เรื่อง: ไม่มีนิยามของคำว่ารัก ภาค 1
ตอนที่.35 รักสามเส้าเราสี่คน (1)
โดย: srikarin2489
เสียงเรียกอย่างคุ้นเคยทำให้อินทิราชะงัก คิ้วขมวดเข้าหากัน เพ่งมองหญิงสาวตรงหน้า ดูหน้าคุ้นๆ แต่ยังนึกไม่ออกว่าใคร ณิชมนไม่เหลือเค้าเด็กมัธยมปลายอยู่เลย กลายเป็นสาวสวยทั้งการแต่งเนื้อแต่งตัวและทรงผมไว้ยาวหยักศกดูเปลี่ยนไปมาก ทำให้อินทิราจำไม่ได้
“พี่อิน...นี่แนนเองค่ะ Fcเบอร์หนึ่งของพี่อิน”
“แนน...ใครเป็นอะไร”
“พี่อินเป็นหมอนี่นา พี่อินช่วยฟางด้วยค่ะ ฟางถูกรถเฉี่ยว”
“ฟาง”
ซื่อนั้นทำให้อินทิราถึงกับชะงักครางเบาในลำคอ แล้วรีบเข้าไปนั่งคุกเข่าลงใกล้ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ เอื้อมมือแทบระงับความสั่นด้วยความตื่น เต้นดีใจไม่อยู่ วางมือแตะแขนร่างนั้นเบาแล้วค่อย ๆ พลิกร่างนั้นให้หันมาหา
“ฟาง”
เห็นเป็นปาลิดาจริง ๆ พึมพำเสียงเครือด้วยความรู้สึกดีใจเต็มตื้นอยู่ในอก ประคองร่างนั้นขึ้นมากอดแนบอก
“ฟางจริงๆ ” ภาพอินทิรากอดร่างปาลิดาไว้น้ำตาร่วงพรูลงมา ทำให้ณิชมนมองดูด้วยแววตาตกใจปนแปลกใจ
เช่นเดียวกับบุษกรที่มองภาพนั้นด้วยอาการนิ่งตะลึง จ้องมองด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ความสุขสดใสเมื่อครู่เลือนหายไปสิ้น เข้ามาแทนที่ด้วยความเจ็บปวด ไม่ต้องให้ใครมาบอกสามารถเดาได้ไม่ยาก ว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนของอินทิรามีความสำคัญมากเพียงใด ถึงกับทำให้อินทิรากอดแล้วร้องไห้ได้ มีตุลยาเพียงคนเดียวรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
“พี่ไปตามหาฟางที่อเมริกา แต่หาไม่เจอในที่สุดฟางก็กลับมา”
อินทิรากอดร่างปาลิดาร้องไห้ ท่ามกลางสีหน้างุนงงไม่เข้าใจของณิชมน ตุลยาได้สติก่อนใครโทรเรียกรถพยาบาลให้มารับคนเจ็บ แล้วเข้าไปหาอินทิรา
“อิน...อินใจเย็นๆ ก่อน ดูน้องเขาก่อนว่าบาดเจ็บมากหรือเปล่า”
ตุลยาช่วยตรวจดูอาการบาดเจ็บของปาลิดา เท่าที่เห็นมีเลือดซึมออกตรงบริเวณข้างขมับขวา มีแผลอยู่เหนือขมับขึ้นไปเป็นแผลไม่ใหญ่นัก
“ฟางตัวร้อนนะตุล” อินทิรารับรู้ได้ว่าร่างที่ตัวเองประคองกอดอยู่นั้น ผิวกายร้อนผ่าวผิดปกติ
“ฟางเขาเป็นไข้ค่ะพี่อิน” ณิชมนรีบบอก
ผ่านไปเพียงครู่เดียว รถพยาบาลมาถึงรีบนำร่างคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ทันที โดยมีอินทิราขึ้นไปกับรถด้วย ปล่อยให้เพื่อนกับณิชมนกลับกันเอง ตลอดทางที่ไปโรงพยาบาล อินทิรานั่งอยู่ข้างคนเจ็บจับมือไว้ตลอดเวลา แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ทั้งตกใจและดีใจที่พบปาลิดาอีกครั้ง โดยไม่คาดคิดว่าจะเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้
