เรื่อง: ไม่มีนิยามของคำว่ารัก ภาค 1
ตอนที่.36 รักสามเส้าเราสี่คน (2)
โดย: srikarin2489
“รู้สึกตัวแล้วหรือคะ”
เสียงถามนุ่มนวลทำให้คนไข้เพิ่งรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นแล้วต้องรีบหลับตาก่อนเมื่อเจอกับแสงสว่างจากไฟในห้อง แล้วค่อยกะพริบตาถี่เพื่อให้สายตารับกับภาพที่มองเห็นได้ มึนงงกับภาพที่เห็นพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องไม่คุ้นตา มองไปทางเสียงที่เอ่ยถาม
พบว่าเป็นผู้หญิงร่างท้วมเล็กน้อยวัยสาวใหญ่ อยู่ในชุดพยาบาลสีขาว ส่งยิ้มมาให้ก่อนด้วยท่าทางใจดีมีอัธยาศัย ปาลิดามองดูภายในห้องมีหลายสิ่งหลายอย่างบ่งบอกให้รู้ว่า นี่น่าจะเป็นโรงพยาบาลเริ่มตั้งแต่เตียงที่เธอนอนอยู่ ภายในห้องตกแต่งหรูหรา มีเครื่องอำนวยความสะดวกหลายอย่าง เหมือนโรงแรมมากกว่าจะเป็นโรงพยาบาล พยาบาลส่งยิ้มมาให้อีกเมื่อเห็นคนไข้มีสีหน้าแปลกใจขณะมองไปรอบ ๆ
“ที่นี่เป็นโรงพยาบาลหรือคะ”
“ค่ะ คุณหลับไปนานคุณหมอเป็นห่วงคุณมาก เมื่อคืนคุณหมอเฝ้าคุณเองทั้งคืน”
“หมอหรือคะ” คิ้วขมวดเล็กน้อยขณะทวนถามเสียงแปลกใจ
“คุณหมอที่เป็นเพื่อนของคุณไงคะ”
“ฉันไม่เคยมีเพื่อนเป็นหมอ”
พยาบาลทำหน้าแปลกใจกับคำบอกของคนไข้ ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต่อมีเสียงเปิดประตูห้องมาขัดจังหวะเสียก่อน ทำให้ทั้งสองหันไปดูทางประตูห้องพัก
“คุณหมอมาพอดีเลย คนไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะคุณหมอ”
ปาลิดามองร่างสูงโปร่งที่เดินเข้ามา อยู่ในชุดสครับสีแดงเลือดหมู มีหูฟัง (สเต็ทโตสโคป) คล้องอยู่ที่คอบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นแพทย์ เมื่อร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้เห็นหน้าชัดเธอถึงกับครางเบา
“พี่อิน”
ปาลิดาจ้องมองใบหน้าของคนที่เธอไม่เคยลืม จ้องมองเหมือนไม่อยาก เชื่อสายตาตัวเอง หรือว่าเธอไข้ขึ้นสูงจนเพ้อหรือฝันไป ลองกะพริบตาดูร่างนั้นยังอยู่เช่นเดิม ดวงตากลมโตซึมคลอด้วยหยาดน้ำใส ๆ เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ไข้ขึ้นยังมีสติดี
แม้วันเวลาจะผ่านมาหลายปีใบหน้านั้นแทบจะไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือแววตาและท่าทางที่ดูห่างเหินเรียบเฉย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเคยสดใส ขี้เล่นเจือไปด้วยรอยยิ้ม กลับมองเธอด้วยสายตานิ่งสงบ ขณะเดินมาหยุดอยู่ตรงปลายเตียง
“คนไข้รู้สึกตัวนานหรือยังพี่พยาบาล” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยถามพยาบาล แต่แววตาเรียบนิ่งมองมาที่เธอตลอด
“สักครู่นี่เองค่ะคุณหมอ” หมอร่างสูงพยักหน้ารับรู้
“ยังไม่ได้โทรไปบอกคุณหมอ พอดีคุณหมอเข้ามาก่อน”
