ตอนที่ 28 ป้อขา
“เป็นอะไรวะหน้าเป็นตีนเลย” ระพีทัศน์ถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึง คิ้วหนาขมวดมุ่นแทบจะเป็นปม มิหนำซ้ำยังไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าแก้วเหล้าของใครสักคนในกลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ก่อนหน้า ยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว ด้วยสีหน้าเครียดจัด
“เห้ย ๆ เบาเว้ยเบา เดี๋ยวได้เดี้ยงกลับไปหยอดน้ำข้าวต้มอีกหรอก” รชตะรีบร้องห้าม พร้อมกับดึงแก้วในมือของอธิษฐ์กลับมาถือไว้กับตัว
“มึงเป็นบ้าอะไรอีก กระดูกมึงเพิ่งต่อติดไม่ใช่เหรอวะ”
“แม่ง ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงนะ”
“อะไรวะ ใครทำอะไรมึง หรือว่าน้องณิดา?”
“ฮึ ณิดา...เขาไม่เคยทำอะไรกู มีแต่กูนี่ล่ะที่ทำให้เขาเจ็บ”
“อ้าว แล้วมึงหมายถึงใคร”
“กูพูด ก็เหมือนกูขายผู้หญิง ช่างมันเถอะว่ะ” อธิษฐ์ตัดบท ทั้งที่ใจนั้นแทบจะเผาไหม้ด้วยความโกรธเคือง ชิงชังอดีตหญิงสาวที่เขาเคยปักใจรักมานาน นานราวกับเป็นคนโง่เขลา ทั้งที่เธอเลือกทิ้งเขาไปหาชายอื่น ที่คิดว่ามีดีกรีดีกว่า หล่อกว่า และรวยกว่าเขาแค่นั้น และก็เป็นเขาเองที่เป็นคนเปิดรับให้อีกฝ่ายได้กลับมาทำร้ายเขาได้อย่างเลือดเย็น
เสียงเพลงดังกอปรกับบรรยากาศโดยรอบคลาคล่ำ ไปด้วยเหล่านักท่องเที่ยวชวนให้ยิ่งคึกครื้นสนุกสนาน ทว่า กลับมีชายคนหนึ่งนั่งด้วยอารมณ์ที่แตกต่างจากสภาวะโดยรอบอย่างสิ้นเชิง
“แม่งสามวันดี สี่วันร้าย วันก่อนกูยังเห็นมันโอเคอยู่เลย”
“วันไหนวะ” รชตะหันมาแกล้งถาม รวิชญ์
“กูเห็นแม่งมีแต่แย่กับแย่ อีกนิดจะผูกคอตายอยู่แล้ว”
“กูก็ว่างั้นล่ะ ว่าแต่วันนี้พี่ปก จะเข้ามาไหมวะ หายไปเลย”
“กูว่าไม่ว่ะ ช่วงนี้เห็นแกมีเรื่องยุ่ง ๆ อยู่ คงไม่เข้ามาพักใหญ่เลยกูว่า" ระพีทัศน์บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะยกแก้ววิสกี้ตัวเองขึ้นจิบ ทิ้งตัวนั่งพิงกับพนักอย่างผ่อนคลาย ทว่าสายตากลับเหลือบเห็นใครบางคนกำลังเดินตรงเข้ามายังกลุ่มของเขา คิ้วหนาขมวดมุ่นด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
