เสียงระฆังวัดดังแว่วมาแต่ไกล เมธาวีนั่งอยู่ในร้านขายของชำกลางหมู่บ้าน
เธอเดินออกมาหลังจากแม่ใช้ให้มาซื้อของใช้เล็กน้อย แต่ในใจกลับมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง — เธออยากรู้เรื่อง “เรือนเก่า”
หญิงชราหลังร้านชื่อ “ยายทองใบ” เป็นคนพูดเก่งและรู้เรื่องเก่าของหมู่บ้านแทบทุกอย่าง
พอได้ยินว่าเมธาวีอยู่บ้านไม้หลังกลางทุ่งนั้น ดวงตายายก็เบิกกว้างขึ้นทันที
“เอ็งว่าไงนะหนู…อยู่บ้านโน้นเหรอ บ้านเรือนอายา!”
“ค่ะ ยายรู้จักเหรอคะ?”
ยายทองใบวางของในมือลง ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ แล้วพูดเสียงเบา
“สมัยก่อน บ้านนั้นอยู่กันสามคน พ่อแม่กับลูกสาว…ชื่ออายา”
เมธาวีกลืนน้ำลาย เสียงหัวใจเต้นตุบ ๆ ไม่เป็นจังหวะ
“อายาเป็นเด็กเรียบร้อย ชอบเล่นตุ๊กตา มีเพื่อนเล่นแถวหมู่บ้านบ้าง แต่คืนหนึ่งไฟไหม้ใหญ่ คนวิ่งมาดับก็ไม่ทัน บ้านวอดทั้งหลัง”
“แล้ว…ทุกคนปลอดภัยไหมคะ?” เมธาวีถามเสียงสั่น
ยายทองใบส่ายหัวช้า ๆ
“พ่อแม่รอด เพราะออกไปธุระในเมืองตอนเย็น แต่เด็กคนนั้นอยู่บ้านคนเดียว…”
“อายา?”
“ใช่…ไม่มีใครเจอศพนังหนูนั่นเลย เหลือแต่ตุ๊กตาหมีไหม้ครึ่งตัวกับภาพถ่ายในห้องใต้บันได”
เสียงลมพัดผ่านหน้าร้านจนกระดาษแขวนปลิวกระทบกัน กร็อบ แกร็บ
เมธาวีตัวสั่น ความหนาวเยือกไหลผ่านตั้งแต่ต้นคอถึงปลายนิ้ว
“บางคนว่าวิญญาณเด็กคนนั้นยังไม่ไปไหน เพราะมันไม่รู้ว่าตายแล้ว”
ยายทองใบพูดช้า ๆ “ทุกคืนวันฝนตก จะมีเสียงเด็กเรียกจากในเรือน…เหมือนร้องหาพี่สาวสักคน”
“ร้องหาพี่สาว…” เมธาวีพึมพำเบา ๆ
เธอนึกถึงคำพูดที่ได้ยินทุกคืน
“พี่…อยู่เหรอ…”
ขากลับ เมธาวีถือของแน่น มือเย็นเฉียบ
เมื่อมาถึงบ้าน ฟ้าเริ่มมืดลงอีกครั้ง เธอเห็นตุ๊กตาหมีที่วางไว้บนเตียงตอนเช้า…กลับไปอยู่ “ใต้บันได” ที่เดิม
ไม่มีใครแตะมันได้แน่ เพราะทั้งวันทุกคนอยู่ชั้นล่าง
เธอก้มมองตุ๊กตานั้นอีกครั้ง — เหมือนมันมีคราบดำ ๆ ตรงขาข้างหนึ่ง
กลิ่นไหม้อ่อน ๆ ลอยออกมาอย่างชัดเจน
เสียงฝนเริ่มตกลงมาอีกครั้ง… และในเสียงฝน เมธาวีได้ยินเสียงกระซิบที่คุ้นเคย
“พี่…อย่าปล่อยอายาไว้คนเดียว…”
เธอเงยหน้าขึ้นมองทางบันไดอย่างช้า ๆ
ที่ชั้นบนสุด มีเงาร่างเล็กในชุดขาวยืนอยู่…ก่อนจะค่อย ๆ หายไปกับเงามืดของเรือนเก่า