ตุลยา บุษกรและณิชมนตามมาสมทบที่โรงพยาบาล เฝ้ารออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ในห้องฉุกเฉินอินทิรากำลังตรวจดูอาการของปาลิดาอยู่ แม้จะลงเวรแล้วแต่ขอแพทย์เวรทำหน้าที่เอง ณิชมนกับตุลยารออยู่อย่างกระวนกระวายเป็นห่วง ส่วนบุษกรกลับนั่งนิ่งเงียบอยู่ที่โซฟา ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้คนไข้กับญาติที่มาทำการรักษาได้นั่งรอ ด้วยเป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ คนที่มารับการบริการมีทั้งคนไทยและต่างชาติ สภาพทุกอย่างจึงดูดีหรูหราราวกับโรงแรมหรู ไม่อึกทึกวุ่นวาย สะอาดสะอ้านและสะดวกสบาย
“ทำไมน้องฟางถูกรถชนล่ะแนน”
ตุลยาหันไปถามณิชมนที่รออยู่ด้วยกัน ณิชมนดูกระวนกระวายเป็นห่วงเพื่อนมาก แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ไม่ถึงกับชนหรอกค่ะพี่ตุล แค่เฉี่ยวเท่านั้น รถมอเตอร์ไซค์จะชนเด็ก ฟางเขาเห็นและอยู่ใกล้เลยวิ่งไปผลักเด็กออก ตัวเองเลยถูกเฉี่ยวแทน ฟางเขาเป็นไข้ไม่ค่อยสบาย คงเพราะพึ่งมาจากเมืองหนาว มาเจออากาศร้อนจัดของกรุงเทพฯ เขาเลยเป็นไข้ตัวถึงร้อน”
ขณะที่ตุลยากับณิชมนคุยกัน บุษกรกลับนั่งนิ่งเงียบสีหน้าขรึมเครียด แววตาเต็มไปด้วยอาการครุ่นคิด ภาพอินทิรากอดร่างปาลิดาแนบอกแล้วร้องไห้ ทำให้บุษกรเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก ที่ผ่านมาเฝ้าชอบอินทิรา มาตลอด รอคอยอย่างมีความหวังว่าสักวันอินทิราอาจใจอ่อน แม้จะพอรู้ว่าเพื่อนมีใครบางคนแอบซุกซ่อนอยู่ในใจ แต่ตราบใดที่ยังไม่ปรากฏตัวทำให้บุษกรยังแอบหวัง แต่ภาพที่เห็นวันนี้มันดับความหวังจนหมดสิ้น
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเห็นอินทิราเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน เข้ามาหาเพื่อนกับณิชมนที่นั่งรออยู่ พอเห็นอินทิราออกมาณิชมนรีบลุกขึ้นยืนทันที
“พี่อิน...ฟางเป็นยังไงบ้างคะ” ณิชมนร้องถามเสียงร้อนใจ
“ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย ที่เขาหมดสติเพราะไข้ขึ้นสูง ตัวร้อนจัดร่างกายอ่อนเพลีย เดี๋ยวจะย้ายฟางไปห้องพักคนไข้” ณิชมนระบายลมหายใจโล่ง อกออกมา แววตาคลายความกังวลลง แต่ที่ทำให้รู้สึกโล่งใจมากเพราะหมอที่ดูแล
ปาลิดาคืออินทิรา
“ตุล...แกไปส่งบุษนะ คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่รอดูอาการฟาง” อินทิราหันไปบอกเพื่อนที่พยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปหาบุษกร เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเพื่อน แล้วได้แต่เห็นใจ