“เห้ย...นั่นเมียเก่าไอ้อธิษฐ์หรือเปล่าวะ”
“ไหนวะ...เห้ยน้องเป้ยมา ไอ้ธิษฐ์! น้องเป้ยมึงมา” รชตะรีบสะกิดบอกเพื่อนสนิทที่ยังคงนั่งหน้าเครียดไม่พูดไม่จา ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เอาแต่ยกแก้วเหล้าตนเองขึ้นดื่ม กระทั่ง
“พี่อธิษฐ์ ไหนบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำไงคะ” หญิงสาวเอ่ยต่อว่าเขาทันทีที่เดินถึงตัว ก่อนจะหันไปมองสบตาคนอื่น ๆ ที่จ้องมองมาที่เธอแต่แรกอยู่ก่อนแล้ว ถึงได้ยกมือขึ้นกระพุ่มไหว้ ทักทายทุกคนอย่างเสียไม่ได้
“อ้าวน้องเป้ย ไม่เจอนานเลย มาเที่ยวที่นี่ด้วยเหรอ” รวิชญ์หันไปถามด้วยความแปลกใจ
“ค่ะ เป้ยมากับพี่อธิษฐ์ตั้งแต่เย็นแล้ว...ทำไมหลบมานั่งตรงนี้คะ บอกว่ามาแปบเดียว” หล่อนยังหันกลับไปต่อว่าเขาด้วยท่าทีกระเง้ากระงอดอย่างที่เคยชอบทำมาเสมอ
อธิษฐ์ได้ยินประโยคเหล่านั้นถอนใจหนัก กรามขบแน่นก่อนจะกระแทกแก้วเหล้าในมือวางลงบนโต๊ะเสียงดัง ปัง! สะดุ้งโหยงครบวง
“เห้ยไอ้อธิษฐ์ เป็นไรวะ”
“กูกลับล่ะ” ตัดบทเสียงเข้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าขบกรามแน่นพยายามระงับอารมณ์ตัวเองอย่างยิ่งยวด ก่อนจะปรายตามองหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นอดีตคนรักของเขา ด้วยสายตาดำมืด ไม่คิดพูดสักคำ
ทว่ากลับทำให้หญิงสาวถึงกับชาวาบไปทั่วแผ่นหลัง ราวกับโดนเอาน้ำเย็นราดรดกลางศีรษะ รู้ในทันทีว่าเขาคงจะรับรู้และได้ยินสิ่งที่เธอและเพื่อนได้ยินมาทั้งหมดแล้ว
หญิงสาวรีบสับเท้าเดินตามแทบจะกลายเป็นวิ่ง จนกระทั่งทันตัวเขาที่กำลังจะก้าวเดินถึงรถยนต์คันหรูที่จอดอยู่ในลานกว้าง
“พี่อธิษฐ์! เป็นอะไรไปคะ”
“เลิกยุ่งกับพี่สักทีเถอะเป้ย”
“อะไรกันคะพี่อธิษฐ์ พี่เป็นอะไรไป” หล่อนร้องถาม พร้อมกับจับแขนเขาเหนี่ยวรั้งไว้ ให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับเธอ ทว่าเขากลับสะบัดแขนออกเต็มแรง จนร่างนั้นเซถลาถอยไปหลายก้าว แทบเสียหลัก พร้อมกับตวาดซ้ำจนเธอถึงกับผงะด้วยความตกใจ
“อย่ามายุ่ง!”
