทำให้โดนด่าว่าสาดเสียเทเสียเพียงใด บุตรชายผู้เกิดจากท้องของสตรีวิปลาสหรือจะได้รับข้อยกเว้น แม้เฉินชินอ๋องจะไม่รังเกียจบุตรชาย แต่ก็ใช่ว่าผู้คนทั่วไปจะเอ็นดูเขา เฉินฮ่าวเทียน ในวัยแปดหนาวถูกดูถูกเหยียดหยามจากผู้คนสารพัด สถานการณ์บีบบังคับเปลี่ยนท่านชายที่เคยได้หัวเราะร่ายามวิ่งเล่นไล่จับกับพี่ชายต่างมารดา ให้กลายเป็นคนนิ่งเงียบเย็นชาไร้รอยยิ้ม เฉินชินอ๋องเห็นใจบุตรชายคนรอง จึงตัดสินใจส่งเขาให้ออกห่างจากมารดาเพื่อไปศึกษาวิชา ณ เมืองหลวง แต่ที่ไหนได้... สองปีในตำหนักประจิมเป็นเหมือนนรกสำหรับเฉินฮ่าวเทียน… ท่านชายตัวน้อยโดนพระญาติคนอื่นข่มเหงรังแกไม่เว้นวัน อยู่แคว้นเฉินร้ายดีอย่างไรเด็กหนุ่มก็มีศักดิ์เป็นลูกเจ้าเมือง ชาวบ้านทั่วไปไม่สามารถทำอันใดเขาได้นอกจากเอ่ยพ่นคำพูดน่าชังให้เด็กชายได้เจ็บใจ แต่ที่เมืองหลวงกลับต่างกัน เหนือเฉินชินอ๋องผู้เป็นบิดา ยังมีองค์จักรพรรดิผู้ครองแผ่นดินต้าเว่ยอยู่ และเบื้องหลังองค์จักรพรรดินั้น มีวังหลังอันเป็นศูนย์รวมเหล่าอสรพิษ สนมมากหน้าหลายตาผลัดกันแวะเวียนมา ‘เยี่ยมเยียน’ เฉินฮ่าวเทียนทุกสัปดาห์ แต่ละครั้งที่มาก็ทำให้ท่านชายผู้นี้เจ็บตัวได้แผลเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งท่านชายผู้เคยยอมก้มหัวไม่ยอมจำนนอีก เฉินฮ่าวเทียนมีเรื่องต่อยตีกับองค์ชายสามชนิดหัวร้างข้างแตก ร้อนไปถึงสนมซูเฟยผู้เป็นมารดา ต้องมาร้องห่มร้องไห้คุกเข่าหน้าตำหนักขององค์จักรพรรดิเรียกร้องความเป็นธรรมให้โอรสของตน สุดท้ายท้ายองค์จักรพรรดิจนใจ จึงลงโทษสั่งโบยเด็กชายวัยสิบขวบปีไปสามสิบครั้ง แล้วส่งตัวกลับแคว้นเฉิน ทว่าเฉินฮ่าวเทียนไม่ยอมเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน ก้มหัวขอฝากตัวเข้ากองทัพแทน เด็กชายที่แม้เจ็บระบมไปทั้งร่างแต่ก็ไม่ยอมให้หมอรักษา เขาคุกเข่าหน้าตำหนักอยู่สามวันสามคืน จนในที่สุดแม่ทัพประจิมในเวลานั้นจึงออกหน้ารับเขาเข้ากองธงที่ตนมีอำนาจปกครอง เพื่อให้ฝึกฝนวิชาทางการทหาร การตัดสินใจก้าวเข้าสู่เส้นทางขุนนางฝ่ายบู๊ [2] นับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความรุ่งโรจน์ของท่านชายเฉินฮ่าวเทียน เขาใช้ชีวิตในกองทัพแต่เล็กจนเติบใหญ่ เมื่อถึงวัยสวมกวานก็ร่วมทัพออกศึกสร้างความดีความชอบ จากนายทหารไร้ยศ ขึ้นเป็นนายกองที่อายุน้อยที่สุด วันคืนที่พ้นผ่านล้วนอยู่บนหลังม้าและการกวัดแกว่งดาบเพื่อทำศึก จนเมื่ออายุได้สิบหกปี เฉินฮ่าวเทียนสร้างวีรกรรมแฝงตัวบุกเข้าไปชิงตัวรองแม่ทัพประจิมในแดนศัตรูกลับมาได้เป็นผลสำเร็จ ยศนายกองขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาค ในช่วงเวลานั้นแคว้นเฉินอยู่ท่ามกลางภัยสงครามและการรุกรานจากแผ่นดินทางเหนือ ทหารหลายหมื่นนายถูกเกณฑ์ไปช่วยรบ พวกชนเผ่านอกเขตชายแดนสบโอกาสยามเมืองหน้าด่านขาดกำลังทหารคุ้มครอง รวมตัวบุกปล้นสะดมชาวบ้านสร้างความเดือดร้อนอย่างยิ่ง ทัพใหญ่ทางเหนือยังคงติดพัน ด่านเขตนอกยังมาถูกโจมตีทีเผลอ ในเวลานั้นเองเฉินฮ่าวเทียนขันอาสานำกองทหารในปกครองของตนห้าร้อยนายบุกกำราบพวกชนเผ่าที่เหิมเกริมตลอดเขตชายแดนจากทิศเหนือไปจนสุดเขตทิศตะวันตก ชื่อเสียงลือชาของเด็กหนุ่มผู้กวัดแกว่งดาบบนหลังม้า บุกตะลุยเด็ดหัวผู้รุกรานจนได้สมญานามเทพสงครามกลับชาติมาเกิด การศึกดำเนินไปหลายปีในที่สุดทัพใหญ่ที่แดนเหนือก็คว้าชัย เช่นเดียวกับที่เขตชายแดนไร้ผู้ใดรุกรานได้อีก ความดีความชอบที่เฉินฮ่าวเทียนทำ ได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วแดน และตอนนั้นเองที่แม่ทัพประจิมผู้บาดเจ็บสาหัสจนแขนพิการจากการทำศึก ได้ถวายฎีกาขอพระราชทานแต่งตั้งเฉินฮ่าวเทียนเป็นแม่ทัพน้อยเพื่อสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพประจิมต่อจากตน แน่นอนว่าการที่เด็กหนุ่มรุ่นลูกถูกเสนอชื่อขึ้นมารับตำแหน่งทัดเทียมหรือเกินหน้าย่อมมีคนไม่พอใจ แต่แม่ทัพประจิมก็ยังตั้งมั่นว่าจะส่งต่อธงกองทัพของตนให้ท่านชายผู้นี้ให้จงได้ เฉินฮ่าวเทียนเผชิญหน้ากับแรงกดดัน เฝ้าพิสูจน์ตนเอง บุกเหนือล่องใต้นำทัพจับศึกอยู่อีกห้าปี จนในที่สุดท่านชายรองจากจวนเฉินชินอ๋องก็ได้รับการอวยยศขึ้นรับตำแหน่งแม่ทัพประจิมเมื่อถึงวัยสามสิบเอ็ด ***
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD