จักรทัศน์วางแฟ้มประวัติ ถอดเสื้อกาวน์มือสั่น งุดหน้าเม้มปากแน่นด้วยความหวาดหวั่น หนนี้แย่แน่ ๆ เจตนาฝ่าฝืนชัดเจน
“ใครอนุญาตให้คุณลงมา คุณแอดมิทอยู่ไม่ใช่เหรอหมอจักรทัศน์” นายแพทย์ที่ยืนข้างเดชดำรงค์พูดขึ้น
“แล้วนี่เอาเสื้อใครมาใส่ล่ะเนี่ย....” เขาพลิกแฟ้มคนไข้ดูคร่าว ๆ หยิบเสื้อตัวนั้นขึ้นมาดูก็ถึงกับส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
“นี่ตัวนี้ไม่ใช่ของคุณแถมคำนำหน้ายังเป็น…สัตวแพทย์หญิงอีกต่างหาก เดี๋ยวนะ! นี่มันโรง’บาลรักษาคนนะ ทำไมมีเสื้อหมอรักษาหมาหลุดรอดเข้ามาได้ล่ะ” ทุกคนพากันหลุดขำ
“ถือว่าโชคดีนะว่ามั้ยที่คนไข้เป็นชาวต่างชาติ งั้นคงโดนร้องเรียนว่าพาว่าโรง’บาลนี้ใช้สัตวแพทย์มาตรวจคนไข้” ผู้ติดตามอีกคนค่อนขอดซ้ำทำให้เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นกว่าเมื่อครู่
มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่ขำแล้วยังรู้สึกโกรธแทน
“หมออนันต์หยุดพูด ทุกคนเงียบก่อน” เดชดำรงค์พูดจบความเงียบงันก็ปกคลุมภายในห้องตรวจนั้น
“มีอะไรจะอธิบายมั้ยหมอจักรทัศน์”
แพทย์หนุ่มเตรียมใจกับบทลงโทษไว้แล้วค่อย ๆ สารภาพความจริงออกมา
“เจย์ต้องขออภัยด้วยนะครับ คือเจย์รู้สึกเบื่อ ๆ ตั้งใจจะลงมาเปลี่ยนบรรยากาศ แต่พอดีว่า…”
“พอดีว่าผมเห็นคุณหมอเดินมา ก็เลยเรียกให้มาช่วยตรวจเพราะผมต้องไปธุระต่อ มันก็แค่ตรวจอาการแล้วถอดสายรัด ไม่มีสั่งจ่ายยาหรือทำหัตถการอะไร อีกอย่างหมอจักรทัศน์ไม่ได้ทำอะไรขาดตกบกพร่องนะครับ” คนไข้ต่างชาติพูดแทรกหลังนั่งเงียบมาสักพัก
แน่นอนว่ามีคนอายแทบมุดแผ่นดินหนี
“คุณผู้ชายทราบเหรอครับว่าเขาเป็นหมอ” เดชดำรงค์ถามอย่างสุภาพ
“ผมรู้จักหมอจักรทัศน์ครับ ผมถึงเรียกให้มาตรวจไงครับ”
จักรทัศน์หันไปมองคนข้างตัวสลับกับอาจารย์แพทย์แล้วเหลือบมองไปนอกห้อง อัยยาลิณณ์กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี
‘ลุงเจมส์สุดยอด ไม่สิงานนี้ต้องเรียกพี่เจมส์ซะล่ะมั้ง’
“จริงหรือเปล่าหมอเจย์”
“อ๋อ…ใช่ครับ จริงอย่างที่คุณผู้ชายบอกทุกประการครับ ยังไงเจย์ก็ขออภัยด้วยนะครับที่ไม่ทำตามขั้นตอน” แพทย์หนุ่มยกมือไหว้เดชดำรงค์
“งั้นถือว่าเป็นการเข้าใจผิดก็แล้วกัน” เดชดำรงค์กล่าวขอโทษและขอบคุณคนไข้ก่อนจากไป จักรทัศน์เป่าปากด้วยความโล่งจากนั้นก็ตามไปส่งเจมีไนน์ขึ้นรถ