“ขอหมอตรวจอาการคนไข้ก่อน คุณหลับไปนานเมื่อคืนไข้ขึ้นสูง จนหมดสติ” น้ำเสียงราบเรียบจับความรู้สึกไม่ได้ เอาหูฟังเสียบเข้าที่หูทั้งสองข้าง แล้วขยับมายืนข้างเตียงโน้มตัวลงตรวจดูอาการของคนไข้ ใบหน้าเรียบนิ่งขณะตรวจดูอาการของคนไข้ ทำให้ปาลิดาเกร็งจนไม่กล้าพูดอะไร
ระหว่างนิ่งฟังเสียงจากหูฟังตาเหลือบมองสบตาคนไข้ ที่มองมาอยู่ก่อนแล้วเห็นดวงตาคู่นั้นเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่วนริมฝีปากอิ่มขบเม้ม ตากะพริบถี่ขึ้นเพื่อไล่น้ำตา
สร้อยคอทองคำขาวห้อยจี้รูปเกือกม้า หลุดออกจากคอเสื้อสครับ ทำให้ปาลิดานิ่งอึ้งเพราะจำได้ว่าเป็นสร้อยที่เธอให้อินทิราไว้เมื่อเจ็ดปีก่อน ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกที่คอแทบกลั้นไม่อยู่ เมื่อพบว่าสร้อยที่เธอให้อีกฝ่ายยังสวมติดกาย
“หัวใจเต้นแรงไปหน่อย แต่อาการอย่างอื่นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อาการไข้ลดลงเยอะแล้ว”
ร่างสูงโปร่งขยับถอยออกไป เอาหูฟังคล้องไว้ที่คอตามเดิม มือสองข้างล้วงอยู่ในกระเป๋าเสื้อสครับ พูดกับพยาบาลแต่สายตามองหน้าคนไข้
“พี่พยาบาล ขอหมอคุยกับคนไข้ตามลำพังหน่อยค่ะ”
“ค่ะคุณหมอ”
หลังจากพยาบาลออกจากห้องแล้ว ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ หมอร่างสูงโปร่งยังคงยืนมองหน้าคนไข้นิ่ง ไม่พูดอะไรทั้งที่บอกกับพยาบาลว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ปาลิดามองสบตาคู่นั้นรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร แต่อินทิราเอาแต่ยืนมองนิ่งจนเธออดรนทนไม่ไหว
“พี่อิน...ทำไมพี่อินมองฟางห่างเหินแบบนั้น” ถามเสียงสั่นเครือ ค่อย ๆ ยันร่างตัวเองลุกขึ้นนั่ง
“หรือพี่อินลืมฟางแล้ว”
“ลืมเหรอ คำถามนี้น่าจะเป็นพี่มากกว่านะ ที่จะถามฟางว่าฟางลืมพี่แล้วใช่มั้ย เจ็ดปีกว่าเชียวนะฟางที่พี่เฝ้ารอ แต่ไม่เคยได้ข่าวหรือการติดต่อจากฟางเลย ฟางรู้มั้ยว่ามันเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน ต้องอยู่กับความคิดถึง และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่เราตกลงกันแล้วว่าจะติดต่อกัน แต่ฟางกลับเงียบหายไปเลย”
“พี่อิน”
ปาลิดาพึมพำเบา น้ำตารินหยดลงสองข้างแก้ม เมื่อเห็นน้ำตาของคนต่อว่าซึมคลอ แล้วค่อยเอ่อล้นลงมาตามแก้ม น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเจ็บปวดเสียใจ
“แต่พี่ทำได้เพียงรอวันแล้ววันเล่า รออย่างไม่มีความหวังแต่พี่ก็รอ รอว่าสักวันฟางอาจกลับมา พี่อยากเจอฟางมากคิดถึงทุกวัน คิดถึงเหมือนใจจะขาด ฟางใจร้ายกับพี่มากเลยนะ ทำกับพี่แบบนี้ได้ยังไง เหมือนฆ่าพี่ให้ตายทั้งเป็น”
“พี่อิน”
ปาลิดาประคองร่างตัวเองลงยืนข้างเตียง มีอาการซวนเซเล็กน้อยเหมือนจะล้ม จนต้องเอามือยึดเตียงไว้ ร่างสูงโปร่งขยับเหมือนจะเข้ามาช่วย แต่แล้วกลับนิ่งเฉยเหมือนเดิม พอปาลิดาเอื้อมมือไปหาร่างนั้นกลับขยับถอยหนี ท่าทางแบบนั้นทำให้เธอน้ำตาร่วงอีก ด้วยความสะเทือนใจกับท่าทางเย็นชาห่างเหิน จากคนที่เธอยังคิดถึงเสมอ