“พี่อธิษฐ์! นี่พี่เป็นบ้าอะไรน่ะ ทำไมถึงต้องทำกับเป้ยขนาดนี้ด้วย”
“ฮึ...อย่าให้พี่ต้องพูดเลยนะเป้ย เสียแรงที่พี่เคยรัก พี่ไม่คิดเลยว่าเธอจะร้ายกาจได้มากขนาดนี้” คำต่อว่ารุนแรงทำให้หญิงสาวกับผงะอึ้ง ใบหน้าถอดสีด้วยความตกใจ
“พี่อธิษฐ์...เดี๋ยวนะคะ...พี่ต้องเข้าใจอะไรเป้ยผิดแน่ ๆ”
“พี่มันโง่เอง โทษใครไม่ได้หรอก” ต่อว่าตนเองด้วยความเจ็บใจ พร้อมกับปรายตามองหญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเขามอบหัวใจไปให้เธอแบบเต็มร้อยโดยไม่คิดเผื่อใจไว้เลยสักนิด ทว่าวันนี้เขากลับตาสว่าง รู้นิสัยใจคอหญิงสาวจนหมดแล้ว
“ส่วนเรื่องงาน เธอจะย้ายไปอยู่เขตไหน จังหวัดไหนก็แล้วแต่เลย ขอแค่อย่าอยู่ในกรุงเทพ ฯ อีก ไม่งั้นเธอก็ลาออกไปซะ”
“พี่อธิษฐ์!!! ทำไมต้องทำกับเป้ยขนาดนี้ด้วยคะ เป้ยท้องอยู่นะคะ”
“ฮึ นั่นมันก็เรื่องของเธอ!” นัยน์ตาคมปรายตามองอย่างเย็นชา ก่อนจะเปิดประตูขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที โดยไม่คิดสนใจฟังเสียงร้องเรียกที่พยายามกู่ตะโกนให้เขาหยุดรถเพื่อฟังเธออีกต่อไป
เวลาผ่านไปสามปี
“ป้อขา ๆ” เสียงเล็กน่ารัก ตะโกนกู่ร้องขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังขี้ม้าทะยานด้วยความเร็วอยู่บนทุ่งกว้าง โดยมีเสียงกรีดร้องตะโกนเชียร์พร้อมกับปรบมือระรัวด้วยความชอบใจ
ก่อนที่ใครคนนั้นจะควบม้าตัวโปรดวิ่งตรงมายังกลุ่มของสาว ๆ ที่ยึดพื้นที่ด้านข้าง สำหรับปิกนิกในช่วงบ่ายแก่ของวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดพักผ่อนของพนักงานในรีสอร์ท เอวา โบทานิกา แล้วยังมีเตาหมูกระทะตั้งวางอยู่ให้ทุกคนได้ล้อมวงกันกินสนุกสนาน
“เอญ่า...อย่าไปเรียกพ่อเลี้ยงเขาแบบนี้สิลูก” หญิงสาวหันมาปรามลูกสาวตัวน้อยวัยใกล้สามขวบ ที่กำลังช่างพูดช่างเจรจา ช่างจดช่างจำ จนใครในรีสอร์ทต่างพากันเอ็นดูสาวน้อย เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเป็นลอนอ่อนตามธรรมชาติ เส้นผมนุ่มฟูคล้ายปุยข้าวเบา ๆ เวลาวิ่งเล่นกลางแดด เส้นผมของเธอสะท้อนแสงอ่อน ๆ ราวกับเส้นไหม
“อย่าไปดุลูกสิ ณิดา” เสียงเข้มจากชายหนุ่มที่ควบม้าวิ่งเหยาะมาหยุดตรงหน้าเธอ และสาวน้อยที่กำลังส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดชอบใจใหญ่ ส่งเสียงบอกมาก่อนถึงตัวเสียอีก
“พ่อเลี้ยงให้ท้ายเอญ่าเรื่อยเลยนะคะ” หล่อนหันมาค้อนใส่ ชายหนุ่มที่กำลังมองดูลูกสาวเธอความเอ็นดู แถมยังย้ำสถานะนั้นให้กับสาวน้อยถึงกับหัวเราะคิกด้วยความชอบใจ
“อยากไปขี่ม้าเล่นกับพ่อไหม”
