ตอนที่ 2 : ไล่ล่าในค่ำคืน

1923 Words
ทันใดนั้น ซูเสี่ยวหนิงก็โพล่งขึ้น “พี่! กลับมานะ ใครเขาจะยอมกัน! กลับมาเดี๋ยวนี้” เธออยากวิ่งตามไปแต่คงไม่ง่าย เมื่อถูกล้อมไว้จากกำแพงมนุษย์ตัวโต ยังจ้องเขม็งจนน่ากลัว “หลบไปนะ ฉัน ฉันจะกลับบ้าน ไม่อย่างนั้น ฉันจะข่วนหน้าให้เป็นรอย!” “ฮะ ฮะ ฮ่า!” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากลูกน้องหลายคน บรรยากาศที่กดดันกลับมีรสชาติขำขันประหลาด หวังอี้เฉิงหันกลับมาสบตาเธอ ดวงตาคมคายราวกับพญาเหยี่ยวจับเหยื่อ “เธอจะยอมหรือไม่…ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องสนใจ” “ทำแบบนี้มันลักพาตัวชัดๆ” “งั้นไปแจ้งตำรวจสิ” แล้วโดยไม่รอให้เธอได้เถียงต่อ เขาก็ยื่นแขนออกมา โอบรัดร่างเล็กด้วยท่าทีง่ายดายราวกับหิ้วกระสอบข้าว “ว๊าย! ปล่อยนะ! ปล่อยฉันลง บอกให้ปล่อย!” ซูเสี่ยวหนิงดิ้นรนจะลงให้ได้ ตีไหล่เขาไม่ยั้ง แต่ยิ่งดิ้นเขายิ่งก้าวมั่นคง ร่างสูงใหญ่แบกเธอขึ้นบ่าอย่างไม่สะทกสะท้าน ยังรำคาญคนที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง จึงตีก้นสาวน้อยไปสองที “กรี๊ด! อย่าแตะตรงนั้นของฉัน คนลามก!” แทนคำตอบ เขาไม่เพียงตีก้นเธอแต่ยังจับขย้ำอีกด้วย ทำเอาซูเสี่ยวหนิงตัวแข็งทื่อ ลูกน้องที่เหลือก้มหน้ากลั้นหัวเราะ เพราะเจ้านายของพวกเขาที่ใครเห็นต้องกลัว วันนี้กลับถูกหญิงสาวตัวเล็กๆ ทำให้ดูเหมือนพ่อแบกลูกดื้อกลับบ้าน ยังมีการลวนลามเธอแบบที่ไม่เคยทำกับใคร หวังอี้เฉิงเอ่ยเสียงเรียบ ทั้งที่แบกเธอเดินไปยังรถหรูที่จอดรอ “เลิกดิ้นซะ ซูเสี่ยวหนิง ไม่งั้นเธอจะตกลงมาหัวกระแทกพื้นตาย” ซูเสี่ยวหนิงเงียบไปแค่ครู่ ก่อนจะโวยกลับ “ถ้าหัวฉันแตกจนตายละก็…. ฉันจะตามไปเข้าฝันเพื่อหลอกคุณทุกคืนเลย!” หวังอี้เฉิงชะงักไปเสี้ยววินาที… ก่อนหัวเราะหึในลำคอ “ปากคมไม่เบา” เขาจับเธอโยนใส่รถอย่างไม่ปรานี แน่นอนว่าซูเสี่ยวหนิงร้องโวยวาย ตำหนิเขาที่ทำแบบนั้นกับเธอ แต่เขาทำราวไม่ได้ยินมันช่างน่าโมโห กระทั่งรถหรูสีดำทะยานออกจากท่าเรือเก่า ท่ามกลางแสงไฟถนนที่ริบหรี่ ร่างเล็กของซูเสี่ยวหนิงยังถูกกดหัวให้นั่งนิ่งๆ อยู่บนเบาะข้าง โดยมีแขนแข็งแรงของหวังอี้เฉิงจับตรึงไว้แน่น “ปล่อยฉันนะ! ฉันไม่ใช่สมบัติของคุณ! เราไม่ควรใกล้ชิดมันไม่เหมาะสม” เธอเอียงตัวพยายามดันมือเขาออก แต่แขนของชายหนุ่มแข็งราวกับเหล็กคีบ หวังอี้เฉิงปรายตามองเธอเพียงแวบเดียว ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เธอจะส่งเสียงดังให้ได้อะไรขึ้นมา ไม่เจ็บคอหรือ?” “ฉันไม่เจ็บ ตราบใดที่คุณปล่อยฉันไป นี่คุณรู้ไหมว่าฉันหาเงินเก่งมาก หนี้ทั้งหมดของพี่ฉันสามารถชดใช้แทนได้ แต่ฉันจะไม่เป็นนกน้อยในกรงของคุณ” เธอพยายามต่อรอง เพราะเห็นแล้วว่าเขาไม่สะทกสะท้านแม้ว่าเธอจะโวยวายอย่างไร กับคนแบบนี้ทำหัวแข็งไม่ได้ “เธอคิดว่าตัวเล็กอย่างเธอจะทำไหว แม้ส่งเธอไปที่บาร์ยังไม่แน่ใจว่าแต่ละคืนเธอจะทำงานคุ้ม ผอมแห้งแบบนี้น่ากลัวเครื่องจะพังก่อนใช้หนี้หมด” “ฉันจะไม่ทำแบบนั้น! มันเสียศักดิ์ศรี ทำไมเราไม่คุยกันดีๆ มันต้องมีทางออกที่ดีกว่า” “ไม่ต้องต่อรอง จากนี้ไปชีวิตเธอคือของฉัน ไม่มีวันจะหนีไปได้” แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเถียงกลับ เสียงดังหวอ วี้ว้อวี้ว้อ! ดังขึ้นจากด้านหลัง เห็นไฟสีแดงสีน้ำเงินกระพริบสะท้อนกระจกมองหลัง “นั่น! รถเจ้าหน้าที่ใช่ไหม?” ซูเสี่ยวหนิงตาโตหันมองเขา “คุณ…ทำเรื่องผิดกฎหมายหรือ ถึงได้ถูกตำรวจขับรถไล่ล่า!” “คิดว่าไงล่ะ” หวังอี้เฉิงหัวเราะหึในลำคอ เขามองนกขมิ้นตัวน้อยที่ตื่นเต้น ดวงตาของเธอมีทั้งความอยากรู้ ตกใจ และคิดหาทางหนีทีไล่ “ผิดกฎหมายงั้นหรือ… คนอย่างฉันมีแต่กฎหมายที่ต้องหลบทางให้ คืนนี้ เธอคิดเสียว่าเรากำลังเล่นไล่จับ มันแค่ขำๆ” “ขำกับผีสิ! นี่มันคุกเลยนะถ้าโดนจับได้” “ฉลาดนี่ เช่นนั้นก็อย่าให้เขาจับทัน” “ถึงเวลานี้คุณยังมีอารมณ์ขัน” ซูเสี่ยวหนิงกำหมัดสองมือ ในหัวเธอคิดไปร้อยแปดว่าจะแก้ตัวอย่างไรกับเจ้าหน้าที่ เธอไม่อยากถูกโยงหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง ทันใดนั้น กระสุนเจาะกระจกหลัง เพล้ง! เสี่ยวหนิงกรี๊ดแล้วก้มลงโดยอัตโนมัติ แต่ยังพยายามชะโงกดูเห็นกระจกที่แตกเป็นรู “พวกเขายิงมาจริงๆ! เราจะทำยังไงดี!” ทำไมถึงไม่ทำตามขั้นตอนเลย มันควรต้องล้อมก่อนสิ แบบนี้ไม่ใช่ไล่จับแล้วคือตามวิสามัญชัดๆ “ถ้าอยากรอดต้องฟังฉัน ก่อนอื่นหาที่จับให้แน่น” อี้เฉิงกดพวงมาลัยพลิกเลี้ยวโค้งในทางแคบด้วยความเร็วสูง รถแทบจะเฉี่ยวเสาไฟ เสียงดังเฟี้ยว! “อร้ายเกือบไปแล้ว! คุณช่วยขับให้มันดีๆ หน่อย” เขาเหลือบตามองสาวน้อยที่เกาะเบาะแน่นเหมือนลูกแมวตื่นกลัว ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง “นั่งเงียบๆ อย่ากวนสมาธิ แล้วรัดเข็มขัดไว้ ถ้าไม่อยากตายกลางถนน” ซูเสี่ยวหนิงมองค้อนปะหลับปะเหลือก ยังทำตามอย่างรวดเร็ว “ก็ไม่อยากตายหรอก! แต่คุณจะขับให้ช้าลงหน่อยไม่ได้รึไง