2 แรกพบ

3257 Words
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่แสนจะน่าเบื่อ ชีวิตของฮูหยินคหบดีผู้ร่ำรวยเงินทองในเมืองหลวงก็สบายอยู่หรอกนะ แต่วันๆ นางได้แต่ขลุกอยู่แต่ในเรือนจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่ได้นี่สิ มันช่างแสนน่าเบื่อหน่ายเสียนี่กระไร สาวใช้ทั้งสองก็ขยันตามติดตัวนางทุกฝีก้าว ไม่ว่านางจะเรียกร้องสิ่งใด พวกนางก็รีบสรรหามาให้อย่างไม่เกี่ยงงอน ลูกไม้ใดๆ ที่งัดออกมาเพื่อใช้สลัดพวกนางให้พ้นตัว สาวใช้ทั้งสองก็เดาทางนางออกเสียทุกที อ๊าก! ข้าอยากจะบ้าตาย ข้าไม่น่าหลงดีใจเสียเลยจริงๆ ทีแรกคิดว่ามาอยู่ร่างผู้อื่นแล้วจะมีชีวิตสุขสบาย แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นนกน้อยในกรงทองเสียอย่างนั้น คำประกาศิตของคนผู้นั้นช่างโหดร้ายกับข้าเหลือเกิน หรือว่าชาติก่อนข้าติดค้างฮูหยินเว่ยกันแน่ ชาตินี้ข้าเลยต้องมาอยู่รับกรรมแทนนาง สวรรค์ท่านช่างลำเอียงต่อข้านัก ดีมาก ดีเหลือเกิน นี่แหละคือสิ่งที่นางปรารถนา ข้าประชด! หลังจากใบหน้างามขมวดคิ้วมุ่นได้สักพัก จู่ๆ ดวงตาคู่งามพลันเปล่งประกายขึ้น จริงสิ! ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าออกจากคฤหาสน์สกุลเว่ยไม่ได้ แต่เดินเล่นบริเวณรอบเรือนได้ใช่หรือไม่ ข้านี่ก็ช่างโง่เขลาเสียนี่กระไร ทนอุดอู้อยู่แต่ในห้องเสียตั้งหลายวันกลับไม่ยอมออกไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง เอาแต่กลัวว่าผู้อื่นอยู่ได้ ถ้าอย่างนั้น...เริ่มแผนการได้ ใบหน้างามค่อยๆ คลี่ยิ้มอย่างประจบสาวใช้ทั้งสอง “นี่...ฮวาฮวา ฮวาเอ๋อร์ พวกเจ้าช่วยพาข้าออกไปเดินเล่นข้างนอกได้หรือไม่” “ไม่ได้เจ้าค่ะ/ไม่ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมเพรียงกันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย ข้าว่าแล้วว่าพวกเจ้าต้องตอบเช่นนี้ ชิ! แต่ความพยายามของซือซิงหาได้มีแค่นี้ไม่ “เดินเล่นแค่รอบๆ เรือนก็ได้ ข้าสัญญาว่าจะไม่เดินไปไหนไกล น่าน่ะ ฮวาฮวา ฮวาเอ๋อร์” ใบหน้าขาวเนียนอมชมพูบวกกับดวงคู่งามที่ฉายแววเศร้าสร้อยของซือซิง ทำให้หญิงสาวทั้งสองเริ่มรู้สึกสงสารระคนเห็นใจ “ฮูหยิน ไม่ใช่ว่าพวกบ่าวไม่อยากจะพาท่านออกไปข้างนอกเรือนหรอกนะเจ้าค่ะ แต่เป็นเพราะคำสั่งของนายท่านที่สั่งพวกเราให้คอยอยู่ดูแลท่านให้อยู่แต่เพียงในเรือน ห้ามไม่ให้ท่านย่างกรายออกนอกเรือนแม้แต่เพียงก้าวเดียว บ่าวจนใจจริงๆ เจ้าค่ะ” เว่ยจิ่นกวางข้าขอคืนคำที่คิดว่าเจ้าเคยรักข้า เอ้ย! ไม่ใช่ข้าสิ ต้องเป็นเคยรักเว่ยฮูหยิน แต่ตอนนี้ข้าอยากจะสาปแช่งให้เจ้าตกน้ำตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด โทษฐานที่เจ้าสั่งกักบริเวณข้า ตัดแขนขาข้าไม่ให้ออกไปไหน จิตใจเจ้าทำด้วยอะไร ไยถึงใจร้ายใจดำกับวิญญาณขอทานน้อยผู้น่าสงสารเช่นข้านัก ไม่ได้การละ ข้าต้องคิดหาวิถีทางตบตาพวกนางให้ได้ ข้าอยากจะรู้นักว่าคฤหาสน์สกุลเว่ยจะงดงามสมคำเล่าลืออย่างเช่นที่พวกนางคุยโวโอ้อวดไว้หรือไม่ ส่วนเรื่องอื่นจะเป็นเช่นไร ไว้ค่อยคิดกันอีกทีก็แล้วกัน “โอ๊ย! ข้าเจ็บเหลือเกิน” ซือซิงทรุดตัวนั่งลงบนเตียงพลางเอามือกุมท้อง ใบหน้างามขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเจ็บปวด นางขบฟันแน่น ริมฝีปากบางสั่นระริก “โอ๊ย! ข้าเจ็บท้อง โอ๊ยๆ” “ฮูหยิน!” ไม่รอช้า หลันฮวาและเหลียนฮวารีบปรี่เข้ามาดูอาการนางในทันที “ฮูหยินเป็นอะไรเจ้าคะ เจ็บตรงไหนบ้าง” สาวใช้ทั้งสองเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ มือไม้สั่นเทาทำอะไรไม่ถูก “ข้าปวดท้องเหลือเกิน พวกเจ้า...ช่วยตามท่านหมอมาดูอาการของข้าได้หรือไม่” หยาดน้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลรินลงมาบริเวณหางตาช้าๆ “โอ๊ย! ข้าทนไม่ไหวแล้ว พวกเจ้า...รีบไปเถอะ” ในขณะเดียวกันร่างบอบบางก็แอบหลับตาข้างหนึ่ง พลางแลบลิ้นน้อยๆ ลับหลังพวกนาง “โอ๊ย! โอ๊ย! ข้าคงต้องตายแน่ๆ” “ฮูหยินอดทนไว้นะเจ้าค่ะ บ่าวจะรีบไปเดี๋ยวนี้” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกลนลาน ก่อนที่จะรีบวิ่งออกจากห้องไปจนแทบจะสะดุดเท้าของตนเองล้ม หลันฮวาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ฮูหยิน บ่าวจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเองนะเจ้าค่ะ” “ไม่ต้อง!” ซือซิงเผลอพูดเสียงสูง ก่อนจะพยายามปรับโทนเสียงให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม “คะคือ...ข้าว่าเจ้ารีบไปด้วยกันน่ะดีแล้ว เผื่อว่าพวกเจ้าตามตัวท่านหมอไม่เจอจะได้ช่วยกันแยกย้ายกันออกตามหาได้อย่างไรเล่า ตอนนี้ข้าว่าเจ้ารีบๆ ไปเถอะนะ หากชัดช้าจะไม่ทันการ โอ๊ย!…ข้าเจ็บอีกแล้ว” “เจ้าค่ะ” หลันฮวาพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วรีบวิ่งจากไปในทันที เฮ้อ! เผื่อพวกเจ้าจะไปได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ต้องขอบคุณตาเฒ่าจูที่คอยสอนให้ข้ารู้จักเล่นละครแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ อันที่จริงแล้วข้าไม่ได้อยากโกหกพวกเจ้าเลย จริงๆ นะ! หนึ่งเค่อต่อมา... ความรู้สึกของการที่ได้เดินไปไหนมาไหนอย่างที่ไม่มีใครคอยตามติดนี่มันช่างดีต่อใจเสียนี่กระไร ความทุกข์ใจที่นางเผชิญก่อนหน้านี้พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น ซือซิงแย้มยิ้มอย่างมีความสุขเสมือนนกน้อยที่เพิ่งหลุดพ้นออกมาจากกรงทองมาหมาดๆ สวรรค์! นี่มันสวรรค์บนดินชัดๆ ตั้งแต่ข้าเกิดมาไม่เคยเห็นสถานที่ใดสวยงามเช่นนี้มาก่อนเลย ศาลาหอเก๋งงามเฉิดฉายท่ามกลางสระบัวนานาพันธุ์ ทั้งบัวดอกเล็กดอกใหญ่ สีสันละลานตาบานสะพรั่งอยู่เต็มสระ มีสะพานไม้เล็กๆ ไว้เพื่อเดินชมวิวทิวทัศน์บริเวณโดยรอบ แถมริมสระบัวยังมีต้นเหมยเรียงรายผลิดอกมากมาย ส่งกลิ่นหอมชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล เมื่อมองไปยังสถานที่อื่นๆ ในคฤหาสน์สกุลเว่ย ก็ทำให้ซือซิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตะลึงกับความหรูหราและใหญ่โตกับสิ่งก่อสร้างที่อยู่ตรงหน้านางในขณะนี้ ช่างงดงามเหลือเกิน เรือนแต่ละหลังตกแต่งอย่างประณีตราวกับจวนผู้สูงศักดิ์ หากนางไม่รู้มาก่อนว่าที่นี่เป็นคฤหาสน์สกุลเว่ย นางคงคิดว่าเป็นจวนท่านอ๋องหรือเหล่าราชนิกุลเป็นแน่ ดูท่าตระกูลเว่ยคงไม่ได้รวยอย่างเดียวกระมัง นางว่าพวกเขาคงมีอำนาจและอิทธิพลมากด้วยเป็นแน่ ร่างบอบบางเดินใจลอยไปเรื่อยๆ อย่างลืมตัว ลืมว่านางในตอนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่แม้แต่จะย่างกรายหรือเที่ยวเดินเพ่นพ่านไปในเรือนอื่นๆ แต่เท้าเจ้ากรรมของซือซิงพลันก้าวไปเรื่อยๆ ด้วยความชะล่าใจ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะเผชิญหน้ากับบุคคลที่ไม่ควรจะพานพบมากที่สุด บนระเบียงทางเดินที่เชื่อมต่อกับเรือนหลังใหญ่ ร่างบอบบางกำลังจับราวระเบียงตากลมดื่มด่ำกับธรรมชาติและหมู่มวลบุปผานานาชนิดที่ปลูกบริเวณโดยรอบทางเดินอย่างใจลอย “ช่างหอมเหลือเกิน ตั้งแต่เกิดมาข้าเพิ่งจะเคยพบเห็นดอกไม้มากมายขนาดนี้ ทิวทัศน์ที่นี่ช่างงดงามอะไรเยี่ยงนี้นะ” ในขณะที่เว่ยจิ่นกวางกำลังจะก้าวเดินกลับเรือน ร่างสูงใหญ่พลันหยุดชะงักในทันที สตรีที่เขาเกลียดชังมากที่สุดในขณะนี้ เหตุใดกลับมายืนตากลมตรงนี้ได้ สีหน้าของนางช่างดูมีความสุขจนเขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา หากเขาไม่รู้จักนางมาก่อนคงคิดว่านางเป็นหญิงสาวชาวบ้านที่เผอิญเดินหลงทางมาที่นี่เป็นแน่ ดวงตาเรียวคมลอบสังเกตพฤติกรรมของซือซิงอยู่เงียบๆ ได้ยินจากพ่อบ้านหลี่ว่านางความจำเสื่อมไปชั่วขณะ นิสัยของนางก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน จากที่เคยเป็นสตรีที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรียอมหักแต่ไม่ยอมงอ แต่ไฉนในตอนนี้นางกลับกลายเป็นหญิงสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไปได้ เว่ยหนิงเซียนเจ้าช่างเปลี่ยนไปมากจริงๆ เปลี่ยนไปจนข้าแทบจำไม่ได้เลยสักนิด หรือว่านางจะแสร้งว่าความจำเสื่อมเพื่อเรียกร้องความสนใจให้เขายกโทษให้นาง และปล่อยตัวนางให้ไประเริงรักกับชายชู้นะหรือ ไม่มีทาง! ในเมื่อข้าไม่สามารถครอบครองใจเจ้าได้ ก็อย่าหวังว่าจะมีผู้ใดยื่นมือมาแย่งเจ้าไปจากข้าได้เช่นเดียวกัน เว่ยหนิงเซียน ใบหน้าเรียบนิ่งฉายแววเย็นชาขึ้นมาในทันที “ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเข้ามาที่นี่ สาวใช้ทั้งสองของเจ้าไม่ได้บอกหรอกรึ ว่าห้ามเจ้าเดินเพ่นพ่านไปที่เรือนของผู้อื่นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต” เสียงของใครสักคนปลุกให้ซือซิงตื่นจากภวังค์แห่งบุปผางาม หญิงสาวค่อยๆ ผินหน้าหันไปมองคนที่มาก่อกวนอารมณ์สุนทรีย์ของนาง และในขณะนั้นเองดวงตาคู่งามพลันเบิกกว้างอย่างตกตะลึง สวรรค์! นี่ข้ากำลังเห็นพานอัน*กลับชาติมาเกิดหรือไร ช่างเป็นบุรุษที่รูปโฉมหล่อเหลาสง่างามอะไรเยี่ยงนี้ ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นบุรุษผู้ใดรูปงามเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็งในฤดูเหมันต์ น้ำเสียงเย็นชาไร้ซึ่งเยื่อใย ช่างดูเยือกเย็นแต่ก็มีเสน่ห์ชวนหลงใหลยิ่งนัก “ท่านเป็นใครรึ?” ซือซิงโพล่งถามขึ้นอย่างใจลอย ทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้วนางพอจะคาดเดาฐานะของเขาออกตั้งแต่คำแรกที่เขาเอ่ยทักทายนางแล้ว “ฉลาดไม่เบานี่ คิดสั้นยังไม่พอยังแสร้งความจำเสื่อมเพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากข้า” เว่ยจิ่นกวางใช้สายตาเหยียดหยามยามเมื่อจ้องมองมาที่นาง พลางแค่นเสียงอย่างดูแคลน “ไม่ว่าเจ้าจะแสร้งเป็นความจำเสื่อม หรือความจำเสื่อมจริง ก็อย่าหวังว่าข้าจะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเจ้า” ดูท่าเขาคงเกลียดชังนางมากจริงๆ สินะ ถึงได้พูดจาเสียดสีเหน็บแนมกันถึงเพียงนี้ ทว่าแม้ว่าเขาจะพูดด่าทอนางเช่นไร แต่สายตาคู่นั้นของเขากลับฉายแววเจ็บปวดอยู่ลึกๆ เฮ้อ! นี่สินะที่เขาเรียกว่าทั้งรักทั้งชัง ยิ่งรักมากเท่าไหร่ก็ยิ่งชิงชังมากขึ้นเท่านั้น ท่าทางไม่อินังขังขอบของซือซิงยิ่งทำให้เว่ยจิ่นกวางรู้สึกประหลาดมากยิ่งขึ้น หรือว่านางจะความจำเสื่อมจริงๆ เมื่อเห็นท่าทีเมินเฉยไม่สนใจของอีกฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลาพลันเคร่งขรึมขึ้นมากกว่าเดิม “เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่นิ่งเงียบ” “…” ดูใบหน้าเขาสิ ช่างดูตลกเสียนี่กระไร ประเดี๋ยวก็วางมาดเคร่งขรึม ประเดี๋ยวก็ขมวดคิ้วมุ่น ประเดี๋ยวก็จ้องมองหน้านางอย่างตกตะลึง ในตอนนี้นางชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าคนผู้นี้อารมณ์ใดกันแน่ เลือกเอาสักอย่างเถอะ นางตามไม่ทันแล้วจริงๆ ซือซิงอดไม่ได้ที่จะหลุดปากขำออกมา “ดูหน้าท่านสิ...ยามเมื่อจ้องมองหน้าข้า เหตุใดใบหน้าของท่านถึงได้ดูหลากหลายอารมณ์นัก หรือว่าใบหน้าข้ามีอะไรติดอยู่รึ?” ใบหน้าหล่อเหลาของเว่ยจิ่นกวางพลันแข็งค้างในทันที “ข้านึกว่าความจำของเจ้าจะเสื่อมเพียงอย่างเดียวเสียอีก แม้แต่นิสัยของเจ้าก็เปลี่ยนไปด้วยรึ?” ร่างสูงใหญ่ก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าซือซิงช้าๆ พลางใช้สายตาจ้องมองนางอย่างเยียบเย็น “ถึงได้กล้าต่อปากต่อคำกับข้า โดยที่ไม่คำนึงเลยสักนิดว่าตัวเจ้าในตอนนี้...อยู่ในฐานะใด” เชอะ! คำขู่ของเจ้าหาได้ระคายผิวข้าไม่ ไม่เห็นจะเจ็บจะคันเลยสักนิด ซือซิงใช้สายตาจ้องมองเขาอย่างท้าทาย “แล้วอย่างไร ข้าต้องฟังคำสั่งของท่านด้วยรึ?” “นี่เจ้า!” เว่ยจิ่นกวางถึงกับถลึงตาจ้องมองนางด้วยความโกรธเคือง เขานึกไม่ถึงเลยว่านางจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ หากเป็นแต่ก่อนนางคงไม่กล้าพูดเช่นนี้เป็นแน่ หรือเพราะว่านางความจำเสื่อม นิสัยของนางจึงเปลี่ยนไป ครั้นเมื่อเห็นเว่ยจิ่นกวางโกรธนางจนแทบควันออกหู ซือซิงก็เริ่มรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยนางก็ได้ปลดปล่อยความคั่งแค้นในใจออกมาได้บ้าง ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเล่นจ้องตากันอยู่นั้น สาวใช้ทั้งสองต่างก็ร้องเรียกหาผู้เป็นนายของพวกนางอย่างร้อนใจ “ฮูหยิน...