“พี่อินโกรธเกลียดฟางมากใช่มั้ย” ถามเสียงเครือ
“พี่อยากรู้สึกแบบนั้น สนุกมากมั้ยที่ล้อเล่นกับใจคน หลอกให้รู้สึกดีด้วยแล้วก็จากไป ไม่เคยสนใจว่าคนที่รออยู่รู้สึกยังไง ถ้าไม่อยากคบกันต่อบอกพี่มาตรงๆก็ได้ ไม่ใช่เงียบหายไปเลยแบบนี้”
“พี่อิน...ฟางขอโทษ”
อินทิราถึงกับยืนนิ่งอยู่กับที่ เมื่ออีกฝ่ายโผเข้ามากอด แล้วปล่อยสะอื้นไห้ออกมา ทำให้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เรียบเฉยในตอนแรกวูบไหว พยายามจะใจแข็งเย็นชาใส่อีกฝ่าย แต่เมื่อเจอแบบนี้ทำให้อินทิราใจแทบอ่อนละลาย แต่ยังวางฟอร์มทำนิ่งเฉย
“ฟางขอโทษ ที่ทำให้พี่อินเสียใจ” เงยหน้าขึ้นบอกปนสะอื้น
“เจ็ดปีกว่าไม่ได้มีแต่พี่อินที่เจ็บปวดทรมาน ฟางก็เหมือนกัน ฟางเฝ้ารอว่าสักวันจะได้กลับมาหาพี่อิน ที่ฟางกลับมาเมืองไทยครั้งนี้ ฟางตั้งใจกลับมาหาพี่อิน ฟางไม่เคยลืมพี่อินเลย”
“มันไม่ช้าไปหน่อยหรือฟาง พี่ไม่อยากเจ็บปวดอีก พี่เจ็บปวดมามากพอแล้ว พอพี่เริ่มทำใจได้ฟางจะกลับมาทำให้พี่เจ็บอีกทำไม ในเมื่อที่ผ่านมาฟางไม่เคยสนใจความรู้สึกของพี่เลย เจ็ดปีกว่าเชียวนะที่พี่ทำได้เพียงเฝ้ารอ”
“พี่อิน”
ปาลิดากอดแน่นไม่ยอมปล่อย เมื่ออีกฝ่ายพยายามจะเบี่ยงร่างหนีออกจากอ้อมแขนของเธอ
“ปล่อยพี่” อินทิราพยายามแกะแขนที่กอดอยู่รอบตัวออก แต่อีกฝ่ายกอดไว้แน่น
“ไม่ จนกว่าพี่อินจะยกโทษให้ฟาง พี่อินจะต่อว่าฟางยังไงก็ได้ แต่อย่าทำเหมือนรังเกียจฟางแบบนี้” เงยหน้าบอกเสียงเครือน้ำตายังรินอาบแก้ม
“พี่อินฟางขอโทษ” อินทิรามองสบตาที่พยายามอ้อนวอนงอนง้อคู่นั้นแล้วใจอ่อน เพราะที่ทำเป็นเย็นชาแค่น้อยใจไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เลื่อนแขนสองข้างขึ้นกอดร่างนั้นไว้แน่นด้วยความรักและคิดถึง น้ำตารินไม่ต่างกัน ปาลิดาแนบแก้มสะอื้นอยู่กับไหล่ของคนที่เธอคิดถึงทุกลมหายใจเข้าออก
ภาพอินทิรากับปาลิดายืนกอดกันร้องไห้อยู่ข้างเตียง ทำให้บุษกรที่เปิดประตูเข้ามาตั้งใจจะมาเยี่ยมคนป่วย ถึงกับมีอาการชะงักหยุดยืนนิ่ง ดวงตากลมโตหลังแว่นเอ่อคลอด้วยน้ำตา แววตาเจ็บปวดแสนสาหัสเมื่อเห็นเจ้าของหัวใจอินทิราที่แท้จริงปรากฏตัวแล้ว ที่ผ่านมาเฝ้าบอกตัวเองว่าอินทิรายังไม่มีใคร พยายามจะเอาชนะใจอินทิราให้ได้ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีหวังและไม่เคยมีด้วยซ้ำ อินทิราให้ได้เพียงความเป็นเพื่อนเท่านั้น
“หยุดเดินทำไมล่ะบุษ”
ตุลยาเดินตามหลังมาพลอยหยุดด้วย เมื่อเห็นเพื่อนหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ แต่เมื่อมองข้ามไหล่ของเพื่อนเข้าไปข้างใน ทำให้ตุลยาพลอยอึ้งไปอีกคนได้รู้สาเหตุว่าทำไมบุษกรนิ่งไป
“บุษ”
ตุลยาร้องเรียกตามหลัง เมื่อบุษกรผลุนผลันออกไป ทั้งที่ก่อนมาบอกว่าจะมาเยี่ยมปาลิดา ตุลยามองตามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าเพื่อนออกไปด้วยสีหน้าเจ็บปวดน้ำตาซึมคลอ ตุลยายืนหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจรีบวิ่งตามบุษกรไป
ทันทีที่ตุลยาก้าวออกมาจากลิฟต์ ทันได้เห็นหลังบุษกรไวๆเข้าประตูห้องพักไป ตุลยามาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องพักของบุษกร ลังเลว่าจะเข้าไปดีไหมแต่สภาพของเพื่อนเท่าที่เห็นน่าเป็นห่วง ในที่สุดตุลยาก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปโดยไม่เคาะก่อน บุษกรนั่งอยู่ริมเตียงหน้าก้มนิด น้ำตาหยดลงพื้นแต่ไร้เสียงสะอื้น ตุลยา มองดูเพื่อนด้วยแววตาเคร่งขรึมทั้งสงสารและเห็นใจ รู้ดีว่าบุษกรรักอินทิราและรักมานานแล้ว อยู่ใกล้ชิดมาหลายปีหวังจะเอาชนะใจอินทิราได้ แต่เมื่อปาลิดาปรากฏตัวขึ้น บุษกรถึงได้รู้ว่าความหวังของตัวเองพังทลายลงหมดแล้ว
“บุษ” น้ำเสียงอ่อนโยนเต็มไปด้วยความห่วงใย
“แกไม่ต้องพูดอะไรหรอกตุล” บุษกรชิงตัดบทก่อนเพื่อนจะพูดต่อ
“ฉันอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว ขอร้องแกออกไปเถ่อะ”
“สภาพแกเป็นแบบนี้ ฉันปล่อยแกไว้คนเดียวไม่ได้หรอก”
“แกจะมาหัวเราะเยาะ สมน้ำหน้าฉันใช่มั้ย” เงยหน้าร้องว่าทั้งน้ำตาอาบแก้ม น้ำตาเปื้อนแว่นจนต้องถอดวางไว้ข้างตัวก่อน
“เอาสิ...หัวเราะเลย สมน้ำหน้าฉันเลย สมน้ำหน้าที่ฉันไม่เชื่อแก ทั้งที่แกพยายามบอกมาตลอด” ดวงตากลมโตคู่นั้นเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเสียใจ
“ตอนนี้ได้โอกาสแล้วที่แกจะสมน้ำหน้าฉัน สะใจแกแล้วใช่มั้ย”
“แกดูถูกใจฉันเกินไปนะบุษ” ตุลยาบอกด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“แกเป็นเพื่อนรักของฉัน ฉันจะสมน้ำหน้าแกได้ยังไง แต่ฉันอยากให้แกเข้าใจอินมันด้วย มันรักฟางมาตั้งแต่เรียนอยู่ม.6 พอเขาไปอยู่อเมริกามันได้แต่เฝ้ารอ อินผ่านความเจ็บปวดเสียใจมามาก”
“ฉันรักอินมานานเหมือนกัน แกไม่เข้าใจหรอก คนอย่างแกไม่เคยมีความรัก” บุษกรก้มหน้าสะอื้นจนร่างสั่นสะท้าน
“ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ แกรู้แก่ใจดีบุษว่าฉันรู้สึกยังไงกับแก แต่แกแกล้งทำเป็นไม่รู้ ฉันก็รักแกมานานแล้วเหมือนกัน แต่แกไม่เคยสนใจความรู้สึกของฉันเลย ฉันก็เจ็บเหมือนที่แกเจ็บตอนนี้”
น้ำเสียงของตุลยาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเสียใจ น้ำตาซึมคลอมองดูร่างที่สั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นของเพื่อน ไม่เคยคิดเลยว่าต้องมาบอกรักบุษกรในสถานการณ์แบบนี้ แต่จำเป็นต้องพูดเพื่อให้ความในใจมันได้เคลียร์เสียที ที่ผ่านมามั่นใจว่าบุษกรรู้แต่ทำเป็นไม่รู้ และตัวเองไม่เคยได้บอกทั้งไม่กล้าและไม่มีจังหวะให้ได้บอกจนวันนี้
“ฉันอยากใกล้ชิดแก ทางเดียวที่จะเข้าถึงแกได้คือต้องเป็นเพื่อนสนิทของอิน ฉันต้องไปหัดเล่นบาสทั้งที่ฉันเล่นบาสไม่เป็น ตอนอยู่โรงเรียนเก่าฉันเป็นนักวอลเล่ย์ ฉันไปขอให้ลูกคุณลุงสอนเล่นบาสให้ ฉันมุ่งมั่นฝึกเลี้ยงลูกบาสทุกวัน จากที่เลี้ยงไม่ได้จนเลี้ยงคล่อง แล้วก็ได้เล่นบาสกับอิน” บุษกรยังคงก้มหน้าสะอื้นขณะเพื่อนพูด
“ฉันไม่ยอมกลับไปเรียนที่ชุมพร เพราะฉันชอบแก แกตัวเล็กกว่าฉันแต่สามารถปกป้องฉันจากพวกชอบแกล้งได้ มันทำให้ฉันประทับใจมาก ตอนฉันไปเรียนที่นั่นใหม่ๆ สำเนียงการพูดของฉันยังติดใต้มาก พูดทีไรคนอื่นพากันหัวเราะขำล้อเลียนฉัน พวกนั้นทั้งแกล้งและล้อเลียนฉันทุกวัน ฉันต้องแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำหลายครั้ง อยากกลับบ้านมาก ตอนอยู่ชุมพรไม่เคยมีใครกล้ามาว่าหรือล้อเลียนฉัน แต่อยู่กรุงเทพฯฉันกลายเป็นตัวตลก พวกเขามองฉันเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ถูกล้อเลียนถูกแกล้งจนโมโหแทบคลั่ง แต่ฉันตอบโต้คืนไม่ได้ มีแกกับอินที่ไม่เคยแกล้งหรือล้อเลียนฉัน” ตุลยาเข้ามานั่งคุกเข่ากับพื้นห้องเบื้องหน้าเพื่อนที่ยังสะอื้นอยู่
“ฉันรู้ว่าในใจแกมีแต่อิน เหมือนที่ในใจฉันมีแต่แก และจะมีอย่างนี้ตลอด ไป แม้แกจะไม่สนใจก็ตาม” น้ำตาของบุษกรยังหยดลงพื้นเป็นสาย มีเพื่อนนั่งมองด้วยแววตาปวดร้าวน้ำตาอาบแก้มไม่ต่างกัน
ความใหญ่โตโอ่โถงและหรูหราของโรงพยาบาล ทำให้ลดาที่เดินเข้ามาในตัวตึกโรงพยาบาล ถึงกับยืนนิ่งเหมือนไม่แน่ใจ แต่ก่อนเข้ามาดูป้ายแล้วว่ามาถูกที่แท็กซี่มาส่งบอกว่าที่นี่คือโรงพยาบาลGPH ห้องโถงด้านหน้าดูกว้างขวางหรูหรา น่าจะเป็นล็อบบี้โรงแรมมากกว่าเป็นโรงพยาบาล
มีคนนั่งอยู่ตามโซฟาที่จัดวางมีระยะห่างไม่แออัดใกล้ชิด มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เสาทรงกลมต้นใหญ่เพดานสูงทำให้ห้องโถงดูกว้างขึ้นอีก บรรยากาศช่างแตกต่างจากโรงพยาบาลรัฐโดยสิ้นเชิง
ลดาเข้าไปติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ตรงแผนกอินฟอร์เมชั่น อยู่ด้านหน้าภายในตัวตึกของโรงพยาบาล เมื่อได้ข้อมูลห้องพักรักษาตัวของลูกสาวแล้ว ตรงไปยังลิฟต์ที่จะขึ้นสู่ชั้นบนส่วนที่เป็นห้องพักของคนไข้
“รอด้วยค่ะ” พอใกล้จะถึงลิฟต์ เห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปในลิฟต์จึงร้องบอก ทำให้คนที่เข้าไปก่อนกดหยุดประตูลิฟต์ไว้ก่อน ลดาต้องเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น รีบตรงเข้าไปในลิฟต์
“ขอบคุณค่ะ” ค้อมศีรษะให้กล่าวกับผู้หญิงที่อยู่ในลิฟต์ โดยไม่ทันมองดูหน้าตา
“ฝ้าย...” ด้วยน้ำเสียงการเรียกฟังคุ้นหูมาก จนทำให้ลดาถึงกับนิ่งชะงัก แล้วหันไปทางคนที่อยู่ร่วมลิฟต์
“พี่อุ้ม...”