“ปายค่า ขี่ม้าเล่นฮี่ ๆ ค่า” สาวน้อยรีบปีนขึ้นบนเก้าอี้ พร้อมกับกางแขนออกให้เขาโน้มตัวลงมารับขึ้นไปนั่งอยู่บริเวณด้านหน้า ส่งเสียงหัวเราะชอบใจใหญ่ ขณะที่เขาค่อย ๆ ควบม้าวิ่งออกไปทันทีในระดับความเร็วไม่มากนัก แต่ก็ทำให้หนูน้อยชอบใจส่งเสียงหัวเราะลั่นได้ยินจนทั่ว
“ดูท่าพ่อเลี้ยงจะรักเอญ่ามากเลยนะ” นิดหน่อย พนักงานรุ่นพี่ ออกความเห็น
“นั่นสิ คอยตามใจ ไม่เคยขัดอะไรเลยด้วย” แป้งเพื่อนพนักงานที่รู้จักและสนิทสนมกันมาตั้งแต่เธอเข้ามาเริ่มงานนี้ เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ หล่อนเป็นสาวพื้นเมืองที่มีขาวนวล ผมดำขลับ กับใบหน้าสวยหวาน น่ามอง แต่เพราะช่วงชีวิตก่อนหน้าได้ไปเติบโต และเล่าเรียนอยู่ในกรุงเทพ จึงมีวิถีและไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกันกับเธอ รวมไปถึงอาหารการกินต่าง ๆ จึงทำให้ทั้งสองใช้เวลาไม่นาน ก็สนิทสนมคุ้นเคย และคอยช่วยเหลือเธอมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงปีแรก ของการย้ายชีวิตมาอยู่ที่นี่ แล้วยังตั้งท้อง ทำให้เป็นช่วงเวลาค่อนข้างอ่อนไหวกว่าปกติ
แต่โชคดีที่ทุกคนในเวลานั้นค่อนข้างเข้าใจเธอดี และเธอเองก็ไม่เคยหยิบยกปัญหาส่วนตัวเหล่านี้ มาเป็นข้ออ้าง เอาเปรียบเพื่อนร่วมงานคนไหนเลยสักคน
“ว่าไปแล้ว เธอไม่คิดจะใจอ่อนให้พ่อเลี้ยงหน่อยเหรอ ดู ๆ แล้วเหมือนเขาจะสนใจแกอยู่ไม่น้อยเลยนะ คอยตามจีบ ตามดูแลมาตลอดหลายปีเนี่ย”
“ไม่หรอกพี่ หนูน่ะคนมีพันธะ มีลูกติด ส่วนพ่อเลี้ยงน่ะเขาเป็นนาย แล้วยังโสด ให้เขาเจอคนที่เหมาะ ที่คู่ควรกับเขาดีกว่า”
“โอ้ย ดูพูดจาเข้า สมัยนี้แล้วไม่มีใครเขาสนใจเรื่องแบบนี้หรอกณิดา เราน่ะทั้งสวย ทั้งน่ารัก นิสัยก็ดี ไม่มีอะไรให้ติเลยนะ”
“พี่นิด อย่าไปโน้มน้าวเลยไม่ได้ผลหรอก ฉันพูดเชียร์ปากเปียกปากแฉะ ไม่เคยได้ผล” สาวพื้นเมืองหน้าขาวอดจะค่อนแคะเพื่อนสนิทไม่ได้
“ฮึ ไม่แน่นะ ยัยหนูเอญ่า อาจจะเป็นแม่สื่อตัวน้อยให้ก็ได้ เดี๋ยวนี้ ร้องอยากจะมีพ่อ เหมือนยัยปิ่นลูกคนงานท้ายไร่ ทุกวันนี้ก็ตามติดพ่อเลี้ยงแจ”
“นั่นสิ”
“พอ ๆ เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบกิน เถอะ เดี๋ยวเนื้อไหม้หมดแล้ว” นิษฐ์รัณดาเริ่มรู้สึกว่าเรื่องที่คุย ชักเลยเถิด จึงรีบตัดบทแล้วหันไปคีบเนื้อหมูที่ย่างจนสุกได้ที่แล้วใส่ปากเคี้ยว พลางชำเลืองไปยังลูกสาวตัวน้อยของเธอที่กำลังเล่นสนุก เพลินอยู่กับการขี่ม้าอยู่กลางไร่ชาของพ่อเลี้ยงเมฆินทร์ เจ้าของรีสอร์ท เอวา โบทานิกา แห่งนี้