“กลับกันเถ่อะบุษ เดี๋ยวฉันไปส่ง” บุษกรขยับลุกขึ้นยืนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แล้วเดินไปกับตุลยาเงียบๆ ฝ่ายเพื่อนเข้าใจความรู้สึกของบุษกรดีจึงไม่กวนหรือตอแย ได้แต่คอยปรายตามองด้วยความเห็นใจห่วงใย
ปาลิดาถูกย้ายออกจากห้องฉุกเฉินไปห้องพักคนไข้ ณิชมนยังไม่กลับตามไปดูเพื่อนด้วยความเป็นห่วง เห็นอินทิรายืนอยู่ข้างเตียงมองหน้าคนป่วยนิ่งนาน สีหน้าขรึมเศร้ายากที่จะเดาความคิดของเจ้าตัวออก ท่า ทางนิ่งขรึมแบบนั้นทำให้ณิชมนลังเลไม่กล้ากวนใจ หลายปีที่ไม่เจอกันเลยหน้าตาอินทิราดูไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ แต่ความเป็นแพทย์ทำให้บุคลิกดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและน่ายำเกรง
“พี่อินคะ” เสียงเรียกไม่ค่อยมั่นใจนัก ณิชมนได้ยินเสียงถอนใจเบาก่อนร่างนั้นจะหันมาหา
“พี่อินกับฟางเอ้อ...” ณิชมนอึกอักไม่รู้จะตั้งคำถามยังไงดี ไม่เคยรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง
“พี่อินชอบฟางหรือคะ” ถามเสียงเบาเกรงใจ อินทิรามองสบตาคนถามนิ่ง
“ขอโทษนะคะพี่อิน ที่แนนขอถามเพราะแนนไม่เคยรู้เลย”
“พี่ชอบฟาง ตอนเขายังไม่ไปอเมริกาเราเคยคบกัน แต่ตอนนี้พี่ไม่แน่ใจ ว่าเขายังเหมือนเดิมหรือเปล่า เจ็ดปีกว่าที่เขาไปอยู่อเมริกา เขาไม่เคยติดต่อกลับมาหาพี่เลย ทั้งที่ก่อนไปเราสัญญากันแล้วว่าจะติดต่อกัน พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมเขาหายเงียบไปเลย” บอกเสียงขรึมเศร้าแล้วหันกลับไปทางคนป่วย
“ฟางเคยเล่าให้แนนฟัง วันที่เขาไปถึงอเมริกา กระเป๋าใบเล็กของเขาหาย ไป ในนั้นมีโทรศัพท์กับที่อยู่พร้อมเบอร์เพื่อนทุกคน ทำให้เขาติดต่อเพื่อนที่เมือง ไทยไม่ได้เลย กับแนนผ่านไปเป็นเดือนเราถึงได้ติดต่อกัน ช่วงแรกเขาต้องวุ่นวายกับเรื่องที่เรียนเรื่องที่อยู่ กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยเข้าที่ใช้เวลาพอสมควร ในเจ็ดปีกว่าที่เขาไปอยู่ที่โน่น เขาเคยกลับมาเมืองไทยบ้าง แต่เขาไม่เคยบอกแนนเรื่องเขากับพี่อินเลย แอบคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ปิดเงียบเลยนะพี่อิน”
“เขามีแฟนหรือยัง” เสียงของคนถามค่อนข้างเบา ทำให้ณิชมนยิ้มออกมาได้
“พี่อินรู้มั้ย ฟางเขาถามแนนเหมือนกัน ว่าพี่อินมีแฟนหรือยัง แต่แนน
ตอบไม่ได้ เพราะแนนไม่รู้ข่าวพี่อินเลย ฟางเขายังไม่มีใครหรอกค่ะทั้งที่มีคนมาชอบเขาเยอะ ทั้งคนไทยคนต่างชาติ” แววตาของคนฟังแจ่มใสขึ้นมาเล็กน้อย กับคำตอบของณิชมน
“เขาอาจจะรอใครที่เมืองไทยก็ได้ ถ้าแนนรู้ว่าพี่อินกับฟางชอบกัน คงช่วยประสานให้ได้พูดคุยกันแล้ว ทำไมพี่อินไม่ไปหาแนนล่ะคะ ถ้าอยากติดต่อกับฟาง ถามพี่เนตรก็ได้พี่อินมีเบอร์พี่เนตรนี่นา”
“ไม่รู้สิ อาจเป็นเพราะตอนเราคบกันไม่มีใครรู้ พี่เลยไม่รู้จะบอกยังไง พี่เอาแต่เสียใจว่าเขาคงลืมพี่แล้ว”
“ตอนนี้ฟางกลับมาแล้ว ปรับความเข้าใจกันเสียนะคะพี่อิน”
อินทิรามองหน้าคนป่วยนิ่ง แววตาเหมือนจะโล่งใจขึ้นเมื่อรู้ว่าปาลิดายังไม่มีใคร แต่แยกจากกันไปนานถึงเจ็ดปีกว่า ทำให้ไม่มั่นใจในความรู้สึกของอีกฝ่าย ยังมีความกังวลอยู่ลึก ๆ ว่าปาลิดาอาจจะไม่เหมือนเดิม
“พี่ไม่รู้ว่าฟางเขายังเหมือนเดิมหรือเปล่า ตั้งเจ็ดปีกว่าเชียวนะแนนที่เราไม่ได้ติดต่อกันเลย ใจเขาเป็นยังไงพี่ไม่กล้าเดา และไม่กล้าหวังด้วยว่าเขาจะเหมือนเดิม”
“เอาเถ่อะค่ะ ให้ฟางฟื้นก่อนค่อยคุยปรับความเข้าใจกัน มีพยาบาลเฝ้าไข้มั้ยพี่อิน มันดึกแล้วแนนต้องกลับบ้าน”
“พี่จะเฝ้าฟางเอง แนนกลับบ้านได้เลย ทางบ้านเขารู้เรื่องหรือยังว่าฟางประสบอุบัติเหตุ”
“ตอนฟางอยู่ในห้องฉุกเฉิน อาฝ้ายแม่ของฟางโทรมา ท่านรอต่อไฟลท์ อยู่ที่ญี่ปุ่นพรุ่งนี้คงมาดูฟางได้ ถ้างั้นแนนขอตัวกลับก่อน พรุ่งนี้จะมาดูฟางใหม่ ฝากฟางด้วยนะคะพี่อิน” อินทิราพยักหน้า
หลังจากณิชมนออกจากห้องไปแล้ว อินทิราขยับไปยืนชิดเตียงคนป่วย เฝ้ามองใบหน้าที่หลับสนิทนั้น หน้าตาปาลิดาดูไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ เพียง แต่ดูโตเป็นสาวเต็มตัว จากเด็กสาววัยรุ่นสดใสสวยน่ารักกลายเป็นหญิงสาว ที่มีความสวยดูดีเพิ่มขึ้นตามวัย ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อยด้วยพิษไข้ จังหวะการหายใจกลับมาสม่ำเสมอ อินทิราเอื้อมมือไปจะแตะใบหน้านั้นด้วยความรักและคิดถึง แต่ต้องหักห้ามใจตัวเองดึงมือกลับพร้อมเสียงถอนใจยาว
นายแพทย์อารักษ์เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ ภายในห้องนอนอยู่ในชุดนอนผ้าไหม เสื้อแขนยาวกางเกงสีน้ำเงินเข้มทั้งชุด เห็นภรรยานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่เบ็นซ์ปลายเตียง จากบทสนทนาทำให้รู้ว่าปลายสายเป็นลูกสาว จึงเดินไปนั่งลงบนเตียงด้านที่ตัวเองนอน เป็นเตียงใหญ่ขนาดคิงไซส์เหมาะกับห้องนอนที่มีขนาดใหญ่ตกแต่งเรียบหรูสีเอิร์ธโทนให้ความรู้สึกอบอุ่น เรียบง่าย สบายตา การตกแต่งไม่เยอะมากจนดูรก มีเฟอร์นิเจอร์เท่าที่จำเป็นแต่เน้นของดีเรียบแต่หรู
“มีอะไรหรืออุ้ม ลูกโทรมาทำไมเขากลับบ้านหรือยัง” นายแพทย์อารักษ์ เอ่ยถามเมื่อเห็นภรรยาวางสาย
“ลูกโทรมาบอก ว่าคืนนี้เขาจะนอนที่โรงพยาบาล”
“ทำไมล่ะ” อโรชาอยู่ในชุดนอนแบบเดียวกันแต่สีฟ้าอ่อน ลุกเดินมานั่งริมเตียงวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะตั้งโคมไฟข้างเตียง
“เขาขออยู่เฝ้าเพื่อนที่ประสบอุบัติเหตุ” นายแพทย์อารักษ์พยักหน้ารับรู้ แล้วขยับเอนตัวจะลงนอนแต่ภรรยาเรียกไว้ก่อน
“พี่โอมคะ” ด้วยน้ำเสียงจริงจังจนรู้สึกได้ของภรรยา ทำให้นายแพทย์อารักษ์หันไปหา พบว่าภรรยามองอยู่แล้วด้วยแววตาท่าทางเป็นกังวลครุ่นคิด ท่า
ทางแบบนั้นทำให้นายแพทย์อารักษ์รับรู้ว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ จึงขยับนั่งก่อน
“มีเรื่องอะไรหรืออุ้ม”
“พี่โอมจะว่ายังไง ถ้าอินจะชอบเพศเดียวกัน” นายแพทย์อารักษ์ นิ่งไป เหมือนกำลังใช้ความคิด มากกว่าจะตกใจกับเรื่องที่ภรรยาถาม
“เขาใจอ่อน กับหมอบุษแล้วหรือไง” ถามเจือยิ้มอ่อน เพราะพอรู้ว่าบุษกรชอบอินทิรา
“ไม่ใช่บุษหรอกค่ะ เป็นรุ่นน้องตอนเรียนม.ปลาย คนที่ทำให้ลูกเราเงียบเหงาไปพักใหญ่ ช่วงจบม.6จะเข้าเรียนแพทย์ เขาไปอยู่อเมริกาตอนนี้กลับมาแล้ว ประสบอุบัติเหตุอินเลยอยู่ดูแล ลูกคงชอบเขาจริงๆ ผ่านมาเจ็ดปีกว่าเขายังรอน้องคนนั้นกลับมา พี่โอมจะว่ายังไงเรื่องนี้”
“พี่รับได้กับเรื่องนี้ โลกทุกวันนี้มีความหลากหลายทางเพศ ลูกค้าที่มาผ่าตัดแปลงเพศกับโรงพยาบาลเรา แต่ละปีมีไม่น้อย ทั้งทรานส์แมน ทรานส์วูแมน พี่เลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา มันไม่จำเป็นที่หญิงต้องคู่กับชายเท่านั้น แค่เจอคนที่ใช่สำหรับเรา ไม่มีกฎเกณฑ์เรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง
รักก็คือรักแค่นั้นเอง” สีหน้าอโรชาคลายความกังวลลง คำตอบของสามีทำให้เธอเบาใจว่าลูกจะไม่มีปัญหากับพ่อเรื่องความรักในครั้งนี้
“ว่าแต่เขาชอบรุ่นน้องคนนั้นจริง ๆ หรือ”
“น่าจะอย่างนั้นล่ะค่ะ ตอนแรกเห็นลูกเศร้าเสียใจมาก อุ้มคิดว่าเขายังเด็กตอนนั้นอายุแค่สิบเจ็ดเท่านั้น ให้วันเวลาผ่านไปทุกอย่างคงดีขึ้น แต่เขาไม่เคยลืมรุ่นน้องคนนั้นเลย ยังรออยู่ไม่สนใจใครอีก อุ้มไม่เคยเห็นลูกชอบใคร ไม่เคยมีแฟนไม่เคยมีคนพิเศษ ทั้งที่มีคนมาชอบเขาเยอะ จนมาเจอรุ่นน้องคนนี้ เขาโทรมาน้ำเสียงทั้งดีใจและเป็นกังวล กลัวรุ่นน้องคนนั้นจะไม่เหมือนเดิม ถ้าพี่โอมรับเรื่องนี้ของลูกได้ อุ้มก็สบายใจ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกว่าพี่จะมีปัญหากับลูก ขอแค่เขามีความสุขกับชีวิตที่เขาเลือก คนเป็นพ่อแม่อย่างเราก็พอใจแล้ว ถ้านั่นคือความสุขของเขาไม่ทำให้ใครเดือดร้อน พี่ไม่แคร์หรอกว่าใครจะคิดยังไง ชีวิตเป็นของเขาให้เขาเลือกเอง พ่ออย่างพี่จะคอยซัปพอร์ตเขาเต็มที่”