ท่านอยู่ไหนเจ้าคะ ตอบบ่าวด้วย” เหลียนฮวาพูดพลางสอดส่ายสายตาไปมาอย่างร้อนใจ “นั่นใช่ฮูหยินของพวกเราหรือไม่” หลันฮวาพูดพลางชี้นิ้วไปที่ร่างของสตรีนางหนึ่งที่ยืนอยู่ห่างจากพวกนางไปไม่ไกล พร้อมกับนัยน์ตาที่เบิกโพลงเมื่อเห็นว่าใครอีกคนยืนอยู่ข้างๆ ฮูหยินของพวกนาง “ไหน...ทำไมข้า...” ยังไม่ทันที่เหลียนฮวาจะเอ่ยปากถามให้จบ ดวงตาทั้งคู่ของนางก็เบิกกว้างอย่างตกตะลึง “แย่แล้ว/แย่แล้ว” ทั้งสองเอ่ยขึ้นมาพร้อมเพรียงกันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ร่างบอบบางก็เริ่มเบื่อหน่ายที่จะเล่นจ้องตากับบุรุษตรงหน้านาง ซือซิงจึงคิดที่จะเดินเลี่ยงหนีเขาไปคงจะดีกว่า เพื่อไม่ให้สถานการณ์ดูตึงเครียดไปมากกว่านี้ และในขณะที่ซือซิงกำลังจะเดินเลี่ยงจากไป ฝ่ามือใหญ่ของเว่ยจิ่นกวางพลันเอื้อมมาจับแขนของนางไว้อย่างรวดเร็ว “เจ้าจะไปไหน ไม่เห็นหรือว่าข้ายังไม่ได้อนุญาต” บ้าอำนาจ! ซือซิงกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่ายพลางเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงปนรำคาญ “แล้วเมื่อใดท่านจะอนุญาตให้ข้ากลับเรือน ในเมื่อท่านเองไม่ใช่รึที่ออกปากห้ามข้าไม่ให้มาเดินเพ่นพ่านแถวนี้ ตอนนี้ข้ารู้สำนึกผิดแล้ว...ข้าขอลา” ซือซิงพยายามจะสลัดแขนแรงๆ เพื่อให้หลุดจากพ้นจากเกาะกุมของเขา แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่านางจะพยายามสักเพียงใด เว่ยจิ่นกวางก็ไม่ยอมปล่อยแขนขางให้เป็นอิสระเสียที แถมยังใช้กำลังบีบแขนนางมากขึ้นกว่าเดิม “ข้าเจ็บ...ปล่อยข้านะ!” “ไม่” เว่ยจิ่นกวางปฏิเสธในทันที ดูท่าตอนนี้นางคงจะใช้ไม้แข็งเพื่อแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้เสียแล้ว หากนางยังขืนดึงดันงัดข้อกับคนผู้นี้ เกรงว่าคนที่จะเสียเปรียบคงหนีไม่พ้นตัวนางเองเป็นแน่ ซือซิงพยายามสูดหายใจลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านพี่...ถึงอย่างไรเสียข้ากับท่านก็เคยมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน เห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าในอดีต...ท่านปล่อยข้าเถอะนะ” “ถ้าข้าบอกว่าไม่ปล่อยล่ะ” แม้ความรู้สึกอีกด้านของเว่ยจิ่นกวางจะบอกว่าให้เขารีบปล่อยมือจากนางและขับไล่นางไปเสีย แต่มือเจ้ากรรมของเขามันกลับไม่ทำตามคำสั่ง และยังคงบีบแขนนางแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ “โอ๊ย! ข้าเจ็บจริงๆ นะเนี่ย” ด้วยความตกใจ เขารีบปล่อยมือออกจากแขนนางในทันที ซือซิงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคืองขุ่น “หากท่านเกลียดชังน้ำหน้าข้านัก ไยต้องทำร้ายกันด้วย ข้าก็กำลังจะรีบเดินไปไกลๆ ให้พ้นหน้าท่านอยู่แล้ว แล้วท่านยังจะต้องการอันใดอีกรึ?” และก่อนที่เว่ยจิ่นกวางจะเอ่ยปากขอโทษนางอย่างรู้สึกผิด