“แล้วคุณผู้ชายกลับยังไงครับ”
“เรียกลุงเจมส์สิ” ยังอีก…ยังต้องให้ย้ำอีก
“ครับ ลุงเจมส์กลับยังไงครับ”
“เดี๋ยวเรียกรถผ่านแอปครับ” ระหว่างนี้จักรทัศน์จึงนั่งรอที่ล๊อบบี้ด้วยกันไปก่อน
“แล้วบ้านอยู่ไกลมั้ยครับ”
“หมอไปเที่ยวบ้านผมมั้ย ไปได้นะผมอยู่ตัวคนเดียว”
“โอ้ จะดีเหรอครับรบกวนลุงเจมส์เปล่า ๆ ฮ่า ๆ” แพทย์หนุ่มหัวเราะกลบเกลื่อน ไหงบอกอยู่ตัวคนเดียวแล้วแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายคืออะไรกัน รวมถึงเรื่องที่รู้ชื่อจริงกับชื่อเล่นนั่นอีก
จะถามให้เคลียร์หรือปล่อยมันไปดี
“หมอกำลังสงสัยใช่มั้ยว่าทำไมผมถึงรู้จักชื่อ หมอเป็นคนพูดให้ผมฟังเองนะ เมื่ออาทิตย์ก่อนที่บาร์โรงแรมน่ะ” ตามคาดคนถูกรื้อฟื้นความทรงจำก็อึ้งตาค้างไปทันที พอรู้ว่าเป็นคนช่วยหามไปส่งถึงห้อง เปิดแอร์ ถอดรองเท้า ห่มผ้าห่มแล้วถอดรองเท้าให้ก็แทบจะกราบคลานเข่าไปขอบคุณเลยทีเดียว
“แล้วเจย์พูดอะไรอีกหรือเปล่าครับ”
“หลายอย่างเลยนะ เช่น ถูกคนรอบข้างมองว่าไม่ชอบผู้ชายบ้างล่ะ มีพี่สาวเป็นนักเซิร์ฟอยู่ที่กะตะ อยากมีแฟนแต่รักคนยาก อยากเจ้าชู้แต่ทำไม่เป็น….และดาราที่ติดตามผลงานอยู่ เอ่อ…ชื่ออะไรนะ เร…เร อะไรสักอย่างเป็นคนญี่ปุ่น แต่ผมไม่ได้ถามหมอสักคำเลยนะ”
“ลุงเจมส์เก็บเป็นความลับหน่อยนะครับ เผื่อเจย์พูดอะไรบ้า ๆ ออกไป” คนเมามักพูดความจริง แต่ความจริงก็คือจักรทัศน์เป็นแฟนพันธุ์แท้ดาราหนังผู้ใหญ่คนหนึ่ง
คงต้องลงไปกอดขาร้องขอว่าอย่าแพร่งพรายไป
รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
“จะบอกใครได้ล่ะ ผมไม่รู้จักคนใกล้ตัวหมอเจย์สักหน่อย แต่จะบอกให้นะผู้ชายรักเดียวใจเดียวว่าหายากแล้ว ถ้าหล่อแล้วไม่เจ้าชู้คือของล้ำค่าเลยนะ” บุคคลที่สามคนที่ไม่มีใครมองไม่เห็นแทบกรี๊ดสลบคาโซฟา
‘ลุงเจมส์น่ารักอะ ใครเป็นภรรยาคือโชคดีสุด ๆ’
“อาจจะจริงนะครับ แด๊ดดี้เองก็หล่อเหมือนไม่มีอยู่จริงแถมรักเดียวใจเดียวกับมี๊อีกต่างหาก เจย์จะเทียบติดหรือเปล่ายังไม่รู้เลย แล้วลุงเจมส์มีลูกมั้ยครับ ลุงเจมส์ครับ เอ่อ…ลุงเจมส์ครับ”
เจมีไนน์กระพริบตาถี่ดึงสติกลับคืนหลังเหม่อลอยไปหลายวินาที
“เอ่อ ผมไม่มีลูกครับ ภรรยามีลูกไม่ได้น่ะ”
ทั้งสองใช้เวลาพูดคุยต่อจนได้รู้ว่าคู่ชีวิตของเจมีไนน์จากโลกนี้ไปแล้ว แต่ยังสวมแหวนด้วยความเคยชินและไม่ยังอยากข้องเกี่ยวกับสาว ๆ จักรทัศน์แซวว่าถอดเมื่อไหร่คิวยาวถึงดาวอังคารแน่ ๆ ไม่นานนักรถที่เรียกไว้ก็มาถึงที่หมาย
