บทนำ

2776 Words
บทนำ  เวลาเจ็ดนาฬิกาสี่สิบห้านาที กรุงเทพมหานคร...  บนถนนคลาคล่ำไปด้วยยวดยานพาหนะ บริเวณป้ายรถเมล์มีประชาชนหลายช่วงวัย บางคนนั่ง บางคนยืน บ้างชะเง้อมองออกไปบนท้องถนน บ้างยกนาฬิกาขึ้นดูก่อนจะถอนหายใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียด... ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่ง ใบหน้าเรียวค่อนข้างซีดเซียวนั้นปราศจากสีสันของเครื่องสำอางทุกชนิด ยกเว้นริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อ ที่ยังมีลิปกลอสเคลือบพอให้ความชุ่มชื้นอยู่บ้าง...  ดังนั้น แก้วกัญญา อิสริยา จึงถือเป็นบุคคลยกเว้นของสาวออฟฟิศยุคใหม่ ที่ไม่ต้องประชันขันแข่งทั้งเสื้อผ้าหน้าผม เพราะในความคิดของสาวร่างเล็กที่สูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตรถ้วนอย่างแก้วกัญญาหรือลูกแก้วของเพื่อนๆ จึงมีเพียงการตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน เลิกงานก็รีบกลับห้องพักเพื่อที่จะได้ทำงานพิเศษในร้านให้เช่าหนังสือทันเวลา... การทำงานพิเศษที่ต้องเลิกงานเที่ยงคืน ไหนจะต้องทำงานที่หอบกลับมาจากบริษัทต่อ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หญิงสาวกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ยืนรอรถเมล์ในเวลาจวนเจียนเส้นตาย และความหวังที่จะได้เบี้ยขยันก็อาจมีอันต้องหมดสิ้น! แก้วกัญญายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาพลางย่นหัวคิ้วเข้าหากันด้วยความรู้สึกร้อนรน หญิงสาวก้าวเท้าออกไปจนชิดขอบถนน แล้วชะเง้อมองก่อนจะหดหน้ากลับมาเมื่อยังไม่พบราชรถสายที่จะพาหล่อนไปเกยยังบริษัท ขณะที่กำลังหงุดหงิดอยู่นั่นเอง รถเมล์สายสวรรค์ก็เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผู้โดยสารชะตากรรมเดียวกันวิ่งกรูเบียดเสียดอลหม่าน         แก้วกัญญากอดกระชับแฟ้มงานไว้แน่นก่อนจะซอยเท้าวิ่งไปยังประตูทางขึ้น ถูกเบียดถูกกระแทกจากหญิงอ้วนเตี้ยจนพลัดตกมายืนบนพื้นอีกครั้ง เมื่อจะก้าวกลับขึ้นไปใหม่ก็ถูกชายหน้าเสี้ยมชนเสียจนแฟ้มหลุดออกจากอ้อมแขน นอกจากจะไม่ขอโทษหรือช่วยเหลือแล้ว หมอนั่นยังรีบดันตัวเองขึ้นรถหน้าตาเฉย แก้วกัญญาตาเขียวปัด ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน จนกระเป๋ารถเมล์เข้ามาช่วยเก็บ หญิงสาวจึงสามารถขึ้นไปยืนตัวลีบเบียดเสียดผู้คนมากมายพร้อมกับที่โชเฟอร์เร่งเครื่องกระชากตัวออกอย่างรวดเร็วจนร่างบางเกือบล้มหากจับราวไว้ไม่ทัน   นี่มันรถเที่ยวสุดท้ายสายมรณะหรือไง! หญิงสาวได้แต่รำพึงรำพันในใจอย่างเหลืออด แล้วก็เป็นแบบนี้ไปจนถึงหน้าบริษัท แต่เพียงเท้าข้างแรกก้าวลงแตะพื้น รถเมล์สายมรณะก็พุ่งตะบึงในทันที เหวี่ยงเจ้าของร่างเล็กจนหัวซุนหลุนๆ ไปข้างหน้า หญิงสาวหันขวับทำตาเขียววับมองตามท้ายรถอย่างเอาเรื่อง บ้าเอ๊ย! วันนี้มันวันโลกาวินาศอะไรกันนะเนี่ย!  