เรื่อง: ไม่มีนิยามของคำว่ารัก ภาค 1
บทที่.24 กลับชุมพร(1)
โดย: srikarin2489
ผู้โดยสารเดินทางมาเที่ยวบินเดียวกับตุลยาและเพื่อนรักทั้งสอง มาลงยังสนามบินชุมพร ทยอยลงจากเครื่องแล้วเดินเข้าสู่ตัวอาคารสนามบิน เพราะเป็นสนามบินไม่ใหญ่นัก ผู้คนจึงค่อนข้างบางตา ตุลยากับอินทิราสะพายเป้คนละใบ ส่วนบุษกรลากกระเป๋าเดินทางแบบมีล้อสีฟ้าใบย่อม เดินตามหลังเพื่อนทั้งสอง แม้แต่ในตัวอาคารยังไม่ค่อยมีคนส่วนมากเป็นเจ้าหน้าที่ ส่วนผู้โดยสารที่เพิ่งมาถึง ออกไปขึ้นรถที่มารออยู่ด้านหน้าเลย ตุลยาเดินลิ่วนำหน้าเพื่อน เมื่อมองเห็นพ่อกับแม่มารอรับอยู่แล้ว
“ตุลมันมีโมเมนต์น่ารักนะ” อินทิราเอียงหน้าไปพูดกับเพื่อน
“ใช่” บุษกรยิ้มอ่อน มองภาพตุลยานั่งคุกเข่าลงกับพื้นด้านหน้าอาคารสนามบิน ก้มลงกราบแทบเท้าของพ่อกับแม่ ก่อนลุกขึ้นสวมกอดกันด้วยความคิดถึง ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก ทั้งสองรู้สึกดีกับภาพแบบนั้นของเพื่อนภาพครอบครัวอบอุ่น
“ชุมพรบ้านพ่อยินดีต้อนรับอินกับบุษนะลูก”
เตชน์พ่อของตุลยาหันมากล่าวต้อนรับเพื่อนของลูก ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อเพื่อนของลูกเข้ามายกมือไหว้ ส่วนมุกดาแม่ของตุลยาเข้ามาสวมกอดทั้งสอง ต้อนรับด้วยความอ่อนโยนอบอุ่นทำให้ตุลยายิ้มกว้างพอใจ
“เดินทางเหนื่อยมั้ยลูก” มุกดาถามเสียงนุ่ม แม้วัยจวนหกสิบแล้วยังดูสดใส เป็นคนตัวเล็กอารมณ์ดีจึงดูไม่แก่เลย หน้าตายังมีเค้าความสวยอยู่มาก
“ไม่เหนื่อยค่ะแม่ นั่งเครื่องไม่ถึงชั่วโมง” บุษกรบอกเจือยิ้มสดใสรู้สึก อบอุ่นใจที่ได้รับการต้อนรับด้วยดีจากพ่อแม่เพื่อน
“ไปลูก ไปขึ้นรถกัน” เตชน์บอกแล้วเดินนำไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล
“พ่อเอารถกระบะมารับ ไม่รู้ว่าอินกับบุษจะนั่งได้มั้ย พอดีพ่อมีของต้องบรรทุก เอารถเก๋งมาไม่สะดวก” เตชน์หันมาบอกเมื่อเดินไปถึงรถ เป็นรถกระบะสี่ประตูสีดำค่อนข้างใหม่ ที่ไม่แน่ใจเพราะรู้ว่าเพื่อนลูกเป็นลูกของผู้มีฐานะดีของกรุงเทพฯทั้งคู่
“บุษกับอินนั่งได้ค่ะพ่อ”
“พ่อไม่ต้องห่วงเราหรอกค่ะ เราสองคนไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนู”
อินทิราช่วยยืนยันอีกคนทำให้ตุลยายิ้มพอใจ เตชน์กับมุกดาคุ้นเคยกับเพื่อนของลูกมาตั้งแต่ทั้งสองยังเป็นเด็กนักเรียนมัธยมต้น จนตอนนี้กลายเป็นแพทย์จบใหม่
“ตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ออกไปอยู่ต่างจังหวัด ไปอยู่กับชาวบ้านจริง ๆ ได้นั่งรถอีแต๋นเป็นครั้งแรกในชีวิต อะไรไม่เคยเจอก็ได้เจอตอนนี้ ห้องส้วมเป็นแบบนั่งยองทำเอาพวกเราอึ้งไปตาม ๆ กัน ได้นุ่งผ้าถุงกระโจมอกอาบน้ำ นุ่งไม่เป็นชาวบ้านต้องมาสอนให้ เจอตุ๊กแกตัวโตในห้องน้ำบุษกรี๊ดสติแตกเลย” อินทิราเล่าแล้วหัวเราะเสียงใส พลอยทำให้เพื่อนทั้งสองยิ้มขำเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนไปอยู่ต่างจังหวัด เป็นประสบการณ์ที่ได้หัวเราะทุกครั้งเมื่อเล่าถึง
“ฉันจำได้ตอนไอ้บุษนุ่งผ้าถุงกระโจมอก วิ่งออกมาจากห้องน้ำ ดีนะผ้าถุงไม่หลุดโชว์ชาวบ้าน แหม...ถ้าผ้าถุงหลุดตอนนั้นไม่อยากคิดเลยว่าจะเป็นยังไง” บุษกรทำหน้าตึง หันไปทุบไหล่ตุลยาที่เล่าแล้วหัวเราะเสียงดังชอบใจ
“เอากระเป๋าขึ้นกระบะหลังเลยลูก” ตุลยาช่วยยกกระเป๋าของบุษกรขึ้นรถ ตามด้วยเป้ของตัวเอง
“คืนนี้นอนที่บ้านพ่อก่อนนะ ถ้าอยากนอนริมทะเล วันหลังค่อยไปนอนที่รีสอร์ทของเรา”
เตชน์หันมาบอกเมื่อตุลยากับเพื่อนขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย ตรงเบาะหลังบุษกรนั่งกลางขนาบข้างด้วยเพื่อนทั้งสอง
“อยากไปเที่ยวที่ไหนในชุมพร บอกตุลเลยเขากว้างขวางเพื่อนเยอะ เวลากลับมาบ้านตอนปิดเทอม ไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก ขับมอเตอร์ไซค์ตะลอนไปทั่ว ตะลอนเก่งยิ่งกว่าพี่ชายสามคน” ตุลยาหัวเราะหึ ๆ ในลำคอกับเรื่องที่พ่อเล่าแล้วบุษกรหันมามองเหมือนจะหมั่นไส้
“ตอนแรกพ่อคิดจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เลยนะ แต่ตุลบอกว่าขอรับปริญญาก่อน” เตชน์บอกระหว่างขับรถออกจากสนามบิน สำเนียงการพูดของเตชน์แม้จะพูดไทยกลางแต่ติดสำเนียงใต้อยู่มาก ฟังดูแล้วน่ารักดีในความรู้สึกของอินทิรากับบุษกร
“รับปริญญาก่อนอย่างลูกบอกก็ดีนะพ่อ รอให้ทุกคนว่างพร้อมกัน จะ ได้มาร่วมฉลองด้วยกันได้ ตาลจะได้เตรียมตัวลาพักร้อนกลับมาบ้านได้ เสียดายย่าไม่อยู่แล้ว ถ้ายังอยู่ท่านคงดีใจมากที่มีหลานเป็นหมอ ตุลน่าจะได้ทองเส้นโตเป็นของขวัญ ย่าเขาชอบซื้อทองให้เป็นของขวัญหลาน” ตุลยายิ้มแววตาเปี่ยมสุขเมื่อนึกถึงย่าที่ล่วงลับไปแล้ว แม้จะจากไปแล้วแต่ยังเหลือสิ่งดี ๆ ให้ลูกหลานจดจำ