“ลุงเจมส์ครับ เจย์อยากเลี้ยงข้าวขอบคุณจะสะดวกมั้ยครับ” แพทย์หนุ่มถามขณะอีกฝ่ายกำลังจะก้าวขึ้นรถ
“ได้สิ ติดต่อมาได้ทุกเมื่อ ขอให้มีวันที่ดีนะหมอ”
จักรทัศน์มองรถคันนั้นแล่นไปจนลับสายตาถึงจะกลับเข้าห้องพัก
“เมื่อกี้มันจะอายม้วนอะไรขนาดนั้นล่ะคุณหนมต้ม”
“ก็ลุงเจมส์ทั้งหล่อ ทั้งอบอุ่น แถมรักภรรยามากซะด้วย ใครไม่อยากได้เป็นแฟนบ้างล่ะ” อัยยาลิณณ์เล่าสิ่งที่เห็นในห้องตรวจให้ฟังว่าจักรทัศน์หน้าแดงแปร๊ดตลอดตอนถูกอีกฝ่ายหยอดมุก ส่วนเจมีไนน์ก็พูดจาหว่านล้อมเก่งที่สำคัญเสียงยังเซ็กซี่ชวนหลงใหลสุด ๆ
“บ้าน่ะ ห้องตรวจมันร้อนเหอะ เจย์เลยหน้าแดง คิดไปเรื่อยนะหนมต้ม” ชี้โบ๊ชี้เบ๊กลบเกลื่อนไปเรื่อยแหละดูออก
“อะจ้ะ ร้อนก็ร้อนจ๊ะหมอ อย่าหวั่นไหวให้เห็นล่ะ”
เอาน่า…หยอกล้อวันละนิดสนิทยิ่งกว่าเดิม วันรุ่งขึ้นอัยยาลิณณ์ก็ไม่มาโคจรอยู่ข้าง ๆ แล้ว
‘ยินดีที่ได้รู้จักนะขนมตาล’
สถานที่พำนักครั้งสุดท้ายของอังศุมารินก็เป็นไปตามหลักศาสนาคริสต์ สถานที่แห่งนี้สงบร่มรื่น มีความเป็นส่วนตัวจนเหมือนตัดขาดความวุ่นวายจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
“ผมมันทำเรื่องชั่ว ๆ มาเยอะ ผมไม่ควรบอกความจริงกับเขาใช่มั้ยครับคุณแองจี้” เจมีไนน์ย่อตัวลงวางช่อดอกลิลลี่สีขาวหน้าป้ายหลุมศพที่แกะสลักเป็นรูปนางฟ้าด้วยหินอ่อนอย่างดีอย่างอิตาลี ครั้งหนึ่งเคยมาที่นี่เพื่อนั่งมองรูปภรรยาด้วยแววตาเชื่องซึมนานร่วมชั่วโมงจนผู้ดูแลสุสานต้องเข้ามาสะกิดเรียก
หนนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
เจมีไนน์ถอดแหวนแต่งงานออกจากนิ้ว จูบเบา ๆ พร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลรินแล้ววางลงหน้าป้ายหลุมศพ
“จากนี้ผมจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามที่คุณบอกไว้ แต่ผมจะรักคุณตลอดไป…ชั่วนิรันด์นะครับคุณแองจี้” ร่างสูงเงยหน้าขึ้นโกยอากาศเข้าปอดและหันหลังเดินจากไป
จุดหมายต่อไปคือศาลเจ้าแห่งหนึ่งในจังหวัดพังงา
หนึ่งในหน้าที่หลักของปรมาก็คือพับกระดาษเงินกระดาษทองและดูแลความเรียบร้อยทั่วไป ศาลเจ้าปึกกงเป็นทั้งบ้านและที่ทำงานตั้งแต่เล็กจนโต แม้ทุกวันนี้จะต้องไปทำงานประจำในตัวเมืองภูเก็ต ทุกครั้งที่มีเวลาว่างปรมาจะอยู่ช่วยงานศาลเจ้าเสมอและด้วยความที่เป็นคนขี้อายจึงไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใครมากนัก
ปรมาเพิ่งเข้าสู่วัยเบญจเพสก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีคนรู้ใจเสียทีจนเหล่าลุงป้าออกปากแซวกันยกใหญ่ พวกเขาคิดว่าการหาคู่แล้วลงหลักปักฐานคือเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ออกไปตั้งหลักได้
เธอไม่อาจพึ่งพาอาศัยบารมีของเถ้าแก่บุญกวงไปได้ตลอดชีวิต
ทว่าชีวิตเรียบง่ายกำลังจะถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
เจมีไนน์เงยหน้ามองป้ายตัวอักษรจีนเหนือซุ้มประตูพลางอ่านออกเสียงเบา ๆ แล้วมุ่งหน้าเข้าไป บรรยากาศศาลเจ้าแลเงียบสงบมีชาวบ้านประปราย เขาได้รับคำแนะนำการไหว้สักการะจากผู้ดูแล ก่อนจะเริ่มทำไปตามขั้นตอน
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
เจ้าของดวงตาเรียวยาวแบบคนเอเชีย โครงคิ้วเข้มได้รูป สันกรามเฉียงรับกับรูปคางยาวกำลังดี โครงหน้าคมชัดแต่แลดูนุ่มละมุนเหมือนภาพวาดบุรุษในอุดมคติของจีนกำลังพนมมือขอพรด้วยความตั้งใจ
ไม่รู้เลยว่ามีคนแอยจับตามองตั้งแต่ก้าวแรกด้วยหัวใจเต้นแรงกว่าปกติ
“ไม่ใช่…ไม่ใช่คนแถวนี้นี่นา หล่อออร่าจับมากเลย เขา…เป็นดาราหรือเปล่า ทำไมหล่อเหลือเกิน” ปรมาละมือจากงานที่ทำเพื่อตามดูชายแปลกหน้าอยู่ห่าง ๆ ด้วยความสูงที่คาดว่าจะราว 1.85 เมตรคงทำให้เธอที่สูงเพียง 1.58 เมตรกลายเป็นตุ๊กตาตัวน้อยในพริบตา
ความรู้สึกอยากมีปฏิสัมพันธ์ อยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ อยากถูกครอบครองกำลังตีรวนในหัวสมองไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวแทบทะลุอก
เจมีไนน์รับรู้ถึงการถูกจ้องมองเลยกวาดตามองจนได้เห็นร่างเล็กที่กำลังซ่อนตัวหลังกำแพง เขายิ้มมุมปากแล้วส่ายศีรษะแบบไม่คิดอะไร
“ทำยังไงเราถึงจะรู้จักเขาได้ คิดสิคิด” ปรมาทาบฝ่ามือบนแก้มร้อนวูบวาบ สูดลมหายใจ ย่างเท้าสั่นเทาตามดูเขาอีกครั้งจนไปถึงจุดสักการะจุดสุดท้ายถือว่าพิธีการเป็นอันเสร็จสิ้น
นาทีนั้นหญิงสาวนึกขึ้นได้ว่าศาลเจ้ามีของที่ระลึกงานครบรอบ 30 ปีเมื่อเร็ว ๆ นี้แต่ว่าแจกไปหมดแล้ว
แต่เธอก็มีติดตัวอยู่หนึ่งชิ้น!
“ขออนุญาตนะคะคุณผู้ชาย ของที่ระลึกจากงานครบรอบสามสิบปีของศาลเจ้าค่ะ” ปรมายื่นพวงกุญแจเชือกถักคล้องกับเหรียญจีนโบราณให้เจมีไนน์ด้วยมือสั่นเทา