“ก็ขี้เกียจรออ่ะ มันข้องใจมาก ข้องจนไม่มีอารมณ์จะทำอะไร ข้องจนต้องมาถามเดี๋ยวนี้เลยไง” ผมตอบกลับมึน ๆ แต่ผมพูดความจริงนะ ตั้งแต่เมื่อเย็นที่เห็นเหตุการณ์นั้นผมก็ข้องใจมาทั้งวันอ่ะ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร มันอยากจะได้คำตอบที่แน่นอน ไม่งั้นไม่หายข้อง
“เลิกลำไยแล้วถอยออกไปเดี๋ยวนี้เลย!” หยาดฟ้าทุบไหล่ผมอีกรอบ มันเจ็บใช้ได้เลยล่ะ ตัวเท่าแมวแต่แรงนี่เท่าช้างเชียว
“ไม่ถอยจนกว่าจะได้คำตอบ… ที่ดี” เน้นย้ำคำสุดท้ายมาก
“อย่ามาบ้าได้ป่ะ! ฉันกำลังโป๊อยู่ไม่เห็นเหรอ?! หัดให้เกียรติเพศแม่บ้างอะไรบ้าง แค่ที่นายแอบเข้าห้องฉันมันก็มากเกินพอแล้วนะ!”
ด่าได้ด่าไป ไม่สน ผมมันหน้าด้านอยู่ละ
“อยากให้ปล่อยไว ๆ งั้นก็ตอบคำถามฉันมา” หยาดฟ้าทำท่าฮึดฮัดขัดใจสุด ๆ สายตานี่ฟาดฟันจนหน้าผมเหวอะหวะไปหมดแล้ว
“อะไร!”
“วันนี้เธอกับไอ้เพลิงศูรย์ไปทำอะไรหน้าคณะนิเทศฯ?” ผมถามคำถามที่อยากจะรู้ในที่สุด จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากลำไยหรอก อยู่ท่านี้นาน ๆ ใจคอไม่ค่อยดีเหมือนกัน ยิ่งแพ้กลิ่นแชมพูหอม ๆ อยู่ด้วยสิ ประเดี๋ยวมือลั่น ปากลั่น ทำมิดีมิร้ายอะไรยัยนี่ขึ้นมามันจะฟิน… เอ๊ย! มันจะวุ่นวายมากไปกว่าเดิม
“แค่นี้?”
“…?”
“ที่นายทำตัวโรคจิตแอบย่องเข้ามาในห้องฉันกลางดึกแถมยังคุกคามฉันขนาดนี้เพียงเพราะอยากจะถามเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?” หยาดฟ้าร่ายยาวด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
“เออ ก็อยากรู้ว่าไปที่นั่นทำไม จงใจหรือบังเอิญ?” ผมยอมรับแบบแมน ๆ ถ้าจะให้ดีเปิดอกคุยกันเลยก็ได้นะ ผมไม่เกี่ยง -.,-
ใบหน้าสวยนิ่งไปเล็กน้อย แววตาวาววับจ้องประกายก่อนริมฝีปากเล็กจะค่อย ๆ แสยะยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มเหยียด ๆ ที่ผมโคตรเกลียดเวลาเห็นผู้หญิงคนนี้ทำเลยว่ะ
“จงใจหรือบังเอิญ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย?”
“ให้ตอบอีกที ตอบดี ๆ อย่ากวน อย่าลืมว่าตอนนี้ฉันอยู่ ‘เหนือ’ กว่าเธอ”
หยาดฟ้าชักสีหน้าใส่ เธอเม้มปากนิด ๆ สายตาเหวี่ยง ๆ ตวัดขึ้นมองก่อนริมฝีปากเล็กจะค่อย ๆ ขยับตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ถ้าฉันจงใจ แล้วนายจะทำไม?”