“เมื่อคืนตาลโทรมา บอกว่าอย่าพึ่งจัดงานเลี้ยงฉลอง เขาอยากมา ร่วมงานด้วย มาร่วมแสดงความยินดีกับคุณหมอคนแรกของตระกูลเรา จะจัดงานเมื่อไหร่ให้บอกเขาล่วงหน้าด้วย เขาจะได้ลาพักร้อนมาร่วมงาน มีลูกสาวสองคนไม่ได้อยู่กับพ่อแม่สักคน ตาลไปเป็นแอร์ไกลถึงตะวันออกกลาง เขาได้เป็นแอร์ตามความฝันของเขา ส่วนตุลคงทำงานอยู่ที่อื่น” เตชน์พูดเหมือนจะบ่น แต่แววตาแจ่มใสเป็นประกายด้วยความภูมิใจ ลูกเรียนจบด้วยดีทุกคน
“จัดงานเมื่อไหร่ อินกับบุษต้องมาร่วมงานด้วยนะลูก” เตชน์มองหน้าเพื่อนลูกผ่านทางกระจกมองหลังแล้วชวน
“พ่อเขาดีใจมากเลยนะลูก” มุกดาเอี้ยวตัวไปพูดกับลูกสาว
“ลูกเรียนจบปริญญาทั้งห้าคน โดยเฉพาะตุลจบหมอพ่อเขาดีใจมาก ลูกห้าคนมีโตคนเดียวจบรามเหมือนพ่อกับแม่ จบนิติศาสตร์เหมือนพ่ออีกต่างหาก”
“เห็นลูกเป็นคนดีตั้งใจเรียนกันทุกคน เหนื่อยแค่ไหนพ่อพร้อมสู้ หาเงินส่งพวกเขาเรียน เวลาเหนื่อย ๆ จะบอกกับตัวเองว่า เพื่ออนาคตของลูกเพื่อครอบครัวทำให้มีกำลังใจสู้ ส่งพวกเขาถึงฝั่งหมดทุกคนแล้ว รู้สึกเบาขึ้นเยอะเลย”
“พ่อหมดไปเยอะสิคะกับตุล” บุษกรชำเลืองมองหน้าเพื่อนก่อนถาม
“หมดเท่าไหร่พ่อไม่ว่าหรอก ขอแค่เขาตั้งใจเรียน” บุษกรมองค้อน เมื่อเห็นเพื่อนหันมายิ้มยักคิ้วให้
“ฉันบอกแล้วว่าพ่อฉันน่ารัก” ตุลยาบอกด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวพ่อและครอบครัว
“ใช่มั้ยแม่ เพราะพ่อน่ารักแม่ถึงใจอ่อนรับรักพ่อ” ตุลยายื่นหน้าไปแซวแม่ มุกดาได้แต่ยิ้ม
“ตุลห้าวเหมือนใครคะพ่อ ห้าวจนเพื่อนเรียกไอ้นักเลงใต้ นี่เป็นฉายาตอนเรียนหมอ ตอนมัธยมเพื่อนเรียกไอ้ตุลนมกล่อง เห็นเดินดูดนมกล่องทุกเช้าเลย” ตุลยาหัวเราะหึ ๆ ในลำคอเมื่อเพื่อนเจตนาหันมาว่า
“น่าจะเหมือนพ่อตอนวัยรุ่น ตอนวัยรุ่นพ่อแสบพอสมควร เกเรจนถูกปู่ของตุลหวดก้นหลายครั้ง ปู่ดุมากเลยนะลูกดื้อบอกไม่ฟังหวดก้นเลย พ่อโดนปู่ของตุลตีประจำ พ่อยิ่งดุลูกยิ่งดื้อ”
“ฉันรู้แล้วว่าแกเหมือนใคร” ตุลยายิ้มเมื่อบุษกรยื่นหน้ามาว่าใกล้
“ตุลโตมากับพี่ชายสามคน ญาติพี่น้องวัยไล่เลี่ยกันเป็นผู้ชายซะเยอะ คงได้ความห้าวมาจากพี่ ๆ ด้วย กับตั้มทะเลาะกันทุกวัน ตุลกับตาลรวมหัวกันแกล้งพี่ จนบางทีตั้มถึงกับร้องไห้มาฟ้องแม่ ว่าถูกน้องรุมกัด” เตชน์เล่าเจือยิ้มส่วนลูกสาวหัวเราะเบา เลยถูกบุษกรปรายตาหมั่นไส้มามอง
“แต่เขาไม่กล้าตีน้อง เพราะพ่อสั่งห้ามไว้เด็ดขาดเลย ตุลทั้งดื้อซนสุดในจำนวนพี่น้องทั้งหมด จนบางทีพ่อคิดว่ามีลูกชายสี่คน”
“เป็นไอ้ตัวแสบของบ้านนี่เอง” ตุลยาได้แต่ยิ้มเมื่อบุษกรยื่นหน้ามาว่าอีก
“ตุลตอนเด็กชอบกินนมชง แม่เป็นแม่ลูกอ่อนเลี้ยงตาล เลยต้องให้เขาหย่านมแม่มากินนมชงแทน พอโตมาหน่อยหันมาชอบกินนมกล่อง” มุกดาเล่าเสริม ตุลยาหันไปพยักหน้ายิ้มกับเพื่อนราวกับภูมิใจในประวัติการชอบกินนมกล่องของตัวเอง
“ตอนตุลยังอยู่ในท้องแม่ เคยมีพระทักพ่อกับแม่ว่า เราสองคนจะมีลูกชายด้วยกันสี่คน ตอนนั้นพ่อใจเสียเลยนะ มีลูกชายมาแล้วสามคน หวังว่าคนที่สี่จะเป็นลูกสาว พ่อถามพระท่านว่าลูกในท้องเป็นผู้ชายเหรอ ท่านไม่ตอบบอกแค่ว่าเราจะมีลูกชายสี่คน”
“พอแม่คลอดลูกออกมาเป็นผู้หญิง พยาบาลเล่าว่าพ่อกระโดดร้องไชโยลั่นโรงพยาบาลเลย แล้วยังไปต่อว่าพระท่านถึงวัด” มุกดาเล่าเสริมเจือยิ้มขำ
“ต้องต่อว่าสิ ทำให้พ่อเครียดตั้งหลายเดือน แต่ท่านยังยืนยันคำเดิม บอกว่าพ่อกับแม่จะมีลูกชายสี่คน แถมยังตั้งซื่อให้ลูกชายคนที่สี่ว่าตุลา พูดจนพ่อโมโห เลยเบิ้ลลูกสาวสองคนติดเลย” ทุกคนในรถได้แต่ยิ้มขำกับเรื่องที่เตชน์เล่า
“เป็นลูกสาวก็จริง แต่เรื่องความดื้อความซนยกให้เขาเลย ยิ่งกว่าพี่ชายสามคนรวมกัน ตอนเรียนประถม มีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนผู้ชายทุกวัน จนครูต้องเชิญผู้ปกครองไปพบ”
“พอไปพบครู สรุปพ่อเข้าข้างลูกตัวเอง” เตชน์หัวเราะกับคำว่าของภรรยา
“เด็กผู้ชายคนที่มีเรื่องกับตุล ถูกพ่อด่าซ้ำที่ลูกมีเรื่องชกต่อยกับผู้หญิง เป็น ผู้ชายสามคนรุมผู้หญิงคนเดียวน่าอาย พวกนั้นมาหาเรื่องตุลก่อนตุลสู้คืนก็ถูกต้องแล้ว เขาเป็นผู้หญิงแต่ตัวสูงกว่าเพื่อนผู้ชายรุ่นเดียวกัน พวกนั้นสามคนยังล้มตุลไม่ได้ ลูกพ่อมันต้องสู้คนแบบนี้ ไม่หาเรื่องใครก่อนแต่ไม่ยอมให้ใครมารังแก เราไม่ใช่นักเลงแต่เราคือคนจริง คนจริงย่อมทำให้คนอื่นยำเกรงได้”
ตุลยายกมือกอดอกทำท่ายิ้มภูมิใจ กับวีรกรรมในวัยเด็กของตัวเองที่พ่อกับแม่ผลัดกันเล่าให้เพื่อนฟัง ตลอดการเดินทางกลับบ้าน การพูดคุยสนุกสนานเป็นกันเอง บางครั้งตุลยาส่งภาษาใต้คุยกับพ่ออย่างออกรส ทำเอาเพื่อนได้แต่ทำตาปริบ ๆ หันมามองหน้ากันเองฟังไม่ออก ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทของตุลยามาสิบกว่าปี แต่ยังไม่คุ้นเคยเข้าใจภาษาใต้ของเพื่อน ทำให้เพื่อนทั้งสองรู้ว่าตุลยาเหมือนพ่อมาก ในเรื่องนิสัยใจคอ เป็นคนสนุกสนานเฮฮาเสียงดัง นักเลงไม่ยอมใครแต่จิตใจดี เป็นเพื่อนประเภทใจถึงพึ่งได้ พร้อมลุยกับเพื่อนทุกอย่าง