บ่นยังกะเป็นแม่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา”ฉันยืนทำใจอยู่สักพักมองประตูไม้สีครีมอย่างไม่สบอารมณ์แต่ถึงจะไม่อยากเข้าไปยังไงสุดท้ายก็ต้องเข้าไปอยู่ดี
แกร้ก
“อ๊ะ!”ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วก็เจอกับร่างสูงที่อยู่ในสภาพเกือบเปลือย
ใช่ค่ะเกือบเปลือย! เพราะร่างกายของเขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กคาดเอวเอาไว้เท่านั้น
“เสียสายตาชะมัด-.-”ฉันพูดขึ้นก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นทำเป็นไม่สนใจเดินไปยังที่นั่งประจำของตัวเองพร้อมกับวางเอกสารที่ถือมาวางลงบนโต๊ะ
เมื่อไหร่นะเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ฉันจะได้หลุดพ้นจากไอบ้านี่สักที!
“เหอะ..รู้ว่าชอบไม่ต้องเก็บอาการไว้หรอกยัยข้าวบูด”ฉันมองค้อนอีกฝ่ายทันทีทั้งๆที่ฉันชื่อข้าวเจ้าเป็นชื่อที่แสนจะน่ารักน่าเอ็นดูแต่ไอหมอนี่มักจะเรียกฉันข้าวบูดบ้างล่ะข้าวเน่าบ้างล่ะ
ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกชายเจ้าของบ้านนะฉันเสยคางไปแล้วแน่ๆ
“เลิกลีลาแล้วรีบมาเรียนได้แล้วฉันมีการบ้านจะต้องกลับไปทำ”ฉันพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วแท้ๆยังให้ฉันที่เด็กกว่าเขาตั้ง3ปีมาสอนงานของพ่อแม่ตัวเองอีก
น่าอนาถใจแทนพ่อแม่เขาชะจริง
“บ่นยังกะเป็นแม่”เจ้าตัวพูดออกมาเบาๆแต่เพราะห้องมันก็ไม่ได้กว้างมากแน่นอนว่าฉันได้ยินชัดแจ๋วแต่ก็ไม่อยากต่อปากต่อคำต่อเลยไม่ได้พูดอะไรกลับไป
“วันนี้ให้ทำไร”คำพูดห้วนๆน้ำเสียทุ้มต่ำเอ่ยถามพร้อมกับร่างสูงที่เข้ามานั่งข้างๆฉันกลิ่นแชมพูอ่อนๆโชยเข้าจมูกมันไม่ได้เป็นกลิ่นที่หอมหวานแต่เป็นกลิ่นของความสดชื่นเหมาะกับวัยของเจ้าตัว
“นี่ยัยข้าวบูดฉันถามเธออยู่นะเหม่ออะไร?”ฉันเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อมือหนาของอีกฝ่ายเขกเข้าที่หัวของฉันเบาๆฉันขมวดคิ้วมองใบหน้าที่เรียกได้ว่าโคตรจะหล่อของอีกฝ่ายก่อนจะหันกลับมาโฟกัสที่กองงานที่วางอยู่
“อืมวันนี้มีให้ตรวจสอบรายรับรายจ่ายกับคุณท่านให้ใบมาลองประเมินราคางาน”ฉันเข้าเรื่องงานที่ฉันได้รับมอบหมายมาอีกทีในทุกๆวันพุธและศุกร์ฉันจะต้องขึ้นมาสอนงานผู้สืบทอด
งงล่ะสิว่าทำไมต้องมาสอนก็เพราะว่าไอตานี่วันๆมันไม่ทำอะไรเลยไงนอกจากเที่ยวเล่นกินเหล้าคั่วหญิงไปวันๆทั้งๆที่พ่อกับแม่ทำงานทุกวี่ทุกวันหาเงินมาเลี้ยงเจ้าตัวแต่ดูสิ่งที่เจ้าตัวตอบแทนให้สิไม่ให้ไปประกันตัวที่โรงพักข้อหาทะเลาะวิวาทก็ไปให้ไปรับที่โรงพยาบาลเพราะทะเลาะวิวาทอีกตามเคย
ส่วนฉันฉันช่วยงานคุณท่านและคุณหญิงของบ้านมาตั้งแต่อายุ16ปีจนตอนนี้ฉันอายุ20ปีแล้ว4ปีที่ได้ทำงานมาก็สนุกดีนะเพราะฉันชอบเกี่ยวกับตัวเลขหรือการคำนวณบลาๆอยู่แล้วแม้ในตอนแรกอาจจะมีทำผิดพลาดบ้างแต่ท่านทั้งสองก็ยังให้โอกาสฉันอยู่เสมอ
จนกระทั่งได้รับหน้าที่ให้มาสอนงานไอตาบื้อนี่แหละเพราะเขาใกล้จะเรียนจบแล้วแต่ในหัวสมองกลับไม่มีอะไรเลยสักอย่างแถมยังเรียนไม่ตรงสายไปเรียนคณะวิศวะเพราะชอบที่จะใส่เสื้อไม่เหมือนเพื่อนและมันก็เท่ห์ดีเท่านั้น
ฉันนี่ยอมใจความคิดประหลาดๆของเขาจริงๆ
“แบบนี้ถูกไหม”มือหนาเลื่อนกระดาษมาให้ฉันตรวจสอบฉันได้รับหน้าที่นี้มาหลายเดือนแล้วแต่เจ้าตัวมักจะหาข้ออ้างในการโดดเรียนอยู่เสมอจนไม่กี่วันก่อนโดนคุณท่านเอาจริงบอกว่าถ้าไม่มาเรียนกับฉันให้ครบทุกครั้งก็จะยึดบัตรเครดิตและไงคะเจ้าตัวก็เลยทำตัวดีมาเรียนกับฉันสม่ำเสมอจนตอนนี้ก็เข้าสู่เดือนที่สองแล้วที่ได้สอนงานเขาอย่างจริงๆจังๆ
“อืม..ตรงนี้ยังผิดอยู่นะ”ฉันหยิบดินสอมาวงในส่วนที่ผิดไหล่ของเราสองคนชนกันแต่ฉันก็ค่อนข้างชินกับการอยู่ใกล้เขาแล้วแม้ว่าแรกๆจะแอบเกร็งก็ตาม
ก็นะฉันมันเป็นผู้หญิงที่โลกส่วนตัวสูงมากที่มหาลัยก็ไม่ค่อยมีเพื่อนทั้งๆที่พึ่งขึ้นปี1ควรจะมีเพื่อนเยอะแท้ๆกิจกรรมฉันก็ไม่ค่อยเข้าร่วมเพราะไม่ชอบที่ต้องกลับบ้านช้าหรือทำตามคำสั่งประหลาดๆของรุ่นพี่ยิ่งกิจกรรมรับน้องนี่ฉันขอบายเลยเพราะมันไร้สาระสุดๆ
แกร้ก
“โอ้วเจ้าลูกชายกำลังตั้งใจเรียนอยู่นี่เอง^^”เราสองคนต่างหันไปหาผู้มาใหม่ซึ่งเป็นแม่ของเขานั่นเอง
“ฉันบอกว่าให้ล็อคประตูทุกครั้งไงยัยข้าวเน่า”ใบหน้าหล่อหันมาพูดกับฉันอย่างไม่สบอารมณ์ให้ตายสิชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองแล้วล็อคประตูเนี่ยนะคิดอะไรอยู่ไม่ทราบ!
“ตาเซฟก็..ทำไมชอบไปว่าหนูข้าวเจ้าอยู่เรื่อยเลย”คุณหญิงเดินมาหาพวกเราอย่างอารมณ์ดีและใช่ค่ะไอตาบื้อนี่ชื่อเซฟเรียนวิศวะปี4ใกล้จะจบแล้วแหละส่วนเกรดน่ะเหรอเห็นว่ารอดFมาอย่างหวุดหวิดทุกเทอมเลย
ฉันยิ้มแห้งส่งให้คุณหญิงก่อนจะขอตัวลงไปเตรียมน้ำเตรียมขนมด้านล่างปล่อยให้แม่ลูกเขาได้คุยกัน
“อ่าวสอนเสร็จแล้วรึข้าว?”