ร่างของสาวใช้ทั้งสองก็รีบปรี่เข้ามาดูอาการนายหญิงของพวกนางในทันที “ฮูหยิน ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” หลันฮวาเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงร้อนใจ ในขณะเดียวกันเหลียนฮวาก็รีบคุกเข่าลงต่อหน้าเว่ยจิ่นกวางอย่างอ้อนวอน “ขอนายท่านโปรดระงับโทสะด้วยเถอะเจ้าค่ะ หากฮูหยินของบ่าวทำให้นายท่านไม่พอใจ บ่าวก็ขอโทษแทนนางด้วยนะเจ้าค่ะ” หลังจากฟื้นขึ้นมานางก็พึ่งจะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วชีวิตใหม่ของนางหาใช่เงียบเหงาเดียวดายไม่ นางยังมีสาวใช้ทั้งสองที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อนางนัก ฮวาฮวา ฮวาเอ๋อร์ ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเจ้าจริงๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงฉายแววเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ต่อเหตุการณ์ตรงหน้า มีเพียงดวงตาเรียวคมคู่นั้นที่ยังคงจ้องมองมาที่ซือซิงอย่างไม่วางตา เว่ยจิ่นกวางเจ้าอย่าเอาแต่เงียบได้ไหม ข้ากดดันนะรู้หรือไม่ จะด่าทอตบตีหรือไล่ตะเพิดข้าก็เลือกมาสักอย่างเถอะ อย่าทำให้ข้าต้องคาดเดาความคิดของเจ้าอยู่ฝ่ายเดียวเช่นนี้เลย ข้าขอร้อง “ท่านจะเอาอย่างไร?” เว่ยจิ่นกวางอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านอีกครั้งกับท่าทีของของซือซิง เพราะสายตาของนางหาได้หวาดกลัวเขาไม่ แถมยังกล้าสบตาเขาอย่างท้าทาย นี่คือภรรยาผู้สงบเสงี่ยมของเขาจริงๆ นะหรือ? ครั้นเมื่อเห็นสีหน้าของเว่ยจิ่นกวางเริ่มไม่สู้ดี ซือซิงจึงรีบตัดสินใจไหวตัวออกจากสถานการณ์อันตึงเครียดในทันที “ท่านพี่...ข้าขอตัวกลับเรือนก่อนนะ” “…” ในเมื่อเจ้าไม่ตอบ ข้าก็จะทึกทักเอาเองนะว่าเจ้าอนุญาตก็แล้วกันนะ ไม่รอช้าร่างบางรีบก้าวเท้ายาวๆ เดินจากไปอย่างรวดเร็ว และไม่ลืมเรียกสาวใช้ทั้งสองตามนางกลับไปด้วย “พวกเจ้าทั้งสองก็รีบตามข้ามาเร็วๆ ด้วยล่ะ” “เจ้าค่ะ” ซือซิงแอบชำเลืองหางตามองเว่ยจิ่นกวางอีกครั้ง แต่ก็พบว่าเขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ดวงตาเรียวคมคู่นั้นยังคงจับจ้องมาที่นางอยู่เงียบๆ เชอะ! ผู้ใดสนเจ้ากัน เจ้าน้ำแข็งพันปี เว่ยจิ่นกวางจ้องมองตามร่างบางไปจนลับตา มุมปากของเขากระตุกยิ้มขึ้นอย่างประหลาดใจ เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ เซียนเอ๋อร์ เปลี่ยนไปจนข้านึกว่าเจ้าคนเดิมได้ตายจากข้าไปแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ คงดีไม่น้อยสินะ * พานอันเป็นหนึ่งในสี่ชายงามตลอดกาลของประวัติศาสตร์ชาติจีน เกิดในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันตก เป็นนักปราชญ์และเป็นนักกวีที่มีชื่อเสียง ความหล่อเหลาของพานอัน ขนาดที่เรียกได้ว่า เวลาที่เขาขี่รถม้าไปข้างนอกก็มักจะมีสตรีทุกผู้ทุกวัยมาห้อมล้อมอยากใกล้ชิดไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าเนื้อหอมสุดๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD