1.จุดเริ่มต้น
สิบปีที่แล้ว
'ฝากดูแลแก้วตาดวงใจของฉันด้วยนะคะ'
'มน อย่าพูดแบบนั้น'
'มนรู้ว่าพี่ทำได้'
'ไม่นะมน ทำใจดี ๆ ไว้ เธอต้องช่วยพี่เลี้ยงยัยนาซิ ห้ามเอาเปรียบกันด้วย'
'มนก็อยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่มนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ฝากลูกด้วยนะคะ รักเค้าให้มาก ๆ แทนมนด้วย'
ธนานั่งอยู่ในมุมโปรดของบ้านพร้อมกับแหงนมองฝ้าเพดานไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดคล้ายกับว่ามันสวยงามชวนมองอะไรนักหนา แท้จริงแล้วในห้วงคำนึงของเขากำลังคิดถึงภรรยาที่จากไปแล้วเมื่อสิบปีก่อนต่างหาก แต่ขณะที่ชายวัยกลางคนนั่งปล่อยความคิดไปอยู่ในห้วงเวลาที่แสนเจ็บปวดในอดีตอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงทักทายที่คุ้นเคยและอบอุ่นทำให้เขากลับมาสู่โลกปัจจุบันอีกครั้ง
"คิดอะไรอยู่หรือคะพี่เดียว" สุดาภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากนั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็นสามีพลางมองไปที่ดวงตาของชายวัยกลางคนอย่างต้องการค้นหาแต่พบเพียงความว่างเปล่าในนั้น
"อ้อ...ดาเองเหรอ ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแหละ นี่ลูก ๆ กลับมาทุกคนแล้วหรือยัง"
"ยัยนากลับมาแล้วค่ะ แต่เห็นขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปข้างนอกแล้วค่ะ บอกว่าจะไปซื้อส้มตำเจ้าอร่อยมากิน ดาก็เลยไม่ได้ห้ามอะไร ส่วนตาใหม่วันนี้เรียนพิเศษ เลิกค่ำ ๆ ดารอให้ลูกโทรมาจะได้ไปรับค่ะ"
"เหรอ งั้นเรากินข้าวสองตายายเหมือนเคยซินะ"
"ก็คงเป็นแบบนั้นละค่ะ เพราะตาใหม่คงหากินแถว ๆ ที่เรียนพิเศษมาเรียบร้อยแล้วค่ะ ส่วนจะกลับมากินที่บ้านอีกหรือไม่นั้นยังคาดเดาไม่ได้"
@บริษัทแม่ในเครืออมรฤทธิศักดิ์
สายเรียกเข้า
ณภัทร; มีอะไรว่ามา
ภัทรวรรณ; พี่ใหญ่วันนี้น้องเลิกเร็ว มารับหน่อยซิ ตอนนี้เลย
ณภัทร; อะไร โดดเรียนหรือเปล่า
ภัทรวรรณ; ไม่ได้โดด อาจารย์ยกคลาส มารับหน่อยอยากให้พาไปซื้อส้มตำร้านอร่อยด้วยมาเร็ว ๆ เลย
ณภัทร; เออ จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ รอหน่อยแล้วกันเผื่อรถติด
ภัทรวรรณ; เจ้าค่ะ ขอบคุณนะคะ บาย
ณภัทร; บาย
หลังจากกดวางสายณภัทรยกข้อมือมาดูเวลาแล้วเดินออกมาหน้าท้องและหยุดที่หน้าโต๊ะเลขา
"คุณนาราครับ บ่ายนี้ถ้ามีนัดช่วยยกเลิกไปก่อนนะครับ พอดีมีเด็กไม่รู้จักโตให้ไปรับที่มหาวิทยาลัยครับ"
"ออ บ่ายนี้ไม่มีค่ะบอส" นาราเอ่ยขึ้นหลังจากก้มดูคิวในไอแพด
"ดีเลย งั้นผมไปนะครับ" ณภัทรเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มมุมปากแล้วถอดสูทพร้อมกับเดินออกไปอย่างเร่งรีบอยู่ในที
"ค่ะบอส" นารารับคำผู้เป็นนายแต่ทวาชายหนุ่มได้เดินสับเท้าออกไปไกลแล้ว
@มหาวิทยาลัย
ภัทรวรรณทันทีที่เห็นหัวรถของพี่ชายเลี้ยวเข้ามาที่หน้าคณะหญิงสาวรีบสับเท้าเข้าไปหาและเปิดประตูรถขึ้นนั่งข้างคนขับอย่างคุ้นชินส่วนพี่ชายผู้เป็นพลขับได้แต่ยกยิ้มมุมปากพร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างระอาในความเอาแต่ใจของน้องสาว ส่วนผู้เป็นน้องเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าคนพี่ดูพิลึกชอบกลหญิงสาวพอจะเดาอาการออกจึงได้เอ่ยขึ้น
"ขับไปเถอะน่าเดี๋ยวหนูจะบอกทางเอง"
"ก็ต้องเป็นแบบนั้นมั๊ย ก็พี่ไม่รู้จักร้านนิ่"
"ขับตรงไปเรื่อย ๆ เลยค่ะ พอถึงสี่แยกให้เลี้ยวขวาแล้วตรงไปเรื่อย แล้วจะมีซอยเล็ก ๆ ให้เข้าซอยไปเลยค่ะเดี๋ยวก็ถึง"
"อือ..ถึงซอยแล้วคอยเตือนด้วยแล้วกัน"
แต่ในขณะที่ออกจากสี่แยกมาและกำลังจะเลี้ยวเข้าไปยังซอยเล็ก ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์ที่ออกจากซอยเล็กมาพอดีและจังหวะเลี้ยวของรถยนต์คันใหญ่ทำให้ฝ่ายที่ขับรถจักรยานยนต์เผลอกำเบรกมือและเสียหลักล้มแต่ไม่มีการเฉี่ยวชนใด ๆ
"ตายแล้วพี่ใหญ่ ลงไปดูเค้าหน่อยเถอะค่ะ คงจะเจ็บนะนั่น"
"ไปซิ"
สองพี่น้องรีบลงไปดูหญิงสาวที่ล้มและกำลังทำท่าว่าจะยกรถจักรยานยนต์ขึ้นเองอย่างยากลำบาก
"เป็นยังไงบ้างตัวเอง เจ็บมากมั๊ย" ภัทรวรรณเข้าไปไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงแต่เมื่อหญิงสาวที่ล้มเงยหน้าขึ้นมาจึงเกิดจำได้ว่าเรียนคณะเดียวกันแต่คนละสาขาวิชา
"อ้าว เป็นเธอเองหรอกเหรอ เราเรียนที่ ม.เดียวกันแต่น่าจะคนละสาขาไง คุ้นหน้าเราบ้างมั๊ย เราเคยเดินสวนกันที่คณะบ่อย ๆ"
"อ๋อ..จำได้จ้ะ เราไม่เป็นไรมากหรอก แค่เข่าถลอกแล้วก็เคล็ดขัดยอกเท่านั้นแหละ"
ด้านณภัทรรีบเข้าไปช่วยยกรถจักรยานยนต์และลองเช็ครถให้อย่างคร่าว ๆ พบว่าไม่มีอะไรเสียหายมากนอกจากมีรอยถลอกและขูดขีดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
"น้องไปหาหมอหน่อยมั๊ย เดี๋ยวพี่ออกค่าใช้จ่ายให้ เราน่าจะต้องทำแผล ฉีดยาสักหน่อยนะ"
"ไม่เป็นไรหรอกคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปที่ศูนย์แพทย์ใกล้ ๆ ม.ก็ได้ค่ะ หนูพอจะมีน้ำยาฆ่าเชื้อแล้วก็อุปกรณ์ทำแผลอยู่ค่ะ"
"จะได้ยังไง แผลมันต้องได้ฟอก เดี๋ยวนี้มันมีเชื้อโรคสารพัดที่ติดต่อทางบาดแผลนะ จะไม่ไปเดี๋ยวนี้ได้ยังไง จอดรถ มอ'ไซค์ไว้นี่แหละ เดี๋ยวพี่พาไปโรง'บาล"
"จริงด้วยตัวเอง ไปเถอะ จะโทรไปบอกทางบ้านก่อนก็ได้"
"เอ่อ..เอางั้นก็ได้จ้ะ งั้นเราขอโทรบอกพ่อก่อนนะ" มลธนา ล้วงกระเป๋าไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นต่อสายหาผู้เป็นบิดาสักพักจึงวางสายแล้วเก็บเข้าที่ไว้เหมือนเดิม
"บอกพ่อเรียบร้อยแล้วใช่มั๊ย งั้นขึ้นรถ ฝากรถ มอ’ไซค์ไว้ที่ร้านส้มตำนี่ก็ได้" ณภัทรเอ่ยขึ้นอย่างออกความเห็น
"ค่ะ ก็ได้ค่ะ" มลธนารับคำอย่างว่าง่าย
ด้านณภัทรเมื่อเห็นว่าหญิงสาวตอบตกลงจึงเข้าไปจูงรถจักรยานยนต์ไปจอดข้าง ๆ ร้านส้มตำพร้อมกับบอกกล่าวเจ้าของร้านเพื่อขอฝากรถไว้สักพักใหญ่แล้วล็อคคอให้พร้อมกับยื่นกุญแจรถคืนให้หญิงสาว
"ปะ ขึ้นรถ ไปโรง'บาลกัน"
@โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
เจ้าหน้าที่
"สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคนไข้โดนอะไรมาคะ"
"รถมอ’ไซค์เสียหลักล้มครับ ไม่มีการเฉี่ยวชน ผมเป็นเจ้าของไข้ครับ ส่วนประวัติคนไข้ถามน้องเค้าได้เลยครับ"
"ออ ค่ะ งั้นเชิญที่ห้องฉุกเฉินก่อนนะคะ"
"ครับ ขอบคุณครับ"
@ห้องฉุกเฉิน
แพทย์: คนไข้เป็นแผลถลอกตื้น ๆ แต่ก็มีเลือดซึม หมอจะให้ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักไว้ก่อนไม่ทราบว่าคนไข้เคยได้รับวัคซีนบาดทะยักล่าสุดเมื่อไรครับ
มลธนา: ไม่เคยตั้งแต่เรียนจบประถมค่ะ
แพทย์: งั้นหมอจะสั่งฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักให้ครบ 1 คอร์สเลยนะครับ แล้วก็ทำแผลต่อเนื่องจนแผลแห้ง และกินยาฆ่าเชื้อจนหมดและครบตามที่หมอสั่งนะครับ เดี๋ยวญาติรอรับใบนัดและยาด้านหน้านะครับ
ณภัทร: ครับ ได้ครับ
ด้านมลธนาหลังจากทำแผลฉีดยาเสร็จจึงออกมาจากห้องฉุกเฉินและพบว่าสองพี่น้องนั่งรอตนอยู่ก่อนแล้วจึงเดินกระย่องกระแย่งเข้าไปหา เพราะเธอรู้สึกปวดหนึบ ๆ ที่หัวเข่าขึ้นบ้างแล้ว
"เป็นไงบ้างตัวเอง เออ ลืมเลย เราชื่อ เล็กนะ นี่พี่ชายเรา ชื่อใหญ่ แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไร" ภัทรวรรณเอ่ยแนะนำตัวเองกับเพื่อนใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"เราชื่อนา ยินดีที่ได้รู้จักนะ/เอ่อ ขอบคุณพี่ใหญ่ด้วยนะคะที่พามาหาหมอแถมจ่ายค่ายาให้อีก"
"ไม่เป็นไรหรอก ส่วนนี่ค่าทำขวัญที่พี่ทำให้เราตกใจจนเสียหลักล้ม เก็บไว้เถอะ ดูท่าแล้วเราน่าจะขับรถไม่ได้สักสองสามวัน เก็บไว้เป็นค่าแท็กซี่แล้วกัน" ณภัทรยื่นซองสีน้ำตาลซึ่งมีธนบัตรฉบับละหนึ่งพันบาทจำนวนสิบห้าใบยื่นให้หญิงสาว
"โอ้..ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องก็ได้ค่ะ แค่พามาหาหมอนี่ก็เป็นพระคุณมากแล้วค่ะ หนูประมาทเองที่ออกมาจากซอยไม่ดู ถือว่าประมาทร่วม ต่างคนต่างเจ๊ากันไปละกัน" มลธนาเอ่ยขึ้นพร้อมกับโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน