ไร้ปัญญา

1938 Words
มดตะนอยสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อวินาทีม่านตาเปิดมองเห็นคือเพดานเป็นอันดับแรก ห้องนอนใหม่.. ฟึ่บ! เธอดีดตัวลุกขึ้นมานั่งทันที พลางลูบคลำหน้าตัวเอง ราวกับสำรวจบางอย่างเผื่อมันจะสึกหลอ “นี่เรา..หลับไปนานแค่ไหน” เธอพึมพำ ขณะกวาดตามองไปทั่ว ที่นี่ไม่ใช่ห้องที่เธออยู่ก่อนหน้านี้จริงๆด้วย แล้วมันคือที่ไหนกัน ร่างบางนึกสงสัย สมองที่เหนื่อยล้าเริ่มทำงานขึ้นมาด้วย มันประมวลผลไปยังอดีตที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน “คนนั้น..” เสียงของเธอขาดหาย เนื่องจากความแปลกใจสุดขีด คิดไม่ถึงจะเป็นเขาที่ทำเช่นนั้น ฉีดยาเพื่อให้เธอสลบ กว่าจะก้าวขาลงจากเตียง รู้ว่าพื้นเย็นเฉียบได้ก็ตอนเท้าเหยียบสัมผัสมัน แล้วเหลือบไปเห็นรองเท้าสลิปเปอร์ซึ่งเตรียมไว้ให้เธอ ทว่าเธอกลับไม่สวมใส่ ยอมเดินเท้าเปล่าตรงไปยังห้องน้ำ และนั่นเป็นประเด็นทำให้เธอชะงัก หลังยืนอยู่หน้าบานกระจก ร่างบางกวาดมองตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางเบิกตาโพลง ก่อนจะเลิกชายกระโปรงขึ้นมาเพื่อหารอยตำหนิของด้ายที่เคยหลุด เมื่อพบเจอความงุนงงบวกกับความอ่อนแอเลยครอบงำทันที จากนั้นปลายจมูกโด่งรั้นจึงจะแดงเถือกเป็นจ้ำ ใช่ เธอกำลังจะร้องไห้ เมื่อชุดที่สวมใส่อยู่ตอนนี้ เป็นชุดนอนตัวโปรดของเธอ และของใช้ที่อยู่ในห้องน้ำก็เป็นของๆเธอ ซึ่งความเป็นจริงมันควรจะอยู่ที่บ้านสิ ใครกันไปเอามา.. แล้วถ้าเป็นเขา ผู้ชายแปลกทั้งหน้าและสัญชาติคนนั้น จะทำไปทำไมกัน? ความสับสนทำเธอยืนเหม่อลอยอยู่หน้ากระจกเป็นเวลานานสองนาน กว่าจะได้สติก็ตอนประตูถูกเคาะ “คุณคะ เสื้อผ้าของคุณวางอยู่ข้างนอกนะคะ ถ้าเสร็จเรียบร้อย รบกวนออกมานอกห้องด้วยค่ะ” มดตะนอยไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร อาจเป็นแม่บ้านคนใหม่เหมือนสถานที่ใหม่ แต่นั่นสามารถเรียกสติที่หลุดเข้าภวังค์ของเธอคืนกลับมาได้ เธอหยุดคิดเรื่องต่างๆ ชั่วคราว เปลื้องผ้าตัวเองออกแล้วหมุนตัวเดินลงอ่างไป กินเวลาเกือบชั่วโมงกว่าเธอจะเสร็จ สาวเจ้าสวมใส่ชุดของตัวเองที่ใครคนหนึ่งนำมาวางให้ ซึ่งเธอเองก็ยังไม่เห็นหน้า แม้สีหน้าของเธอตอนนี้จะซีดเผือด บ่งบอกถึงการป่วย แต่เธอก็เลือกที่จะมัดรวบผม มากกว่าปล่อยกระเซอะกระเซิงให้แลดูแย่มากไปกว่าเดิม “ทางนี้ค่ะคุณ” จากนั้นจึงจะถูกนำทางและได้เห็นตัวจริงสักที หลังบานประตูเปิด เป็นหญิงสาวที่อาจจะแก่กว่าเธอสักหกปี และอาจจะเป็นคนเดียวกันกับที่เคาะห้องของเธอก่อนหน้านี้ “จะให้ฉันไปที่ไหนคะ” หล่อนไม่ตอบ แต่เลือกที่จะเดินนำไปเรื่อยๆแทน จนกระทั่งถึงที่หมาย “เข้าไปได้เลยค่ะ นายรออยู่ข้างใน” “นาย?” และนั่นทำให้เธองงอีกครั้ง “ใช่ค่ะ นายน้อยสั่งให้ดิฉันนำทางคุณมา ตอนนี้หมดหน้าที่ดิฉันแล้ว ขอตัวนะคะ” หล่อนบอก ไม่เปิดโอกาสให้เธอสวน ก็หมุนตัวเดินจากไปเสียก่อน “นายน้อยงั้นเหรอ..” ถ้างั้นนายใหญ่จะเป็นใคร มดตะนอยครุ่นคิดอยู่หน้าประตูสักพัก ก่อนจะผลักเข้าไปทั้งที่ใจไม่พร้อม เพื่อไปเจอบรรยากาศอึมครึมต่อ ที่มีเจ้าของห้องอยู่ในท่านั่งกุมขมับ บนโต๊ะมีแฟ้มเอกสารกองเต็มไปหมด แต่นั่นคงไม่ทำให้เธอชะงักเท่ากับแบล็คกราวด์ข้างหลังเขา ชั้นหนังสือที่ถูกสร้างติดกับผนังห้องจำนวนสี่ชั้นเต็มไปด้วยหนังสือซึ่งถูกจัดเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ น่ามอง และที่น่าทึ่งไปมากกว่านั้น คือชื่อหนังสือบนสันปกเป็นเรื่องเดียวกันกับที่เธอเคยอ่านจบไปแล้วเกินครึ่ง นี่มัน..บังเอิญเกินไปหรือเปล่า?? “หาที่นั่งซะ” เสียงทุ้มทำหญิงสาวละสายตา คนตรงหน้ายังคงกุมขมับมองเอกสารทั้งที่ออกคำสั่ง ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมสูงสุดและนั่นทำให้เธอเริ่มประหม่า เธอก้าวถอยหลัง เตรียมจะทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา แต่แล้ว.. “ยกเว้นโซฟานั้น” อ่าว? เสียงห้ามกลับทำให้เธอนิ่งเฉย สาวเจ้าค้างอยู่ในท่าย่อ มองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเดินเบี่ยงไปทางอื่น และชี้นิ้วไปยังเก้าอี้เหล็กเบาะหุ้มหนังข้างๆแทน “ถ้าอย่างนั้น ตรงนี้...” “อืม” เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้สาวเจ้าคิด หลังเขาพยักหน้าและตอบรับมันทันควัน เขาคงรังเกียจเธอ แต่เพราะเป็นคนคิดลบแล้วสามารถสลัดทิ้งได้เลยในทันที หากคนผู้นั้นไม่ได้มีอิทธิพลกับใจ จึงไม่มีผลกับความรู้สึกของเธอสักเท่าไหร่ สำหรับความรู้สึกโดยรวมของเธอที่มีต่อคนตรงหน้า ตอนนี้คงไม่ถึงกับเกลียดชังนักหรอก ทั้งอันที่จริงการกระทำของเขาทำให้เธอต้องมองร้ายพอควร นั่นเป็นเพราะเขาไม่ยอมชัดเจนสักทีเกี่ยวกับเรื่องช่วยเหลือซึ่งไม่ต่างกับการลักพาตัวสักที อาจเป็นเพราะนิสัยความเย็นชานี้ของเขาหรือไม่สันดานที่แอบอยู่ในส่วนลึกของก้นบึ่งกระมัง ที่สั่งให้เธอนั้นชิน เป็นเรื่องธรรมดา คนไม่มีผลประโยชน์ให้มักถูกปฏิบัติเช่นนี้ และเธอก็คือคนคนนั้น “จะมองหน้ากันอีกนานไหม” เสียงถามทำให้เธอสะดุ้ง เบือนหน้าไปทางอื่น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาเหลือบตาขึ้นมาพอดี ก่อนจะวางปากกาในมือลง ผสานนิ้วสากเข้ากันเพื่อคุยกับเธอ “คุณมีอะไรจะคุยเหรอคะ” “มีสิ ต้องมีอยู่แล้วถึงได้เรียกมา” มดตะนอยพยักหน้า หันกลับมาตั้งใจฟัง แต่แล้วสิ่งที่ได้คืนมาคือความเย็นชาจากแววตาทั้งคู่ ขณะจ้องเขม็งมองเธออยู่ ซึ่งนั้นทำให้เธอประหม่าไม่น้อย “พ่อของเธอ ติดหนี้ฉัน ทั้งหนี้บุญคุณ หนี้ทรัพย์สิน” เผลอกลืนก้อนน้ำลายลงคอกะทันหัน เกือบจะไอออกมา โชคดีที่สามารถควบคุมทัน แต่นั่นก็ทำคอเจ็บไม่น้อย “ละ แล้วคุณมาบอกฉันทำไม” “เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา และเขาตายไปแล้ว” “หมายความว่าไงคะ จะให้หนูชดใช้แทนเขานะหรือ” เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง เพื่อมองหน้าเธออย่างพินิจพิจารณา “อันที่จริงมันต้องอย่างนั้น แต่คนอย่างเธอ..หนี้เป็นหมื่นล้านคงไม่มีปัญญาหามาได้หรอก” “หมื่นล้าน?!” หญิงสาวเผลอส่งเสียง ขึงตาขึ้นพร้อมกับร่างบางมานั่งตรง มองเขาด้วยความตกใจ “มีเศษอีกนิดหน่อย” “ฉะ ฉัน.. แล้วฉันจะเชื่อคุณได้ยังไง” หญิงสาวปากคอเริ่มสั่น ละสายตาจากเขาก้มลงมามองตักตัวเอง เธอเผลอถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วสัญชาตญาณของเธอที่มีต่อผู้เป็นพ่อย้อนแย้งทุกอย่าง บางคราพ่อของเธออาจเป็นอย่างที่เขาว่าก็ได้ เพราะเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพ่อของเธอเลย เรื่องงานในบริษัทเขาบริหารคนเดียวทั้งหมด และบ่อยครั้งที่เขากลับดึก ไม่ก็มีคนแปลกหน้ามาขอพบเขาก็มี เพราะมัวแต่คิด การจ้องหน้าจึงเหมือนเป็นการหาเรื่อง เขาเลิกคิ้วสูงจ้องเขม็งคืนอย่างไม่คิดจะลดละ “สายตาเหมือนมีปัญหา มีอะไรจะถามไหม” อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เธอเพิ่งจะรู้ และรู้สึกถึงความคุกรุ่นมุ่งเข้ามา คือเขาเป็นคนกวนประสาทได้ใจ และคนที่กวนประสาทหน้านิ่งเช่นนี้ คงยากหากคิดจะเอาชนะ “มีค่ะ” “ว่ามา” “หนูไปทำอะไรให้คุณเหรอคะ คุณถึงได้เกลียดหนูมากขนาดนี้” นี่เป็นคำถามแรกที่สามารถทำใจเขากระตุกได้ แต่ยังคงเก็บอาการนิ่งเฉยอยู่ สงครามอึ้งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะแค่นหัวเราะ แล้วลุกเดินมาหา มายืนค้ำหัวเธอ “ฉันเป็นคนนึงที่ถ้าเกลียดใครแล้ว แม้แต่อากาศจะไม่ใช้ร่วมกันหรอกนะ เธอน่ะเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า” “แต่การกระทำของคุณ...” “อย่านอกเรื่อง คำถามของเธอไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ฉันพูดสักนิด” “หนู..” หญิงสาวเริ่มเสียงสั่น ประโยคบอกเล่าของเขาเกี่ยวกับพ่อของเธอทำให้หูอื้อความชัดเจนเกี่ยวกับการได้ยินบกพร่อง พร้อมกับดวงตาแดงก่ำมีน้ำคลอใกล้ล้นเอ่อ คนตรงหน้าใจร้ายมาก มากเกินกว่าเธอจะสู้ได้ อย่างเขาแค่ตะเบ็งเสียงก็เหมือนยื่นมือมาบีบคอ ไม่ก็ปลายคางจนเจ็บช้ำ คนที่เอาตัวรอดเก่งและฉลาดอย่างมดตะนอยจึงทำได้แค่ เบ้ปากอยากจะร้องไห้เงียบๆ “ถ้าจะถามอะไรทำนองนี้ ฉันแนะนำให้เธอเป็นผู้ฟังที่ดีจะดีกว่า จะได้ไม่เสี่ยงทำให้ฉันหัวร้อนด้วย เธอเคยถามฉันใช่ไหม ใครเป็นคนทำร้ายพ่อเธอ” การพยักหน้า เหมือนเป็นตัวการทำให้น้ำตาซึม ความสะเทือนตอนขยับศีรษะผลักให้น้ำตาที่เอ่อล้นเบ้าอยู่ก่อนแล้วกระเด็นลงมาบนมือเธอ เพียงหยดเดียวที่ร้อนฉ่าถึงกับทำเธอสะดุ้ง ดึงมือเข้ามาผสานบีบกันแน่น ไม่ให้เขานั้นเห็น ทว่าเธอคงไม่รู้ว่ามันสายไปแล้ว ชายหนุ่มเม้มปากแน่นราวกับหยดน้ำตาที่เห็นนั้นไปสั่นคลอนระบบอ่อนไหว แต่ไม่นานก็หายไป เมื่อเขาดึงสติของตัวเองเอาความเย็นชากลับคืนมา “ฮึก..ใครคะ?” “มันเป็นคนเดียวกันกับคนที่ตัดสายเบรกรถของเธอนั่นแหละ” ไม่พูดเปล่าเขายังโน้มตัวลงมาด้วย ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ถึงขนาดเห็นปลายจมูกสันโด่ง สาวเจ้าที่กำลังก้มหน้าหลุบตามองพื้นเผลอเหลือบขึ้นมาพอดิบพอดี และนั่นทำให้เขาทั้งคู่สบตากัน คนตรงหน้าเป็นบุคคลหนึ่งที่เธอเดาใจไม่ออกเลยสักนิด และห่างกับคำว่าเข้าถึงโดยสิ้นเชิง เขาเป็นใครกันแน่ นี่เป็นสิ่งที่เธออยากรู้มาโดยตลอด “ถ้าไม่อยากตายอยู่ข้างถนน ก็จงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ให้มีความสุข เพราะฉันมั่นใจว่าทันทีที่มันเห็นเธอ มันจะไม่ทำพลาดเป็นครั้งที่สอง” “นานแค่ไหนกันคะ” ไม่รู้ผีห่าซาตานตัวไหนเข้าสิง ที่ทำให้เธอใจกล้าบ้าบิ่นถามประโยคนั้นออกไปแบบนี้ หากแต่ต้องขอบคุณ เพราะเป็นคำถามที่ได้คำตอบมาดีพอควร ถึงรายละเอียดจะน้อยก็เถอะ อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้มีความคิดที่จะทำอย่างนั้นไปตลอด “จนกว่าฉันจะหาคนร้ายเจอ และใช้หนี้แทนพ่อของเธอทั้งหมด” “อะไรนะ..” สงครามแสะยิ้มร้ายให้กับประโยคคำถามอีกข้อ ก่อนจะผละตัวออกไปยืนตระห่านอย่างเดิม ก็หลังจากตอบคำถามที่ทำให้ร่างบางห่อไหล่อย่างไม่รู้ตัว “ฉันรู้..เธอไม่มีปัญญา ฉันเลยสร้างเงื่อนไขขึ้นมาให้เธอ เป็นข้อตกลงระหว่างอยู่ที่นี่ที่ดีเชียวล่ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD