“อ้ายทิด!” (พี่) เสียงนิตยาร้องเรียกสามีมาแต่ไกล วันนี้เขานอนตื่นสายกว่าทุกวัน เธอเดินเข้ามาใกล้ ขาก้าวขึ้นบันได แล้วเรียกเขาอีกครั้งพร้อมเปิดประตูบ้านเข้ามา “อ้ายทิดนาจ!” (พี่นาจ)
ชายร่างอ้วนท้วนที่กำลังนอนสลบไสลอยู่ในห้องแคบ ๆ ถึงกับสะดุ้ง ดีดตัวลุกขึ้นนั่งเหยียดขาตรงอยู่บนที่นอนเก่าซอมซ่อ ผมเผ้าชี้ฟูทำหน้ามึนงง
ใครเรียก? เขาชื่อมาวินแล้วนาจมาจากไหน
ดวงตาคมคายมองหญิงสาวที่สวมผ้าถุงเสื้อแขนยาวสีดำมีผ้าคลุมหน้าด้วยความตกใจ
“เป็นหยังคือเฮ็ดหน่าจั่งซั่น” (ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้น) นิตยาพูดพร้อมกับใช้มือคลี่ผ้าขาวม้าที่คลุมหน้าออกช้า ๆ
“เฮ้ยผี!” มาวินร้องขึ้น หน้าตาแตกตื่น ถอยกรูดจนหลังไปชนกับสังกะสีที่ใช้ทำฝาผนังบ้าน “เอ๋อฮ่อน” (โอ๊ยร้อน) มาวินสะดุ้งโหยงเมื่อโดนสังกะสีช่วงเที่ยงลวกแขน เขาผละกายออกห่างจากสังกะสีแทบไม่ทัน ยกมืออีกข้างลูบแขนตัวเองป้อย ๆ “ทำไมพูดอีสานได้วะ” มาวินพึมพำกับตัวเองทั้งที่เขาเป็นคนลูกครึ่ง
อ้อ ใช่สิเขาลืมไปว่าเขาเป็นลูกครึ่งอุดรฯ-หนองคาย แค่เขาไปอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่เด็กแค่นั้นเอง
“ฮะ! เจ้าว่าหยังเกาะ เฮ็ดปานบ่อเคยเห็นหน่าข่อย เจ้าเป็นบ้านอนติ” (ฮะ! พี่ว่าอะไรนะ ทำยังกับไม่เคยเห็นหน้าฉัน พี่นอนละเมอเหรอ)
นิตยาถาม ขาก็ก้าวเข้าไปใกล้สามีขี้เกียจไม่หยุด เธอได้ยินเหมือนเขาพูดภาษากลาง
“อย่า! อย่าเข่ามา” (อย่า! อย่าเข้ามา) อำนาจโบกมือไม่ให้เธอเดินเข้ามาใกล้ ทำไมหน้าผู้หญิงคนนี้ถึงได้น่านัก แก้มขวายังปกติดี แต่แก้มข้างซ้ายสูงตั้งแต่คางขึ้นไปจนถึงขมับนั้นเหมือนมีเส้นเลือดดำสอดสานกันอยู่เป็นพันเป็นหมื่นเส้นคล้ายกับรากฝอยของพืช มันไม่ใช่ปานดำ มองผ่าน ๆ คล้ายกับผีอย่างไรอย่างนั้น “อ้ายขอตั้งสติก่อน” (พี่ขอตั้งสติก่อน) ตอนนี้ในใจเขากำลังสับสนวุ่นวายไปหมด
นิตยาทำหน้างงกับคำว่าอ้ายของเขา ปกติเขาแทนตัวเองว่ากูกับมึงกับเธอเสมอ แล้ววันนี้ทำไมแทนตัวเองว่าพี่ได้
แต่แล้วเธอก็คิดว่าสามีตัวเองนอนละเมอจึงไม่คิดอะไรมาก “กะซั่นข่อยสิไปเฮ็ดแนวกิน เจ้าไปล่างหน่าไป” (ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปทำกับข้าว พี่ไปล้างหน้าเถอะ) ว่าแล้วนิตยาก็เดินทะลุไปอีกฝั่งของบ้านที่มีเพียงห้องเดียว แล้วเริ่มก่อไฟทำอาหาร