กรี๊ด!!” เธอเผลอเถียงกลับทั้งที่กลัวสุดขีด “ช้าลงก็ถูกยิงเข้าที่ตรงนี้ ถ้าโชคดีหัวเธอจะเอานิ้วแหย่ได้” “ถ้าโชคร้ายล่ะ?” “สมองกระจุย เหลือแค่เศษเล็กๆ” “ไม่เอานะ! ฉันไม่อยากให้ศพดูน่าเกลียด” หวังอี้เฉิงหัวเราะแผ่วๆ อย่างประหลาดใจ “เธอนี่กลัวตาย แต่ยังมีแรงต่อปากต่อคำ ใจกล้าดี” รถตำรวจติดตรา “ฝ่ายผดุงคุณธรรม” ตามประกบมาด้านหลังสามคัน เสียงหวอดังแสบแก้วหู สลัดไม่หลุด “ตื๊อกันไม่เลิกจริงๆ” หวังอี้เฉิงเหยียบคันเร่ง รถทะยานไปตามถนนสายแคบแถบโกดังร้าง ซูเสี่ยวหนิงจับเบาะแน่นด้วยสัญชาตญาณ “คุณ! พวกเขาตามมาจะทันแล้ว!” “รู้! ตาฉันไม่ได้บอด หัดอยู่เงียบๆ เสียบ้าง” “แหม แค่นี้ต้องเสียงดังใส่ ฉันกลัวคุณจะมองแต่ทางไม่มองข้างหลัง” “รถฉันมีกระจกมองหลัง ยังมีกระจกมองข้าง ทีนี้ก็หุบปาก” หวังอี้เฉิงหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าตรอกเล็กอย่างแม่นยำ รถฝั่งตรงข้ามชนกำแพงดังสนั่น เพราะไม่ชำนาญเส้นทางจึงเสียหลัก ซูเสี่ยวหนิงอ้าปากค้าง “กรี๊ด!!! คุณว่าพวกเขาจะตายไหม? ชนแรงขนาดนั้น” เขาหันมาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงราวกับบ่นธรรมดา “คราวหน้า ถ้าอยากกรี๊ด ก็ช่วยกรี๊ดให้เป็นจังหวะหน่อย จะได้เข้ากับเสียงหวอ” ซูเสี่ยวหนิงสะดุ้ง เธอเม้มปากแล้วเผลอหลุดพูด “บ้าเอ๊ย! คุณนี่มัน…!” “อะไรเล่า ฉันว่าเข้ากันดีออก เสียงกรี๊ดกับเสียงหวอ” เขาหัวเราะหึในลำคออีกครั้ง ขับรถฝ่าความมืดเพื่อมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ใหญ่ของตน ทิ้งห่างเสียงไซเรนที่ค่อยๆ เลือนหายไว้เบื้องหลัง ซูเสี่ยวหนิงแอบมองเขา ในใจคิดว่าคนคนนี้ไม่เพียงแต่หล่อ ยังเก่งมากทั้งที่ถูกไล่ล่า กลับสามารถคุมสถานการณ์ทุกอย่าง แม้ถูกเจ้าหน้าที่รัฐตามก็ยังสง่าไม่สะทกสะท้าน แต่… รถที่คิดว่าสลัดพ้นแล้วกลับไล่ตามมาทัน “คุณ มันยังมีอีกคัน!” “อืม… เห็นแล้ว รีบก้มหัวลง!” เสียงปืนดัง ปัง! กระจกข้างรถแตกกระจาย เศษแก้วกระเด็นกระทบร่างซูเสี่ยวหนิงจนเธอร้องกรี๊ด หัวของเธอถูกมือเขากดลง หาไม่ กระสุนนัดนั้นมันคงยิงโดนเธอ พอเสียงปืนเงียบไม่มียิงซ้ำ เธอรีบหันไปดูและเห็นคราบเลือดสีแดงเข้มซึมตรงต้นแขนของชายข้างกาย “คุณ…คุณถูกยิง!” เสียงของเธอสั่นเครือ แม้พยายามไม่ให้ฟังดูอ่อนแอ ในสถานการณ์ที่อันตรายต้องประคองสติเอาไว้ หวังอี้เฉิงกดพวงมาลัยพลิกโค้งอย่างมั่นคง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แค่ถากๆ เล็กน้อย… จับเข็มขัดไว้ให้ดี อย่ามาทำเป็นวุ่นวาย” ซูเสี่ยวหนิงเบิกตา ไม่อยากเชื่อ “เล็กน้อยงั้นเหรอ! เลือดออกตั้งขนาดนี้!” เธอคว้าแขนเสื้อสูทสีดำของเขาไว้แน่น หันไปหาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองแล้วกดลงบนบาดแผลทันที “ทำอะไร ไม่เห็นหรือว่าฉันขับรถอยู่” “อย่าขยับสิ เดี๋ยวเลือดไม่หยุด! ได้ไหลหมดตัวจนตาย” หวังอี้เฉิงเหลือบตามองเธอผ่านหางตา ดวงตาคมกริบที่ปกติเต็มไปด้วยความเย็นชา กลับสั่นไหวเพียงเล็กน้อย เขาไม่ชิน…ไม่เคยมีใครรีบร้อนห่วงเขาแบบนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่มีปืนจ่ออยู่ข้างหลัง “เธอ…” เขาเอ่ยสั้นๆ แต่เหมือนอยากจะพูดต่อ แต่ซูเสี่ยวหนิงกลับสวนขึ้นทันที “อย่าพูดมากน่า! ขับไปเถอะฉันจะคอยกดแผลให้เอง! ถึงจะไม่ถนัดแต่ดีกว่าหมดสติ แบบนั้นจะยิ่งลำบาก” “บอกไว้ก่อนว่าฉันขับรถยนต์ไม่เป็น ถึงเป็น ฉันก็ไม่รู้จะไปที่ไหน” แม้จะกลัวตายแทบสิ้นใจ แต่เธอกลับจ้องเขาด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว มันไม่ใช่ความเสแสร้ง ไม่ใช่การร้องไห้เอาตัวรอด แต่เป็น ความห่วงใยแท้จริง ที่ทำให้หัวใจของหวังอี้เฉิงสะดุด รถหรูสีดำขับวกไปวนมา พุ่งเข้าเลี้ยวออกจากตรอกแคบจนมึนงง วิ่งฝ่าความมืดไปยังถนนใหญ่ จนในที่สุดเสียงหวอค่อยๆ เลือนหาย ทิ้งไว้เพียงเสียงหอบหายใจของซูเสี่ยวหนิงที่ยังคงกดผ้าแน่นบนบาดแผล “ใส่ใจขนาดนี้เลย ไม่คิดว่าถ้าฉันตายเธอจะเป็นอิสระ” หวังอี้เฉิงขับไปพลาง ยกมุมปากเล็กน้อย ไม่วายเอ่ยแซว “ไม่ดี แบบนั้นลูกน้องคุณจะตามไปถลกหนังฉันแน่ เผลอๆ จะถูกแยกชิ้นส่วน หัวไปทางแขนขาอยู่อีกที่ แค่คิดก็ขนลุก” “รู้ตัวมั้ยว่าเธอช่างแปลกประหลาด กล้าเถียง ทั้งที่เธอเองก็กลัวตาย ถึงอย่างนั้นยังห่วงกดแผลให้ฉัน” ซูเสี่ยวหนิงเม้มปากแน่น มองเขาด้วยสายตาไม่ยอมแพ้ “ก็เพราะฉันกลัวตาย…ถึงต้องห้ามไม่ให้คุณตายก่อนไง!” คำพูดนั้นทำให้หวังอี้เฉิงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนหัวเราะออกมาอย่างหายาก เสียงหัวเราะของเขาฟังทุ้มต่ำสะท้อนในห้องโดยสาร ราวกับยอมรับความจริงที่ว่า… หญิงสาวตรงหน้าช่างแปลกกว่าผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยพบเจอ ขับฝ่าวิบากมาครึ่งค่อนคืน รถจึงได้มุ่งหน้าเข้าสู่เขตคฤหาสน์ของหวังอี้เฉิง มองเห็นแสงไฟไกลๆ ทำเธอโล่งใจ แบบนี้ถือว่ารอดแล้วใช่ไหม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD