PK PUB
กึก…
แก้วเหล้าสีอำพันถูกวางลงบนบาร์ตรงหน้าฉัน ไม่ได้นับว่ามันเป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้วของคืนนี้ เพราะเมื่อมันถูกเติมได้ไม่ถึงสิบห้าวินาทีก็ถูกฉันกระดกเข้าปากจนหมดทุกครั้ง
คืนนี้ฉันกลับมาที่ผับแห่งนี้อีกครั้ง ใจจริงก็ไม่ได้อยากมาเหยียบสักเท่าไหร่หรอกนะ ตั้งแต่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของที่นี่ฉันก็แทบไม่อยากจะย่างกายเข้าใกล้เลย แต่เพราะมันเป็นสถานที่แห่งเดียวในตอนนี้ที่สมองอันพร่าเบลอของฉันนึกออก ฉันเลยต้องมานั่งซดเหล้าอยู่คนเดียวที่บาร์อย่างที่เห็นนี่ไง
“บอกแล้วไง อย่าทำให้ห่วงนัก” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู ฉันหันหน้าไปตามเสียงคุ้นเคยนั้นก่อนจะเผยยิ้มหวานทันทีที่เห็นหน้าเขา ใบหน้าหล่อแสนร้ายของผู้ชายคนเดียวที่ฉันไว้ใจมากที่สุดในเวลานี้
“เพลิง… นายมาแล้วเหรอ” ฉันเรียกเขาเสียงหวานก่อนจะเอนหัวซบไหล่หนาที่นั่งลงข้างกัน เพลิงศูรย์ก็ยังเป็นเพลิงศูรย์คนเดิม เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากแต่ก็ทำให้ฉันสบายใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“นี่ตามให้มาหิ้วเธอกลับบ้าน?”
“คิก… ก็ไม่เชิง” ฉันขำขณะยกเหล้าดื่มอีกครั้ง หัวก็ยังพิงไหล่เพลิงศูรย์อยู่อย่างนั้น ไม่แคร์และไม่อายสายตาใครด้วย ใครจะมองยังไงก็ช่าง คนอย่างฉันมันไม่มีอะไรให้เสียอยู่แล้วนิ
“กลับบ้านกันไหมหยาด” เพลิงศูรย์เอียงหน้าถาม เราสบตากันชั่วครู่ ก่อนฉันจะส่ายหน้าช้า ๆ
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ อยากเมากว่านี้อีก”
“ทำไม มีเรื่องอะไรให้อยากเมา” เขาถามฉันเหมือนทุกครั้งที่เห็นฉันดื่ม อยู่ ๆ น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ตั้งนานสองนานมันก็ไหลลงมาเสียดื้อ ๆ เพลิงศูรย์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหันไปสั่งเหล้ากับบาร์เทนเดอร์มาดื่มเป็นเพื่อนฉัน “เรื่องแม่สินะ”
คำถามของเขายิ่งทำให้น้ำตาฉันไหลไม่หยุด เพลิงศูรย์รู้ดีว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันอ่อนไหวได้ก็คือเรื่องของแม่ เพราะชีวิตฉันร้องไห้ให้เพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น
“ทำไม… ทำไมแม่ยังเรียกหาผู้ชายคนนั้นอีก… อึก… ทำไมแม่ต้องมอบความรักให้กับคนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของแม่ด้วย” ฉันเริ่มฟูมฟายตามประสาคนที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ทำไมเหรอเพลิง… ทำไมแม่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความรักหลอกลวงพวกนั้นด้วย”
“…”
“ฉันน่ะ… ก็แค่อยากให้แม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม… อยากให้แม่ทิ้งความรักที่มีต่อผู้ชายคนนั้นไปซะ… อยากท่านกลับมารักฉันคนนี้… กลับมารักลูกสาวของแม่คนนี้… ฮึก”
“พอแล้ว…” ฝ่ามืออบอุ่นยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาข้างแก้มฉัน เพลิงศูรย์อ่อนโยนกับฉันเสมอเลย เขาเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ฉันไว้ใจและเชื่อใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่ปีเขาก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับฉันที่สุด “ไม่ต้องร้องไห้แล้วน่า น้ำตามันไม่เหมาะกับเธอหรอก”
“ฉันก็แค่ไม่เข้าใจอ่ะ ทำไมแม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมานนั้นด้วย ทำไมท่านถึงไม่ปล่อยมันไป ทำไมต้องยึดมันเอาไว้ให้ตัวเองต้องเจ็บปวดแบบนี้”
“บางครั้งคนเราก็เลือกที่จะลืมในสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวด และอาจจะต้องจดจำในสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ทรมาน สิ่งเหล่านั้นมันอยู่เหนือการควบคุมนะ เราไม่สามารถลืมมันได้ง่าย ๆ หรอกถ้าสิ่งสิ่งนั้นมันฝังอยู่ในหัวใจของเรา”
“…” ฉันนิ่งฟังในสิ่งที่เพลิงศูรย์พูด นั่นสินะ… เราไม่สามารถลืมสิ่งที่ฝังอยู่ในใจได้ง่าย ๆ หรอก แม่เองก็เช่นกัน… สิ่งที่ทำให้ท่านต้องทุกข์ทรมานแบบนั้นก็คือความรักที่ยังฝังอยู่ในหัวใจของท่าน หากท่านไม่ปล่อยวาง ท่านก็ไม่มีวันที่จะหลุดจากความทุกข์นั้นได้…
“กลับบ้านกันไหม” เพลิงศูรย์ถามฉันเป็นครั้งที่สอง ฉันผละตัวออกจากไหล่ของเขา แก้วเหล้าในมือถูกวางลงแล้วหันไปยิ้มตอบรับ
“อืม กลับบ้านกันเถอะ”
.
.
.
ตัดมาทางด้านหนึ่งของผับซึ่งมีร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากหน้าบาร์ที่หยาดฟ้าและเพลิงศูรย์นั่งอยู่ เธอยืนมองสองคนนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้ว มองด้วยสายตาเย็นชา ขณะที่หัวใจปวดร้าวเกินจะทน ความรู้สึกของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดซึ่งพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้ โดยไม่รู้เลยว่ากำลังมีใครอีกคนยืนมองเธอจากอีกมุมหนึ่งของผับเช่นกัน
เขาคนนั้นมองเธอสลับกับภาพของหยาดฟ้าและเพลิงศูรย์ที่กำลังประคองกันออกไปจากผับ แก้วเหล้าในมือถูกบีบจนเกือบจะแตกคามือ ความเดือดดาลภายในใจไม่ได้มาจากการที่เห็นสองคนนั้นใกล้ชิดกัน แต่มาจากการที่ต้องทนเห็นน้องสาวสุดที่รักกำลังเจ็บปวด…
“หยาดฟ้ากับไอ้เพลิงศูรย์งั้นเหรอ…” ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มร้ายมุมปาก ดวงตาคมเข้มดุดันจ้องไปทางร่างบางที่กำลังถูกผู้ชายผมสีเทาควันบุหรี่ประคองออกไปจากผับของตัวเอง
สองคนนั้น… คบกันอยู่งั้นสินะ…