TOBB ♡ CHOMPOO
1 : ดูแลได้
ฉันตื่นแต่เช้า ลงมาจัดของรอแม่เพื่อที่จะขายในช่วงกลางวัน ฉันทำแบบนี้จนชินไปแล้ว ฉันทำกับข้าวได้จากการดูแม่เป็นตัวอย่าง อาศัยครูพักลักจำมา ลองผิดลองถูกจนบางทีฉันก็สามารถผัดข้าวแทนแม่ได้
“บอกแล้วว่าไม่ต้องทำ เดี๋ยวก็ไปเรียนสายหรอกชม”
มาแล้วแม่ พึ่งขนผักนานาชนิดลงรถสามล้อ แต่ยังไม่หมดหรอก ฉันเลยทำเป็นหูทวนลมไปช่วยแม่ยกของ เพราะลุงสามล้อต้องไปรับแม่ค้าคนอื่นอีก
“ชมพู”
แม่ดุ
“แม่บ่นแล้วชมฟังมั้ย ถ้าไม่...ก็ปล่อยชมเถอะ”
ฉันแกล้งตีหน้ายุ่งใส่แม่แกมหยอกกับท่าน
“เก่ง เก่งแต่กับแม่นี่แหละ ทีคนอยากให้เก่งกลับร้องไห้ ยัยเด็กดื้อ”
แม่เอาฝ่ามือเหี่ยวย่นมาฟาดบั้นท้ายฉันเบา ๆ
ฉันไม่สนแม่หรอก อยากพูดอะไรก็พูด ส่วนฉัน อยากทำอะไรก็ทำ
ฉันไม่ได้ขี้แยนะ แค่บ่อน้ำตาตื้น
แล้วตอนนี้ มันก็กำลังจะไหล
มือใหญ่หนาของใคร ที่เกาะหัวไหล่ของฉัน
“ตัวสั่น หนาวเหรอ”
เขาคนนั้นก้มลงมากระซิบ ตอนนี้ฉันอยู่บนรถเมล์ กำลังจะไปโรงเรียน ตอนนี้ฉันอยู่มอหกแล้ว แต่ยังไม่ได้คิดว่าจะสอบเข้าที่ไหน เพราะมีอะไรบอกมา ว่าฉันน่าจะไม่ได้เรียนต่อหรอก
พี่ชายคนนั้น ที่แกล้งเอามีดมาวางใกล้เท้าฉัน เมื่อคืนนี้
“เอามือออกนะพี่ มีราวก็เกาะราวไปสิ”
ฉันดีดดิ้น แต่ด้วยยามเช้า ผู้คนบนรถโดยสารนั้นอัดแน่นเกินไป เลยทำให้ดีดดิ้นได้แค่เพียงขยับตัว
“ถามว่าหนาวเหรอ ไม่ได้จะเกาะราว รู้ไม่ได้โง่”
ดูพี่เขาตอบสิ นี่กะกวนประสาทกันใช่มั้ย
“ชื่ออะไร”
เขาถามอีก
“ไม่บอก”
ฉันสะบัดหัวไหล่ ทำไมเกาะแน่นจังนะ
“ชมพูแพรว”
เขารู้ แต่ดันรู้เกินมาหนึ่งคำ
“. . . . .”
ฉันเงียบ แล้วจดจ่อกับป้ายที่จะลง
ก็ไม่อยากคุยกับคนแปลกหน้า ดูไม่น่าไว้วางใจ แค่เมื่อคืน ก็ทำฉันขวัญเสียกระเจิดกระเจิงไปแล้ว
“เดี๋ยวตอนเย็นเจอกัน”
พี่เขาลงป้ายนี้ ก่อนลงยังมาพูดจาแปลก ๆ ใส่ฉันอีก
ใครเขาอยากเจอ.....
“ชมพู”
ฉันได้สติ เมื่อมีเสียงอันคุ้นหูเรียกจากที่ไหนสักที่
ฉันลงตรงป้ายรถ แล้วเดินมาอีกนิดเพราะโรงเรียนที่ฉันเรียน ต้องเข้าซอยมาอีกที ฉันกระชับกระเป๋าผ้าแบบสะพายแนบกับตัว แล้วเดินตรงไปหาเจ้าของเสียงที่เรียกขาน
“เกือบสายอีกแล้วนะ”
เค้กดุฉันนิดหน่อย เธอนั่งอยู่กับเพื่อนผู้หญิงอีกสองคน ซึ่งสองคนนี้เป็นลูกคุณหนูเหมือนกับเค้กนั่นแหละ พ่อแม่เขารู้จักกัน ลูก ๆ ก็เลยคบหากันเป็นเพื่อน
“ชมพู ใครมาส่งเธอเหรอ เราเห็นมีคนเดินตามเธอมา”
เสียงของผู้มาใหม่ทำให้เราหันไปมองพร้อมกัน
ตี๋ นักร้องสุดหล่อประจำวงของโรงเรียน เราไม่ได้สนิทกันมาก เพราะเรียนคนละห้อง ฉันอยู่ห้องหนึ่งกับเค้ก ส่วนสามคนนี้อยู่ห้องสาม
“เรามารถเมล์นะ ใครจะมาส่ง”
ฉันทำหน้างง ฉันนั่งรถเมล์ทุกวัน ไม่มีพ่อหรือพี่ชายมาส่งทั้งนั้น
ใครกันมาเดินตาม.....
“เราเห็นผู้ชาย ตัวสูง ๆ ผมหยิกนิด ๆ หน้าดุ ๆ เราคิดว่าพี่ชายชมซะอีก”
พอตี๋อธิบาย ฉันก็รู้ทันทีว่าใคร
เขาลงก่อนฉันหนึ่งป้ายนะ มาเดินตามทันได้ไง
“เราไม่มีพี่หรอกตี๋ ตี๋ตาฝาดรึเปล่า”
“อืม... คงงั้น แต่วันนี้สาว ๆ อย่าลืมไปดูผมซ้อมดนตรีนะคร้าบ”
“ไม่ไปหรอก ร้องอย่างกับโดนบีบไข่ แสลงหู”
การ์ตูนพูดขึ้นมา โดยมีทีท่าทีเล่นทีจริง การ์ตูนเป็นคนน่ารัก มีบางครั้งที่ติดจะปากร้ายไปบ้าง
“ไอตูน ปากไม่ดีก็หุบไว้”
ตี๋ทำหน้ามุ่ย การ์ตูนกับตี๋ชอบกัดกันประจำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สนิทกันมากเลยนะ
“พูดความจริง ทำเป็นรับไม่ได้ ก็จริงอะ เนาะชมพู”
การ์ตูนหาแนวร่วม พอชื่อฉันถูกเอ่ย ตี๋ก็จ้องหน้ารอคำตอบจากปากของฉันอยู่
แล้วต้องตอบยังไง เพื่อนจะไม่เสียใจล่ะ
“การ์ตูน อย่าโยนเร็วแบบนั้น ชมพูจะไปตามทันได้ไง”
ลิญา พูดขึ้นมาด้วยคำพูดธรรมดา แต่ใครล่ะจะรู้ว่า ลิญาชอบหักหน้าฉันแค่ไหน
บางทีบางจังหวะฉันก็ความรู้สึกช้าไปบ้าง ไม่ได้ซื่อจนเซ่อขนาดนั้น คนเราก็ไม่จำเป็นต้องฉลาดทุกเรื่องหรอก จริงไหม
“เข้าห้องกันเถอะชม เค้กมีของจะให้ดู”
เมื่อเค้กเห็นว่าฉันเงียบไป เธอเลยทำเป็นเก็บของใส่กระเป๋า แล้วชวนฉันเดินเข้าห้องเรียนเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ ณ.ตอนนี้
“อย่าไปใส่ใจคำพูดของลิญาเลยนะชมพู คนถูกตามใจตั้งแต่เด็กน่ะ พูดอะไรออกมาก็คิดว่าตัวเองถูกเสมอ”
ระหว่างทางขึ้นบันได น้ำเสียงห่วงใยจากเค้กก็เอ่ยบอกกับฉัน
อันที่จริง นี่ไม่ใช่สังคมที่ฉันอยากอยู่เลยสักนิด แต่เค้กก็ตัวติดกับฉันตั้งแต่มอสี่ จนมาถึงปัจจุบันนี้ ปีสุดท้ายของการศึกษาระดับมัธยม
“เราไม่คิดมากหรอก เรารู้ตัวดี”
ฉันเฉยจริง ๆ นะ แค่รู้สึกว่าคำพูดของเธอไม่ได้มีค่าอะไรสำคัญกับชีวิตฉัน
กลับกัน... ถ้าเค้กเป็นคนพูด ฉันอาจจะเสียใจ และ นิสัยลึก ๆ คงแสดงออกสู่สาธารณะ
นั่นก็คือการเสียน้ำตาให้กับเรื่องโง่ ๆ
ฉันเรียนทั้งวัน โรงเรียนสำหรับบางคนก็คือที่พึ่งทางใจเพราะอาจได้เจอเพื่อน ได้ไปเที่ยวกันหลังเลิกเรียน และ ก็อาจจะมีบางครั้งที่เกเรโดดเรียน
“ไปส่งมั้ยชมพู”
เค้กถามคำถามนี้ทุกวัน ซึ่งฉันก็ทำการปฏิเสธไปทุกวัน แต่ถ้าวันไหนเค้กออกอุบายให้ไปเดินเที่ยวเป็นเพื่อน ฉันก็ต้องยอมให้เค้กไปส่ง
แต่วันนี้ ฉันอยากกลับเอง
“ไม่เป็นไรจ๊ะเค้ก เราว่าจะแวะซื้อผักไปให้แม่ด้วย”
ฉันยิ้มให้ เค้กจึงขึ้นรถคันหรูของตัวเองกลับบ้านไป
“เดี๋ยว”
ฉันไม่อยากมองเลย ว่าใครมาเรียกให้รอ
จึงทำการสับขาเดินต่อ เพราะไม่ยอมรับว่าเสียงนั้นสื่อว่าเรียกฉัน
“เอ๊ะ... ไอ้เด็กคนนี้หนิ”
กระเป๋าของฉันถูกแย่งไปถือ
ไอ้คนมือไว ตามมาทำไมกัน สิ่งที่บอกเมื่อเช้า ก็ไม่คิดไงว่าจะมาจริง ๆ
จะชิ่งหนียังไง?
“พี่ เอาคืนมา”
ฉันขอดี ๆ
“ชื่อต๊อบ”
เขาบอกฉัน
“รู้แล้ว เอากระเป๋ามา”
“รู้แล้วก็เรียกสิวะ”
ทำไมเขาต้องมาหงุดหงิดใส่ฉันด้วยล่ะ
ในขณะที่เรากำลังใกล้จะปะทะคารมกันอยู่นั้น รถเมล์ก็กำลังจะจอดป้ายพอดี
พี่ต๊อบเลยได้จังหวะดึงข้อมือฉันให้รีบวิ่งตามเขาไปขึ้นรถเมล์ พอขึ้นมาได้ฉันก็รู้สึกว่า ไม่น่าขึ้นมาเลย
บนรถเมล์มีกลุ่มผู้ชายอยู่ห้าหกคนนั่งอยู่แถวหลังสุด พวกเขาใส่เสื้อช็อปของสถาบันไหนสักที่
อย่าเป็นศัตรู ของคนที่ยืนคู่กับฉันในตอนนี้ด้วยเถอะ
“ตัวสั่นอีกละ”
พี่ต๊อบเอาแขนมาพาดหัวฉัน บังคับให้ฉันไม่ต้องหันมองกลุ่มผู้ชายพวกนั้น
“พี่จะ... ไม่มีเรื่องใช่มั้ย”
ฉันกระซิบถามเขาให้เบามากที่สุด เพราะฉันกลัว เขาก็หน้าดุ ผู้ชายกลุ่มนั้นก็หน้าดุ
บรรยากาศห้ามมาคุ เด็ดขาด!
“อยากให้มี?”
เขาเลิ่กคิ้วถาม
“. . . . .”
ฉันรีบส่ายหน้ารัว ๆ
“ถึงมีก็ไม่ปล่อยให้เป็นไรหรอก ดูแลได้”
ซึ้งไหมน่ะ ไม่นะ ยังไงก็ยังกลัวอยู่ดี ถึงจะมีเขาอยู่ตรงนี้ ความกลัวก็คือความกลัวอยู่ดี