20 ปีที่แล้ว
“เห้ย! เด็กคนนี้มาจากไหนวะเนี่ย ลูกสาวพวกเอ็งเหรอ” รถบรรทุกที่วิ่งมาไกลจากจังหวัดนครพนมกลับมีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆขดตัวอยู่ที่ท้ายรถ แต่คนขับรถก็งงงันไม่ต่างกัน เนื่องจากยิงยาวไม่ได้พักค้างคืนที่ไหนเลย นอกจากแวะเข้าห้องน้ำและกินข้าวแค่ไม่กี่จุด
เป็นไปได้ว่าเด็กคนนี้อาจจะปีนขึ้นมาตลอดไหนก็ได้
“อ้าว เอาดีวะ งั้นเดี๋ยวพาสถานีตำรวจแล้วกัน” หนึ่งในกลุ่มคนงานเสนอแนะ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร…คำพิพากษาจ่อเข้ามาแล้ว
“มัวโอ้เอ้อะไรกัน ทำไมไม่รีบขนของลง กูไม่มีเวลาให้พวมึงทั้งวันนะ” เถ้าแก่ขมวดคิ้วมุ่น โวยวายเสียงดังจนลูกน้องสะดุ้งกันเป็นแถว
“เฮียกวงครับพอดีว่ามี…” คนงานชี้ที่ท้ายรถ
“มีอะไรวะ อย่าบอกนะว่าสั่งของมาผิดน่ะ เดี๋ยวโดนตบกบาลรายตัว ชิ๊!” บุญกวงชะโงกหน้าไปดูก็เจอตาใสแป๋วคู่หนึ่งมองกลับมา ท่าทีดุดันก็อ่อนลงทันใดเพราะนึกว่าเด็กมาซุกซน ก่อนจะรู้ว่าเป็นเด็กหลงทางมา
จะไล่ให้ไปก็กระไรอยู่
ทุกคนรู้ดีว่าบุญกวงเป็นคนจู้จี้จุกจิก ปากร้าย แต่มีจิตเมตตากับเด็กเสมอจึงให้แม่บ้านมาพาตัวไปอาบน้ำ
เด็กท้ายรถเล่าว่าตัวเองชื่อถิงถิง อายุ 5 ขวบอาศัยอยู่กับพ่อกับแม่เลี้ยงในคาราวานสินค้าที่ตะเวนขายของตามงาน ล่าสุดปักหลักอยู่ที่งานกาชาดในจังหวัดนครพนม เธอมาแอบแม่เลี้ยงที่ท้ายรถจนผล็อยหลับไปรู้สึกตัวอีกทีรถก็แล่นออกมาไกลแล้ว
บุญกวงเองก็รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเจอจึงสั่งให้ลูกน้องไปขออุปการะมา ทุกอย่างง่ายเหมือนปอกกล้วยเพราะฝ่ายนั้นไม่ได้อยากจะเลี้ยงดูอยู่แล้ว ในที่สุดเธอก็มีผู้ปกครองใหม่ ถูกเลี้ยงดูในสถานะคนรับใช้มีหน้าที่ดูความเรียบร้อยทั่วไปในศาลเจ้า
ปรมาเติบโตมาเป็นสาวร่างเล็กหน้าหวานจิ้มลิ้ม ทว่าไม่ยักกะมีผู้ชายกล้าเฉียดเข้าใกล้เพราะลือกันว่าบุญกวงเลี้ยงต้อย เพราะหลายปีที่ผ่านมาเขาก็มีเล็กมีน้อยไปเรื่อยตามประสาคนมีเงิน
ในเวลานี้ปรมากำลังซุ่มทำงานวิจัยชิงทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอก เพราะรู้ดีว่าไม่อาจพึ่งพาบุญกวงได้ตลอดชีวิต
แต่จงรู้อย่างหนึ่งว่าคนถูกอุปการะเรียกบุญคุณ…คนอุปการะเรียกลงทุนและมีแววจะได้ถอนทุนคืนในไม่ช้า แม้อีกฝ่ายกำลังจะมีอนาคตที่ดีก็ตาม
โรงพยาบาลเอกชนใจกลางเมืองภูเก็ต
ข่าวดีคือหายเป็นปกติแล้วพรุ่งนี้กลับบ้านได้ แต่ยังต้องพบจิตแพทย์ตามนัด
หลายวันมานี้จักรทัศน์ต้องอุดอู้อยู่โรงพยาบาลจนจะบ้ารายวัน ยังดีที่มีเพื่อนล่องหนอยู่ด้วยทำให้คลายความเหงาลงได้บ้าง แต่ที่ไม่คาดคิดคือมีคนเห็นจักรทัศน์พูดคนเดียว บ้างก็ว่าคุยกับแม่ซื้อ บ้างก็ว่าเจ้าที่มาทักทายหรือไม่ก็…เจ้าของห้องคนเก่าแวะมาเยี่ยม
พรุ่งนี้ก่อนออกจากโรงพยาบาลแพทย์เจ้าของไข้สั่งทำ CT สแกนสมองซ้ำอีกครั้งเพื่อส่งต่อให้แผนกจิตเวช
อัยยาลิณณ์ก็ไปไหนได้ไม่ไกลเช่นกัน
สถานะที่เป็นอยู่จะมนุษย์ก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิง
เพราะไม่รู้สึกหิวจึงไม่ต้องกินข้าวผ่านธูป เดินทะลุกำแพงไม่ได้ต้องเข้าออกประตูเหมือนคนปกติ สัมผัสร่างจักรทัศน์ได้แต่หยิบจับวัตถุอื่น ๆ ไม่ได้ ทำให้อัยยาลิณณ์ต้องวนเวียนอยู่ชั้น 12 ทั้งวันทั้งคืนจนบังเอิญได้ยินเรื่องซุบซิบที่เกี่ยวกับจักรทัศน์
‘แฟนเก่าของหมอเจย์กำลังดูใจอยู่กับลูกชาย ผอ. โรงบาล แต่หมอเจย์เหมือนจะยังไม่รู้และไม่รู้ว่า ผอ. จะรู้แล้วหรือยัง แล้วงี้ควรบอกเขาดีมั้ยวะไอ้ตาล’ หญิงสาวครุ่นคิด ปลายตามองไปทางคนที่กำลังเซ็งอยู่ข้างหน้าต่างเพราะไม่ได้ทำงานเกือบอาทิตย์
“คุณขนมต้ม นี่…คุณขนมต้ม!” จักรทัศน์พยักเพยิดเรียก
“ว่าไง…” หนนี้คนถูกเรียกขานรับตามปกติเพราะยิ่งทักท้วงยิ่งโดนแกล้ง
“คุณบอกว่าพยายามจะลงไปข้างล่าง แต่ไปได้กลางทางก็ถูกดึงกลับมาใช่มั้ย”
“ใช่ เหมือนมันจะมีรัศมีระยะห่างอยู่น่ะ คุณเป็นโลกส่วนฉันก็เป็นดวงจันทร์และฉันกำลังโคจรอยู่รอบตัวคุณ” อัยยาลิณณ์เปรียบเปรยได้ดีจนจักรทัศน์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
แบบนี้เหมือนอุกกาบาตมากกว่าดวงจันทร์
“คืนนี้ลงไปข้างล่างกัน รอพยาบาลเปลี่ยนเวรผมจะไปหยิบเสื้อกาวน์ในห้องพัก ขนมต้มช่วยดูต้นทางให้หน่อยนะ”
“ลงไปเดี๋ยวก็มีคนเห็นหรอก”
“ไม่ใช่ทุกคนที่รู้สักหน่อยว่าผมแอดมิทอยู่ ผมเบื่อน่ะ อยากไปเดินเล่นรับบรรยากาศห้องตรวจสักหน่อย” ช่วงหัวค่ำจักรทัศน์เปลี่ยนใส่ชุดแล้วสวมเสื้อกาวน์ลงไปทางบันไดหนีไฟ
ชั้นล๊อบบี้ของโรงพยาบาล
ร่างสูงชะลูดในชุดสีดำกำลังรอพบแพทย์เพื่อตรวจอาการก่อนถอดสายรัดข้อมือออก เดิมทีเอ็นข้อมือยังไม่ทันหายดีก็ไปออกแรงแบกคนเมาจนมันกลับมาอักเสบอีกรอบ ทำให้บาร์เทนเดอร์โชว์ของเจมีไนน์ต้องโดนยกเลิกไปอย่างเสียดาย
บรรยากาศหน้าห้องตรวจมีคนมาใช้บริการไม่มากนัก บุคคลากรทางการแพทย์ต่างคนต่างทำงานจนไม่มีใครสังเกตุเห็นนายแพทย์หนุ่มที่จู่ ๆ ก็โผล่มาคว้าแฟ้มประวัติคนไข้ขึ้นมาดู
‘เอ็นข้อมืออักเสบ ติดตามอาการครั้งสุดท้าย ชื่อ…เจมีไนน์ ดีแลน ออสเตรเลีย โอเค…’ ว่าแล้วก็หันไปเรียกชื่อคนไข้ด้วยตัวเอง โชคดีที่เจ้าตัวนั่งอยู่ใกล้ ๆ พอดีจึงรีบเดินนำคนไข้เข้าห้องตรวจที่ว่างอยู่
“เชิญนั่งครับ” จักรทัศน์สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษพลางผายมือเชิญให้นั่งอย่างมีมารยาท อ่านบันทึกการรักษากับวันเดือนปีเกิดคร่าว ๆ จนไม่ทันเห็นหน้าคนไข้…
“ไม่ทราบว่า เป็นหมอมานานหรือยังครับ” คนไข้จึงเป็นฝ่ายทักทายก่อน แพทย์หนุ่มเงยหน้าเบิกตาโตในทำนองที่ว่าเคสนี้จะตกใจอะไรก่อนดี
“เอ่อ…เพิ่งมาเป็นแค่สองปีเองครับ นี่…นี่ คุณผู้ชายพูดไทยได้ด้วยเหรอครับ”
เจมีไนน์พยักหน้า หยัดยิ้มอวดรอยบุ๋มจาง ๆ บนแก้ม
“เอ่อ…คนไข้อายุ…เอ่อ บนประวัติ อันนี้ถูกต้องแล้วเหรอครับ” เพราะแฟ้มประวัติระบุว่าปีนี้เขาอายุ 53 ย่าง 54 ปีแล้ว แต่หน้าตาเหมือนคนยังไม่ 40 ปีเลยด้วยซ้ำ
“ผมดูแก่กว่าอายุจริงเหรอครับหมอ”
“มะ ไม่ใช่อย่างงั้นเลยครับ คนไข้ไม่เหมือนคนอายุห้าสิบเลยครับ”
‘โอ้แม่เจ้า! ทำไมดูแลตัวเองดีจัง หน้าอย่างกะคนสามห้า ไม่มีความเป็นมนุษย์ลุงเลย’ อัยยาลิณณ์ที่ยืนดูต้นทางออกอาการวี๊ดว๊าด จักรทัศน์ส่งสายตาเป็นนัยว่าอย่าส่งเสียงรบกวนสมาธิ
คนไข้หันมองตามไปก็ไม่เห็นอะไร
“อย่างงั้นเองเหรอ ขอบคุณนะครับ เขินเลยเวลามีเด็กรุ่นลูกชม” เจมีไนน์ก้มมองสายรัดข้อมือกำลังถูกถอดออกสลับกับหน้าหล่อ ๆ ของจักรทัศน์ ในใจรู้สึกเอ็นดูจนอยากใช้มืออีกข้างลูบศีรษะแพทย์หนุ่มสักที
‘จำเรื่องคืนนั้นไม่ได้สินะหมอเจย์’ เขาคิดในใจปล่อยให้จักรทัศน์ลูบคลำขยับข้อมือตรวจเอ็นที่อักเสบ
“ถ้าไม่เจ็บแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ว่าแต่…เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”
“เรียกผมว่าลุงเจมส์ดีกว่า” ว่าแล้วคนตอบก็เอียงคอขยับหน้าหล่อเหลาแบบตี๋อินเตอร์เข้าประชิด “หมอคุ้นหน้าผมมั้ยล่ะ เวลามองใกล้ ๆ”
“เอ่อ ไม่ ไม่รู้สิครับ แต่รู้สึกคุ้น ๆ อยู่” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโตโพล่ง ตอบด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“แต่ผมเจอหมอเจย์ประจำเลย รู้มั้ยตอนไหน…ตอนส่องกระจกน่ะ” เจมีไนน์กดหน้าเล็กน้อยแล้วขยิบตาขี้เล่นให้หนุ่มรุ่นหลานที่กำลังอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
“มะ หมายความว่าไงครับ”
‘พูดงี้หมายความว่าไง’ คนดูต้นทางสุดแสนจะงงงันกับพฤติกรรมแปลก ๆ ของคนไข้รายนี้
นี่มาหาหมอหรือจะมาจีบหมอกันแน่
ทว่าไม่ไกลนักอาจารย์หมอกับผู้ติดตามกำลังจ้ำอ้าวมายังแผนกผู้ป่วยนอก หลังได้รับแจ้งว่ามีคนไข้หายไปจากห้องพักและมีคนตาไวเห็นจักรทัศน์สวมเสื้อกาวน์เดินอยู่ชั้นล่าง
“หมอจักรทัศน์ นึกออกหรือยังว่าเราเคยเจอกันที่ไหน”
“เดี๋ยวนะครับ ทำไมรู้ชื่อจริงของหมอล่ะครับ ไม่สิ เมื่อกี้เรียกชื่อเล่นด้วย” รู้ได้ไง? เสื้อกาวน์ที่สวมก็เป็นของคนอื่น บาร์เทนเดอร์หนุ่มใหญ่กำลังจะเฉลยความจริง
แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
‘หมอ…เจย์ หมอเจย์ความแตกแล้ว’ อัยยาลิณณ์ตะโกนเตือน วินาทีนั้นประตูห้องก็เปิดออกคนกลุ่มหนึ่งพากันกรูเข้ามา
สายตาดุดันดั่งผู้มีอำนาจ น้ำเสียงทุ้มดั่งประกาศิตของพลตรี นายแพทย์เดชดำรงค์ทำเอาแพทย์หนุ่มหัวใจวูบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
“วางทุกอย่างลงเดี๋ยวนี้หมอจักรทัศน์!”
สถานการณ์ตึงเครียดจับขั้วหัวใจแต่กลับเจมีไนน์กลับโค้งมุมปากด้วยความพึงพอใจ
‘หัวขบถแบบนี้ค่อยน่าสนใจหน่อยนะหมอเจย์’