หึ… เป็นอย่างที่ผมคิดไว้เลย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญจริง ๆ ด้วย ยัยตัวร้ายนี่จงใจควงไอ้เพลิงศูรย์ไปที่หน้าคณะศิลปจริง ๆ สินะ นั่นแสดงว่าหยาดฟ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับนับฝันแล้วแน่ ๆ ไม่งั้นคงไม่จงใจพาไอ้เวรนั่นไปเย้ยน้องสาวผมถึงหน้าคณะแบบนั้นหรอก
“เธอทำแบบนั้นทำไมวะ? คิดจะปั่นประสาทน้องสาวฉันเหรอ?” ผมถามอย่างเริ่มมีอารมณ์นิด ๆ อารมณ์โมโหนะ ไม่ใช่อารมณ์อย่างอื่นอย่าคิดลึก
“อะไร ใครปั่นน้องนาย” ร่างเล็กใต้ร่างทำเสียงสูงได้โคตร… จะด่าสตอก็คงแรงไป งั้นละไว้ในฐานที่เข้าใจละกัน
“อย่าแสร้งทำเป็นไม่รู้ เธอจงใจควงไอ้เวรนั่นไปเย้ยนับฝันใช่ไหม? ผู้หญิงที่ชอบแย่งแฟนชาวบ้านอย่างเธอน่ะ คงจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้นแล้วสินะ ถึงได้จงใจทำแบบนี้”
“หึ พูดเหมือนรู้จักฉันดีทั้งที่นายกับฉันไม่เคยเป็นแม้แต่คนรู้จักกันด้วยซ้ำ!” หยาดฟ้าขึ้นเสียงไม่พอใจที่ถูกผมพูดแทงใจดำ เธอพยายามดิ้นรน ยิ่งเธอดิ้นผมก็ยิ่งกดแรงลงไปมากกว่าเดิม “ปล่อยฉันสักที! นายคุกคามฉันเกินไปแล้วนะ!”
“แค่นี้มันยังน้อยไป เธอจะโดนมากกว่านี้ถ้ายังไม่เลิกยุ่งกับนับฝัน” ผมไม่ได้ขู่ ผมทำจริงแน่ ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าทำร้ายน้องสาวผม ผมไม่ปล่อยไว้แน่นอน
“ปัญญาอ่อนป่ะ ฉันยุ่งอะไรกับน้องนายยัง? ก็มีแต่นายนั่นแหละที่ร้อนตัวดิ้นแทนน้อง” เธอกล้าต่อปากต่อคำกับผมทั้งที่ตัวเองกำลังตกเป็นรอง ถือว่ากล้ามากผู้หญิงคนนี้
หึ… ก็ท้าทายดี
“ถามจริง มันรู้สึกยังไงเวลาที่แย่งแฟนชาวบ้านเขาน่ะ มันฟิน มันสุด จนหน้ามืดตาบอดมองข้ามความถูกต้องงั้นเลย?”
“จำเป็นต้องตอบไหม? ฉันจะรู้สึกยังไงมันก็เรื่องของฉันป่ะ และฉันก็ตอบคำถามที่นายอยากรู้ไปหมดแล้ว ปล่อยสักทีดิ! จะโรคจิตก็ให้มันมีขอบเขตบ้าง ถ้าไม่อยากติดคุกติดตะรางก่อนวัยอันควร!”
ผมว่าสงครามครั้งนี้มันคงไม่จบลงง่าย ๆ หากทั้งสองฝ่ายแรงมาแรงกลับแบบนี้ ตอนแรกก็แค่อยากจะมาขู่เล่น ๆ ให้เธอกลัวและเค้นคำตอบจากเธอ ทว่า… ไป ๆ มา ๆ มันคงจะไม่หยุดแค่นั้นแล้วว่ะ ก็ปากยัยนี่มันน่า… ซะขนาดนี้ โดนตบสักทีสองทีคงไม่ว่ากันนะ หึ!
“สรุปเธอคบกับไอ้เพลิงศูรย์แล้วจงใจควงมันไปหน้าคณะนิเทศฯ เพื่อให้นับฝันเห็นใช่ไหม?” ผมถามโดยสรุปความเข้าใจทั้งหมด ดวงตาสวยกรอกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเธอดูรำคาญผมมาก
“นี่ยังไม่จบ?”
“อย่าลีลา ตอบมาแค่ ใช่หรือไม่ใช่?”
“คำตอบพวกนั้นมันไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตฉันสักนิด ทำไมต้องตอบด้วย” หยาดฟ้ายังคงทำเสียงแข็งใส่ เธอไม่เคยกลัวอะไรเลยสินะ
เออ ดี… เดี๋ยวรู้เลย!
“อ้อ มันสำคัญกับชีวิตเธอแน่ ๆ หยาดฟ้า ถ้าอยากรู้ว่าสำคัญยังไงก็ลองตอบ ‘ใช่’ ดูสิ”
แล้วเธอจะได้รู้ว่ากำลังสู้ผิดคนแล้ว!