“เอ้อ” (ครับ) มาวินในร่างอำนาจรับคำเสียงแผ่ว มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา ร่างอ้วนเกือบร้อยกิโลกรัมงอขาเข้ามาหาตัวแล้วนั่งกอดเข่าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก มันแทบจะกอดไม่มิดเพราะติดพุง เขาค่อย ๆ ทำใจให้เย็น หายใจเข้าลึกหายใจออกยาวอยู่หลายนาที ก่อนที่ความจำของร่างเดิมจะค่อย ๆ พรั่งพรูเข้ามาในหัว
มาวินไปงานเลี้ยงของบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเขตสาทร จำได้ว่าขากลับตัวเองไม่ได้เมา รถไม่ได้เกิดอบัติเหตุ แต่ว่าเขาเบรกรถกะทันหันเพราะเห็นเด็กที่วิ่งข้ามถนนโดนรถยนต์คันข้างหน้าเหยียบตายไปต่อหน้าต่อตา จนเขาเกิดอาการ…แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก และหัวใจวายเฉียบพลัน
ใช่ เขาหัวใจวายตายเพราะเขาเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว
แล้วไอ้อ้วนนี้ล่ะทำไมเขาถึงตาย มาวินนั่งคิดสักพัก…
เมื่อคืนก่อนนอนร่างนี้รับประทานอาหารเย็นกับซุบหน่อไม้อย่างเอร็ดอร่อยจนข้าวเหนียวหมดไปหนึ่งกระติบใหญ่เพียงคนเดียว จากนั้นก็เข้านอน แล้วเขาก็…
ใช่ ผู้ชายคนนี้นอนหลับตายโดยไม่รู้ตัวหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าไหลตาย
เฮ้อ! ก็ตายไม่ค่อยต่างกันนัก บทจะตายก็ตายง่ายเหลือเกิน ที่สำคัญร่างนี้มีภรรยาแล้ว ภรรยาที่มีใบหน้าอัปลักษณ์
มาวินแหงนหน้ามองหลังคาบ้านที่มุงด้วยสังกะสี เห็นแสงตะวันที่ลอดผ่านรูรั่วของสังกะสีเป็นประกายระยิบระยับคล้ายกับมองดูดาวตอนกลางคืน แต่โทษทีมันไม่ได้โรแมนติกขนาดนั้น ตอนนี้ตัวเขาเปียกโชกไปหมดเพราะเหงื่อไหลทะลักออกมาไม่หยุด จากนั้นไล่สายตาลงมามองรอบห้อง กะด้วยสายตาน่าจะกว้างยาวแค่สี่คูณห้าเมตรเท่านั้น ตู้เสื้อผ้าเป็นแบบถุงผ้ามีซิบรูดอยู่ด้านหน้า ราวตากผ้าที่ทำด้วยไม้ไผ่อีกหนึ่งอัน และกระจกขนาดเท่าสองฝ่ามือแขวนอยู่บนผนัง ข้างกันมีกระบอกไม้ไผ่แขวนอยู่ในนั้นมีหวีอยู่เพียงอันเดียว ข้างตู้เสื้อผ้ามีหนังสือวางตั้งอยู่สองกอง
ผนังบ้านก็เป็นสังกะสี มีประตูที่ทำจากฟางข้าวสองข้างซ้ายขวา เขาลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก “โอย!” ร่างนี้อ้วนจนลุกแทบไม่ไหว เข่าก็ปวด เอวก็ปวด หลังก็ปวด จากนั้นก็เดินไปดูประตูฝั่งซ้ายก่อนจึงรู้ว่ามันเป็นชานยื่นออกไปแล้วมีบันไดอยู่สี่ขั้น พื้นด้านล่างต่างระดับก้าวเพียงหนึ่งช่วงขาก็ถึง มีสังกะสีมุงอยู่ด้านบนสามแผ่น แล้วพาร่างใหญ่เดินมาฝั่งขวา เห็นนิตยากำลังใช้ฝาหม้อพัดวีไฟให้ลุก ผมยาวดำขลับปกคลุมอยู่เต็มแผ่นหลัง มองข้างหลังเธอก็ดูสวยดี
ฝั่งขวานี้เป็นชานยื่นออกไปเช่นกันความกว้างน่าจะสามเมตรส่วนความยาวเท่ากับตัวบ้านด้านยาว ด้านบนมุงด้วยสังกะสีเช่นกัน ข้าวของทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ข้างผนังบ้านมีหม้อ ฝาหม้อ ทัพพี กระชอน หวดนึ่งข้าว และกระติบข้าวแขวนอยู่ ส่วนพื้นที่ด้านล่างฝั่งขวามีหม้อดินหรือแอ่งน้ำสองใบมีถาดสังกะสีใบเล็กปิดไว้มีขันสีเงินใบเล็กวางอยู่ด้านบน ถัดมาทางซ้ายเป็นเตาไฟและหม้อนึ่งไว้สำหรับนึ่งข้าว
นิตยาหันหลังมาเมื่อรู้สึกเหมือนมีคนกำลังยืนมองเธอ “ยืนเบิ่งหยัง” (ยืนดูอะไร)
มาวินเสมองไปทางอื่นแล้วตอบออกไป “เบิ่งต้นยาสูบ” (ดูต้นยาสูบ) เขาตอบไปอย่างนั้นทั้งที่ยืนจ้องเธออยู่ “อ้ายอยากอาบน่ำ” (พี่อยากอาบน้ำ) รู้สึกเหม็นเปรี้ยวตัวเองจนเกือบจะทนไม่ไหว ก่อนมาที่นี่เป็นโรคหัวใจ มาอยู่ที่นี่เป็นโรคอ้วน มันช่างเลวร้ายไม่ต่างกันนัก
“อาบน่ำ?” สามีเธอไม่เคยอาบน้ำหลังจากตื่นนอนในตอนสาย เหตุใดวันนี้นึกอยากอาบน้ำขึ้นมา
“แมน” (ใช่)
แต่เหงื่อเขาออกมากน่าจะร้อนจัดนิตยาจึงไม่ได้ใส่ใจ “ไปแหมะ” (ไปสิ) จากนั้นก็ยกหม้อที่ภายนอกสีดำเมี่ยมเพราะเธอใช้ทั้งถ่านทั้งฟืนขึ้นตั้งไฟ
มาวินเดินไปยังราวตากผ้าที่มีผ้าขาวม้าพาดอยู่ หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วเดินลงไปข้างล่าง ร่างต้วมเตี้ยมเดินไปยังห้องน้ำโดยเร็วโดยลืมนึกไปว่า ห้องน้ำมีแค่ถังน้ำเอาไว้ล้างก้นและขันน้ำสีเงินหนึ่งใบเท่านั้น แหงนหน้ามองหลังคาเมื่อรู้สึกร้อนแปลก ๆ
เห็นพระอาทิตย์สาดแสงลงมาจนเต็มหน้าเขาหรี่ตาแทบไม่ทัน
อ้าว! ลืมไปว่าห้องน้ำไม่มีหลังคา แต่ก็ขอปัสสาวะสักหน่อยก็ยังดี เขาหันหลังจะปิดประตูห้องน้ำ แล้วก็ไม่เห็น เขาเดินออกไปหาประตูห้องน้ำด้านนอก
อ้อ ประตูห้องน้ำเป็นเพียงสังกะสีแผ่นเดียวแค่ยกมาปิดประตูไว้เท่านั้น มาวินทำหน้าเลิ่กลั่กมองซ้ายมองขวา ดีหน่อยที่ห้องน้ำมีส่วนของตัวเรือนบังไว้นิตยาจึงมองไม่เห็นเขา
เฮ้อ! ชีวิต ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ เมื่อก้มมองของรักของหวงก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง อย่างน้อยขนาดของมันก็ไม่ได้หดไปตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเหมือนข้อมูลที่เขาอ่านมา