“ยังจ่ะป้าพอดีข้าวลงมาเอาน้ำกับขนม”ฉันเอ่ยบอกกับป้าที่เป็นหัวหน้าแม่บ้านอยู่บ้านหลังนี้หลังจากที่พ่อกับแม่ของฉันประสบอุบัติเหตุเมื่อหลายสิบปีก่อนฉันก็ไม่เหลือใครป้าเลยพาฉันมาอยู่บ้านหลังนี้ด้วยและโชคดีที่เจ้านายของป้าเขาใจดียอมรับฉันเป็นคนใช้อีกคน
ในตอนแรกฉันก็ช่วยงานบ้านนั่นแหละแต่พอโตขึ้นก็มีโอกาสได้ช่วยงานคุณหญิงกับคุณท่านที่หยิบยื่นโอกาสให้ฉันเพราะเห็นว่าฉันเก่งเลขเก่งคำนวณฉันเลยเปลี่ยนจากสาวใช้มาเป็นผู้ช่วยของทั้งคู่แทนนับตั้งแต่นั้น
แต่ถ้าว่างฉันก็จะมาช่วยป้าทำงานบ้านนั่นแหละเพราะป้าเองก็อายุมากแล้วและตอนนี้ฉันก็คิดเรื่องที่จะให้ป้าลาออกจากงานแม่บ้านแล้วด้วย
หลังจากเตรียมของเสร็จฉันก็เดินกลับขึ้นไปเป็นจังหวะเดียวกับที่ทั้งคู่เดินออกมาพอดี
“ฝากเจ้าเซฟด้วยนะหนูข้าวถ้าเจ้าตัวดื้อไม่ฟังก็ตีได้เลยป้าอนุญาติจ่ะ^^”ฉันยิ้มรับบางๆก่อนจะมองใบหน้าหล่อของอีกฝ่ายที่ยืนทำหน้าบุญไม่รับอยู่ข้างๆ
“ได้ค่ะคุณหญิง”
“หนูข้าวป้าบอกแล้วไงจ่ะว่าไม่ให้เรียกคุณหญิงน่ะ”
“ฮ่ะๆได้ค่ะคุณป้า”ฉันมองอีกฝ่ายที่ยิ้มร่าออกมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมากอดมาลูบหัวฉันอย่างเอ็นดู
“ใครมาเห็นคงคิดว่าเป็นแม่ลูกกัน”เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก็นะคุณหญิงกับคุณท่านค่อนข้างจะเอ็นดูฉันมากผิดกับลูกชายแท้ๆที่เอาแต่เรื่องปวดหัวมาให้แก้
“ตายจริงงอนรึจ่ะมามะมาให้แม่หอมแก้มหน่อย”
“ไม่!”ใบหน้าหล่อเอ่ยเสียงแข็งก่อนจะเดินเข้าห้องไปทันที
ทำตัวหยาบคายชะมัดนี่แม่แกนะเว้ยย!
“ยัยแว่นรีบเข้ามาได้แล้วเดี๋ยวยุงเข้า”เจ้าตัวพูดขึ้นเสียงดังน้ำเสียงเต็มไปด้วยความหงุดหงิดฉันส่ายหน้าเอือมๆแต่ก็รีบเดินเข้าห้องไปโดยไม่ลืมที่จะเอ่ยลาแม่ของเขาอย่างสุภาพ
“ชักช้าซะจริงยัยเฉิ่มนี่”ฉันกำถาดแน่นอยากจะเอาน้ำแดงที่ถือมาราดลงบนหัวเขาซะจริงๆชื่อก็มีให้เรียกไม่เรียกเอาแต่เรียกอะไรไร้สาระอยู่ได้ก็ไม่รู้แล้วผู้หญิงที่ใส่แว่นตามันต้องเฉิ่มทุกคนเลยรึไง!
แต่ฉันก็เฉิ่มจริงแหละเรื่องความสวยความงามนี่เข้าไม่ถึงจริงๆหน้าก็ไม่ได้แต่งเพราะคิดว่ามันเสียเวลาไปเรียนไม่ได้ไปขายสวยที่ไหนสักหน่อยส่วนการแต่งตัวก็แต่งแบบเอาสบายผมบางครั้งก็มัดบางครั้งก็ปล่อยแล้วแต่อารมณ์
ผิดกับไอร่างเปรตนี่ทั้งหน้าตาหล่อเหลาได้ข่าวว่าเคยเป็นเดือนมหาลัยมาก่อนด้วยสาวๆก็เข้าหาไม่พักทั้งสูงทั้งหล่อแม้การเรียนจะไม่ได้เรื่องก็ตามแต่เรียนไม่ได้เรื่องก็พอยอมรับได้อยู่หรอกนะแต่นิสัยหยาบคายนี่สิพวกผู้หญิงหลงรักเขากันได้ยังไงกัน
“จะยืนเป็นหุ่นขี้ผึ้งอีกนานไหม?”
“จ้าๆมาแล้วจ้าคุณชาย~”ฉันทำเสียงล้อเลียนมองใบหน้าหล่อที่ทำตาขวางใส่ฉันแต่พอฉันวางถาดขนมปุ๊บมือหนาก็คว้าเข้าปากทันทีไม่พอยังหยิบขนมมายัดใส่ปากฉันอีกพอเห็นฉันสำลักก็หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
ไอคนหยาบคายเอ้ย!
โบราณเขาว่าผู้ชายแกล้งแปลว่าผู้ชายรักนะลูกก ฮ่าๆๆ