หญิงสาวก้าวเข้าไปยังภายในตัวตึกสูงระฟ้าอย่างเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งตรงไปยังลิฟต์ตัวที่กำลังถูกปิด แล้วตะโกนตามเสียงไม่เบานัก “รอด้วยค่ะ! รอด้วย”  ลิฟต์ตัวเดิมชะงักกึก ก่อนเปิดกว้าง แก้วกัญญากล่าวขอบคุณเบาๆ ขณะแทรกตัวเข้าไปภายในลิฟต์ตัวนั้น “ชั้นสามสิบห้าด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวหดใบหน้ากลับมาพร้อมกับถอนหายใจยาว ดวงตากลมโตเหลือบดูลำดับความสูงที่ลิฟต์พาไป พลางเร่งความเร็วในใจ เร็วสิ ชักช้าจริง! ดวงตากลมโตหลุบมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งแล้วถอนหายใจหนักๆ  จนคนที่ยืนรอบตัวหันมองขณะที่หญิงสาวได้แต่คิดอย่างหวั่นวิตกไปต่างๆ นานาว่า...  ตาย! เธอตายแน่ลูกแก้ว แปดโมงสิบเจ็ดนาทีแล้ว เลยมาสิบเจ็ดนาที ฮือ... แย่แน่ พี่สดเอาตายแน่! ทันทีที่เท้าเล็กๆ ก้าวออกจากลิฟต์ หญิงสาวก็รีบวิ่งออกไปโดยไม่ได้ดูอะไรทั้งสิ้น ทำให้ชนเข้ากับร่างสูงคุ้นตาที่เลี้ยวมาจากอีกด้านอย่างจัง แฟ้มงานที่กอดเอาไว้จึงตกกระจัดกระจายลงมาเป็นครั้งที่สอง “ขอโทษครับคุณ เป็นอะไรไหม…”  ณัฐภาคย์ ดิษฐานันท์ ชะงักกึกหลังจากเอ่ยถาม เขามองหล่อนเหมือนตัวประหลาด ขณะที่หญิงสาวเจ้าปัญหายังไม่ทันรู้ตัว... “ขอโทษค่ะ ฉันไม่….”  แก้วกัญญาหุบปากฉับเมื่อเห็นว่าคนที่ตนชนคือใคร หญิงสาวใจกระตุกวูบ แก้มสีซีดค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ หัวใจเต้นโครมคราม ไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร ในเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือคนที่หล่อนแอบปลื้มมานานแสนนาน!  ณัฐภาคย์ก้มลงมองยัยเฉิ่มที่เขาและเพื่อนแอบตั้งฉายาไว้ตั้งแต่เริ่มแรกที่หล่อนเข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานธุรการ เขามองแก้มแดงๆ แล้วรู้สึกรำคาญ อะไรของยัยเฉิ่มวะ มายืนซื่อบื้ออยู่ได้ คนตัวโตส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด แล้วก้มลงเก็บแฟ้มที่หล่นเกลื่อนส่งให้หญิงสาวขณะที่เจ้าของยังยืนนิ่งราวกับถูกสตัฟฟ์อย่างไรอย่างนั้น “เอ้า! จะเอาไหมแฟ้มน่ะ ถ้าไม่เอาฉันจะได้โยนทิ้ง” น้ำเสียงกระแทกที่แว่วดังเข้ามาทำให้แก้วกัญญาตื่นจากภวังค์ รีบรับแฟ้มจากชายหนุ่มมากอดไว้แน่น ก่อนจะหลุบตาลงมองปลายเท้าอย่างขัดเขิน แก้มแดงแจ๊ด ขวยเขิน ทำอะไรไม่ถูก ก็มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดที่หล่อนจะได้เข้าใกล้เขาขนาดนี้...  ชายหนุ่มมองคนตัวเตี้ยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วบิดปากหมิ่นๆ ฮึ ยายเฉิ่มเอ๊ย เชยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงจริงๆ เขาส่ายหน้าก่อนจะหมุนตัวไปยังห้องทำงานอย่างไม่อยากจะสนใจให้เสียเวลา! แก้วกัญญาเงยหน้ามองตามแผ่นหลังกว้างไปจนสุดสายตาด้วยความเสียดาย ก่อนจะก้มลงยิ้มให้กับตัวเองแล้วก็เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เลือนหายเมื่อนึกได้ว่าหล่อนสายมากแล้ว จึงรีบซอยเท้ายิกเข้าห้องทำงาน... “ยัยลูกแก้ว! หล่อนไปมุดหัวที่ไหนมาฮะ!”  แก้วกัญญาสะดุ้งเฮือก นั่งก้มหน้าประสานมือเข้าหากัน คุณสดใส เมธา หัวหน้าแผนกธุรการตวาดแว้ดใส่ลูกน้องของตนทันทีที่ฝ่ายนั้นหย่อนก้นลงแตะเก้าอี้ส่วนตัว “ว่าไงฮะ ทำไมถึงได้มาเอาป่านนี้ คนอื่นเขารอข้อมูลจากเธอคนเดียวเลยนะ” คุณสดใสหรือพี่สดที่แก้วกัญญาเรียก พูดฉอดๆ จนหญิงสาวอ้าปากค้าง “เอ่อคือลูกแก้ว ลูกแก้ว ตื่นสายค่ะ!” แก้วกัญญาพูดไปแล้วก็ต้องคอย่นกลับมาเมื่อถูกอีกฝ่ายว้ากใส่ไม่ยั้ง ขณะที่เพื่อนร่วมห้องต่างมองมาอย่างหวาดเสียว บ้างสงสาร บ้างสมน้ำหน้าในความซื่อบื้อ ตรงแสนตรงของหล่อน “อะไรนะ! นี่ นี่เธอบอกว่าตื่นสาย เอาอะไรคิด คำตอบมีตั้งเยอะตั้งแยะ ตอบมาได้ตื่นสาย!” คุณสดใสกระฟัดกระเฟียดใส่ขณะที่แก้วกัญญานั่งหน้าซีดแล้วซีดอีก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเอาอย่างไรแน่ จึงได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งอย่างยอมรับชะตากรรม จนคุณสดใสอดสงสารไม่ได้ตามเคย  “เอาละๆ ไหนๆ เธอก็สายแล้วนี่ ว่าแต่ไหนล่ะงาน” คุณสดใสเอ่ยถามพลางส่ายหน้าอย่างระอาในความซื่อ ถ้าซื่อจนเซ่อแบบนี้บ่อยๆ มีหวังถูกหลอกเข้าสักวัน คุณสดใสคิดอย่างเป็นห่วง ในขณะที่แก้วกัญญายื่นแฟ้มมาตรงหน้าพลางเปิดให้อีกฝ่ายดูอย่างกระตือรือร้น  หัวหน้าฝ่ายธุรการเปิดพลิกไปมาก่อนจะกลับมาที่หน้าแรกแล้วย่นคิ้วก่อนจะคลายออก ทำให้คนที่ชะเง้อมองด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ กระทั่งคุณสดใสปิดแฟ้มลงและมองหล่อนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เดี๋ยวตามฉันไปที่ห้อง เอาแฟ้มงานมาด้วย” ว่าแล้วคุณสดใสก็กลับอย่างรวดเร็วเหมือนขามาไม่มีผิด แก้วกัญญาถอนหายใจดังเฮือก ก่อนจะมองไปรอบๆ เพื่อนพนักงานพากันหลบตาวูบวาบทำเป็นสนใจงานตรงหน้ากันเป็นแถว ผิดจากเมื่อครู่ที่ชะเง้อคอยาวอยากรู้อยากเห็น จะมีก็แต่อัญตราเพื่อนสาวคนสวยที่นั่งโต๊ะข้างกันเท่านั้น หันมาถามอย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นไรใช่ไหมลูกแก้ว อย่าคิดมากเลยนะ พี่สดแกก็เป็นแบบนี้แหละ ปากร้ายแต่ใจดี” อัญตราให้กำลังใจคนหน้าซีด  “ฮือ... ขอบใจนะ เดี๋ยวลูกแก้วเอาแฟ้มเข้าไปก่อน ชักช้าพี่สดจะเอ็ด” แก้วกัญญาหอบแฟ้มขึ้นมากอดแล้วเดินไปยังห้องผู้มีอำนาจมากกว่าทันที ก๊อกๆๆ ประตูถูกเปิดเข้าไปแล้วปิดลงอย่างเบามือ แก้วกัญญาวางแฟ้มที่หอบเข้ามาลงบนโต๊ะทำงานตรงหน้า ส่วนคุณสดใสนั่งหน้าขรึมอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ “นั่งสิ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณเบาๆ หล่อนมองดูคุณสดใสขยับแว่นตาแล้วเอื้อมมาหยิบแฟ้มอีกแฟ้มขึ้นไปเปิดดูเรื่อยๆ ทีละแผ่นจนครบทุกแฟ้มแล้ววางลงพลางถอนหายใจยืดยาว สร้างความหวั่นวิตกให้กับหญิงสาวยิ่งนัก “ใช้ได้ แต่…” แก้วกัญญาหุบยิ้มทันทีที่มีคำว่าแต่ “ทีหลังช่วยมาให้มันเร็วกว่านี้หน่อยนะจ๊ะแม่ลูกแก้ว แล้วไอ้ข้อแก้ตัวแบบตรงซะจนฉันยังอึ้งนี่ก็ขอเถอะนะ ขอแบบที่มันฟังดูดีแต่ไม่เสริมแต่งมากจนเกินไปหน่อย โดยเฉพาะต่อหน้าคนอื่น พี่น่ะไม่อยากจะว่าอะไรเธอหรอก แต่ที่พี่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะถ้าพี่ปล่อยเฉย ลูกน้องคนอื่นจะมาว่าพี่ได้ว่าพี่ลำเอียง ว่าแต่ทำไมวันนี้ถึงช้าล่ะ”  คุณสดใสจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง พลางยกมือขึ้นมาวางประสานกันบนโต๊ะรอคอยคำตอบ ขณะที่แก้วกัญญาได้แต่ยิ้มแหย... “คือเมื่อคืนลูกแก้วทำรายงานดึกไปหน่อยค่ะเลยตื่นสาย ลูกแก้วขอโทษนะคะ จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกลูกแก้วสัญญา” หญิงสาวประนมมือขึ้นแสดงความขอโทษและสำนึกผิด  “ไม่เป็นไร ฉันจะถือเสียว่าเป็นความผิดครั้งแรกของเธอก็แล้วกัน แต่ที่อารมณ์เสียก็เพราะว่าคุณศักดิ์สิทธิ์ต้องการเอกสารรายงานตัวนี้ เพราะว่าเก้าโมงครึ่งจะมีการประชุม ว่าแต่ที่ว่าทำรายงานดึกน่ะ กี่ทุ่มกัน”  คุณสดใสมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างอ่อนใจ “ก็ไม่กี่ทุ่มหรอกค่ะ แค่ตีสามเอง” คำตอบของหล่อนทำให้คนที่เพิ่งจะเอนหลังอิงพนักเก้าอี้ถึงกับยืดตัวตรงขึ้นมาทันที “หา! ตีสามเรอะ? ตายละ! แล้วเธอได้นอนกี่ชั่วโมง นี่มันอะไรกันลูกแก้ว งานแค่นี้พี่ว่าเธอน่าจะทำได้เร็วกว่านี้นะ” แววตาที่มองมาอย่างคาดคั้นและหงุดหงิด ทำให้แก้วกัญญาก้มหน้ามองมือตัวเองอย่างลำบากใจก่อนจะตอบไปในที่สุด “คือ...ที่ดึกก็เพราะว่าหลังจากเลิกงานที่บริษัท ลูกแก้วต้องไปทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านหนังสือจนถึงเที่ยงคืนค่ะ กว่าจะได้ทำรายงานก็เลยดึกไปนิด”  แก้วกัญญาก้มลงอีกครั้ง ขณะที่คุณสดใสนึกถึงคำบอกเล่าของ อัญตราว่าแก้วกัญญาต้องทำงานพิเศษเพื่อที่จะหาเงินไปรักษาน้องชายคนเดียวที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งมานานแล้ว... “เอาละ ไม่มีอะไรแล้วเธอไปได้ อ้อ! อย่าลืมหากาฟงกาแฟกินซะด้วยล่ะ มันจะได้ตื่นๆ ดูหน้าเธอเซียวเหลือเกินนี่เดี๋ยวหน้าจะมืดไปเสียก่อน” คุณสดใสว่าพลางมองหญิงสาวร่างบางอย่างเวทนาขณะที่อีกฝ่ายหันมารับคำอย่างตื้นตันใจแล้วเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ แต่พอลับหลังได้แค่พริบตาเสียงโทรศัพท์ภายในห้องก็ดังขึ้น กริ๊ง กริ๊ง  “สวัสดีค่ะ ค่ะ ได้ค่ะคุณศักดิ์สิทธิ์ ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะนำไปให้เดี๋ยวนี้ค่ะ” คุณสดใสรีบนำแฟ้มที่แก้วกัญญานำมาให้ตรงไปยังห้องประชุมทันที “ลูกแก้ววันนี้กินอะไรกันดีล่ะ จะเที่ยงแล้วนะ” อัญตราสาวสวยประจำแผนกและยังเป็นเพื่อนสนิทของแก้วกัญญาเดินมาเกาะโต๊ะถามหญิงสาว “อืม อะไรดีล่ะ คิดไม่ออกแฮะ แล้วอัญล่ะ จะกินอะไร”  แก้วกัญญาถามสาวสวยตรงหน้าที่มองเท่าไรก็ไม่เบื่อ พลางนึกในใจว่าอัญตรานี่สวยจริงๆ จะมองตรงไหนก็สวยไปหมด มองไปมองมาแล้วก็ก้มลงมองตัวเอง แล้วอดคิดอย่างปลงๆ เสียไม่ได้ว่าเวลาเดินเคียงคู่กันไปไหนมาไหนกัน หล่อนจึงด้อยกว่าเสียทุกครั้ง เวลาเดียวกันอัญตราก็เขย่าแขนหญิงสาวแรงๆ จนต้องรีบเงยหน้าขึ้นมอง “อะไรอัญ” แก้วกัญญาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะมองตามสายตาเพื่อนสาวคนสวย หัวใจกระตุกวูบเมื่อรับรู้สิ่งที่ทำให้เพื่อนสาวตื่นเต้น “คุณแสบนี่นา... วันนี้นึกไงเข้าบริษัทได้” อัญตราทำสุ้มเสียงพร่ำเพ้อ ส่วนแก้วกัญญาเองก็ได้แต่มองตามชายหนุ่มและบุคคลระดับผู้บริหารเดินออกจากห้องประชุมตรงไปยังห้องรับรองซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของตึกอย่างใจลอย ก่อนจะหันมาเจอสีหน้าและแววตาชื่นชมของเพื่อนที่มองตามผู้ชายในฝันอย่างรู้สึกสมเพชตัวเอง โธ่เอ๊ย! ยัยลูกแก้ว หัดเจียมตัวเสียบ้าง อย่าไปมองอะไรให้มันสูงนักเลย ดูสิขนาดอัญตราสวยขนาดนี้เขายังไม่มองเลย แล้วเธอล่ะ ตื่น...แล้วเลิกฝันซะทีเถอะ เขาเป็นใคร แล้วเธอล่ะเป็นใคร  แก้วกัญญาได้แต่ส่ายหน้ากับตัวเองอย่างเศร้าๆ ขณะที่อัญตราหันมาเห็นเข้าพอดีจึงถามอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรไปน่ะ ท่าทางยังกับคนอกหัก” แก้วกัญญาหน้าตาตื่นเมื่อถูกเพื่อนทัก  อะไรกัน! นี่หน้าเรามันฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอ  “เอ่อปละ... เปล่าจ้ะ แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”  อัญตราแสดงสีหน้าไม่เชื่อแต่ก็ไม่คิดถามอะไรมาก เพราะในใจยังสนใจณัฐภาคย์ “คุณแสบน่ารักเนอะ คนอะไรก็ไม่รู้ยิ่งดูยิ่งมีเสน่ห์ ยิ่งพิศยิ่งเท่ เสียอย่างเดียว…” คำพูดค้างคาของเพื่อนรักทำให้แก้วกัญญาต้องหันไปมองแววตากังขา “เสียอย่างเดียวอะไร...” แก้วกัญญาทำคิ้วย่น ขณะที่อัญตรามองมายิ้มๆ พลางยักคิ้วให้ก่อนตอบ “ก็ไม่สนเราน่ะสิ แหมเข้าออฟฟิศทั้งทีแทนที่จะมาทักทายผู้น้อยสักหน่อยไม่เคยเลย ก็อย่างว่าแหละ งานเขาเยอะ แถมอยู่คนละแผนกกับเราอีกต่างหาก เออลูกแก้ว! ฉันรู้แล้วว่าทำไมคุณแสบที่เป็นถึงหลานชายท่านประธานถึงไม่ยอมรับตำแหน่งใหญ่เกินหัวหน้าฝ่ายช่างภาพน่ะ”  อัญตรากระซิบบอกเพื่อนพลางยื่นหน้าเขามาใกล้เพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน  “ทำไม” แก้วกัญญาถามพลางขมวดคิ้วมุ่น  “ก็แหม เขาปิดกันให้แซด เขาว่ากันว่าคุณเจนภพลูกชายท่านน่ะไม่ยอม เขาว่าอิจฉาที่คุณแสบทำงานดีกว่า แถมพ่อก็ยังไว้ใจมากก็เลยอาละวาดเอา”  คำบอกเล่าของเพื่อนสนิททำให้คนฟังงุนงงหนักขึ้นไปอีก เป็นไปไม่ได้คุณเจนภพเนี่ยนะ ไม่เชื่อเด็ดขาด! “ฉันไม่เชื่อ คุณเจนภพออกจะอัธยาศัยดี นิสัยก็ดี เข้ากับลูกน้องทุกคนได้ดี ไม่เคยรังเกียจว่าใครจนเลยนะ แถมยังทำงานดีอีกต่างหาก ดูสิตำแหน่งรองประธานที่คุณเจนภพทำอยู่ ก็ทำได้ดีไม่มีที่ติเชียว แล้วงี้เธอจะว่าคุณเจนภพเขาเป็นแบบนั้นได้ไงล่ะอัญ” แก้วกัญญาถามอย่างอยากไม่อยากเชื่อ ขณะที่เพื่อนสาวคนสวยย่นจมูก “ก็แหมลูกแก้ว ก็ฉันบอกแล้วไงว่าเขาบอกๆ ไม่ใช่ฉันบอกสักหน่อย” อัญตราแก้ตัวน้ำขุ่นๆ  “อ้าว ก็แล้วอัญเชื่อเหรอ” แก้วกัญญามองมาเป็นคำถาม อัญตราจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ก็... ไม่อยากเชื่อหรอก อาจจะเป็นคนขี้อิจฉาที่คอยใส่ร้ายก็ได้ อย่าไปสนใจเลย ฉันก็แค่อยากถ่ายทอดความรู้ที่ได้มาก็เท่านั้น”  อัญตราทำหน้าทะเล้น แก้วกัญญาจึงได้แต่ส่ายหน้าและมองเพื่อนยิ้มๆ 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD