๒
รุ่งอรุณแสงแดดส่องรำไรใต้ท้องนภา ก้อนเมฆสีขาวราวปุยนุ่นแผ่กระจายอยู่ทั่วผืนนภา พงไพรกว้างใหญ่ไพรศาลสุดลูกหูลูกตา มีเสียงเหล่าสรรพสัตว์ดังแว่วมาถึงคุ้มโขลงกาฬาวกหัตถี เหล่าปักษาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วตั้งแต่ฟ้าสาง โผบินออกจากรังบนกิ่งก้านไม้ใหญ่ ช่อเอื้องที่กำลังนอนเหยียดตัวบนฟูกนอนหนานุ่มยันกายลุกบิดขี้เกียจ พลันเหลือบไปเห็นช้างพังสีนิลตัวน้อยนอนส่งเสียงกรนบนฟูกด้านล่างที่มีขนาดพอดีลำตัว
“ขี้เซาแท้แก้วเกล้า...” ช่อเอื้องผ่อนลมหายใจออกแผ่วเบา เผยรอยยิ้มเอ็นดูช้างพังตนน้อย
นางเลี่ยงออกมาตักน้ำในตุ่มบริเวณหน้าเรือนล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น ก่อนจะเหลือบมองโถน้ำจัณฑ์ที่นางดื่มกินเมื่อเย็นวานวางเรียงราย เบนมองตู้ที่ใช้วางโถน้ำจัณฑ์เหลือเพียงสองโถ ทำเอานางถึงกับอยากกุมขมับตน ก็ตัวนางเล่นดื่มละเลงราวกับน้ำเปล่า ไม่หมดก็ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรแล้ว...
“แก้วเกล้าตื่นได้แล้ววันนี้ข้าจักต้องไปสอนสั่งเหล่านางกำนัลหนา...” เจ้าของเสียงหวานคุกเข่าข้างช้างพังตัวน้อยพร้อมปลุกนางให้ตื่น
เป็นเพราะสาวน้อยไม่คุ้นชินสถานที่ เมื่อคืนเป็นคืนแรกที่แก้วเกล้าออกมานอนนอกเรือนนอนของนางกำนัล จึงพลอยให้กระสับกระส่ายยากข่มตานอน รู้ตัวอีกทีก็เกือบรุ่งสาง เท่ากับว่านางพึ่งจะได้นอนไม่กี่ชั่วยาม
“อืออ...พี่ช่อเอื้อง ข้าขอนอนต่ออีกเดี๋ยวเดียว” แก้วเกล้ายื้อต่อเวลานอน ช่องวงสีนิลดันร่างหญิงสาวให้ถอยห่าง ริมฝีปากกว้างสีชมพูเคี้ยวปากเเจ๊บ ๆ
“ไม่ได้ วันแรกของข้าหากสายไม่แคล้วโดนก่นด่าเป็นแน่ เร็ว ๆ รีบลุกไปล้างหน้าล้างตา ไม่อยากเรียนรำแล้วหรือ” สิ้นประโยคนั้นแก้วเกล้าหูผึ่งพลันจำแลงเป็นเด็กสาววัยสิบขวบ กุลีกุจอวิ่งไปล้างหน้าล้างตาเป็นการใหญ่
ลานบุญฑริกเป็นลานกว้างร่มรื่นย์ฝั่งซ้ายปีกตำหนักของแม่ทูลหัว ได้รับอนุญาตให้เป็นสถานที่ฝึกสอนนางกำนัลที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี นางกำนัลสิบนางอายุรุ่นราวคราวเดียวกับช่อเอื้อง สรีระงดงาม ดวงหน้าหยดย้อย
ช่อเอื้องสังเกตุสรีระนางกำนัลแต่ละคนก่อนจะฝึกจัดระเบียบร่างกายให้มีความอ่อนช้อย นางเข้มงวดและกวดขัน ปราศจากการคุยเล่น ยามที่นางกรุยกรายท่อนแขนวาดบนอากาศราวกับนางฟ้านางสวรรค์ลงมาโปรดมิปาน พัดไม้ฟาดลงบนสะโพกแก้วเกล้าที่แข็งกระด้างเหมือนม้าดีดกระโหลกให้เข้าที่
โป้ก!
“พี่ช่อเอื้องข้าเจ็บนะ!” แก้วเกล้าหน้าบูดบึ้งพึมพำ
“มิมีนางรำคนใดกระดกสะโพกเช่นเจ้าดอกหนา อยากงดงามในสายตาผู้อื่นหรืออยากเป็นตัวตลกกันเล่า” นางลอบยิ้มแต่ก็แฝงความเข้มงวด
“เป็นนางรำมันยากเย็นดีแท้...”
ถึงกระนั้นวันนี้การฝึกสอนวันแรกก็ผ่านไปได้ด้วยดี นางกำนัลเริ่มปรับตัวได้ ยอมเปิดใจรับฟังคำสอนของช่อเอื้องโดยไม่มีใครขัดข้อง จะมีก็แต่เจ้าแก้วเกล้าที่ดูจะเด็กกว่าผู้ใดจึงเอาแต่บ่นทั้งวันว่ายากเย็นแสนเข็ญ คำเล่าลือที่อวดอ้างว่าดวงจิตเอื้องไอยเรศจักมอบนางรำฝีมือฉกาจนั้นไม่เกินจริง ยามนี้พวกนางเห็นท่วงท่าอ่อนช้อยสลับพริ้วไหวประจักษ์สู่สายตา ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าคำเล่าลือนั้นไม่เกินจริง
คชสารหนุ่มหลายผู้ล่วงรู้ถึงการจุติของช่อเอื้อง ก็ทำทีเดินผ่านลานบุญฑริกเหลือบมองเชยชมความงามของหญิงสาว จนไม่เป็นอันทำการทำงาน พลอยให้นางกำนัลที่กำลังฝึกซ้อมร่ายรำออกหน้ามาขับไล่
“ช่อเอื้อง...แม่ทูลหัวเรียกพบ” นางกำนัลคนสนิทของแม่ทูลหัวเอ่ย
“ที่ใด”
“สวนหลังตำหนักน่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก”
สวนหลังตำหนักแม่ทูลหัวมีพรรณไม้นานาชนิด ทั้งไม้ดอกและพืชผล ช่อเอื้องเองก็ชื่นชอบสวนแห่งนี้ไม่น้อยเพราะมันทั้งร่มรื่นย์และถือเป็นสถานที่จุติของนาง ทว่าเมื่อเหยียบย่างเข้ามาภายในสวนหลังตำหนักกลับพบว่านางไม่ได้อยู่ผู้เดียว ข้างกายมีท่านคชคณคอยพูดคุยสนทนาเป็นเพื่อน ทันทีที่ชายหนุ่มเห็นผู้มาเยือนจึงฉีกยิ้มกว้าง ทำให้นางต้องยิ้มรับเล็กน้อยเพื่อไม่เป็นการเสียมารยาท พญาคชสารขยับเบี่ยงกายให้ช่อเอื้องนั่งลงด้านข้างเขา
“ช่อเอื้องฝึกสอนวันแรกเป็นอย่างไรบ้าง ติดขัดตรงไหนหรือเปล่า” แม่ทูลหัวรีบผุดลุกมาประคองหญิงสาว
“ราบรื่นดีเจ้าค่ะ นางกำนัลที่คัดเลือกมาให้ข้าฝึกสอนหน่วยก้านใช้ได้ สอนเล็กน้อยก็จำขึ้นใจเหลือสรีระที่ต้องดัดให้อ่อน” นางเอ่ยตอบตามความจริง
“ดีเลย หากไม่เป็นการรบกวนเจ้าร่ายรำให้แม่ชื่นชมสักหนึ่งบทเพลงได้หรือไม่ แม่ข่มใจแทบไม่ไหว”
“ย่อมได้แม่ทูลหัว”
แม่ทูลหัวผายมือพาดผ่านบังเกิดเครื่องดนตรีบรรเลงเพลงขับขานจังหวะไพเราะ ร่างอรชรจึงเดินไปหยุดอยู่กึ่งกลางสวนสีเขียวขจี ความพริ้วไหวราวกับกระแสสายน้ำเริ่มออกท่วงท่าลีลาร่ายรำ ฝ่ามือเรียวจับจีบดวงตากลมเจิดจรัสเย้ายวนสลับมองผู้ชมทั้งสองที่กำลังนั่งนิ่งเชยชมการร่ายรำ เรียวขาทั้งสองข้างบรรจง ริมฝีปากกระจับส่งยิ้มนวลละออ สะกดใจชายผู้หนึ่งที่จับจ้องมองมาตาเป็นมัน ลมหายใจร้อนผ่าวแทบสะดุด ยามดวงหน้างามสะคราญเคลื่อนไหวตามท่วงทำนอง ฝีไม้ลายมืออ่อนช้อย งดงามตรึงตาตรึงใจหาผู้ใดเทียม
“ไม่เสียแรงที่ท่านแม่บากบั่นเพื่อให้ได้นางมา ลูกไม่เคยเห็นผู้ใดออกลีลาลวดลายได้งดงามแลอ่อนช้อยเทียบเท่านางเลยสักคน” คชคณเอ่ยปากชมยามหญิงสาวร่ายรำเสร็จจึงกลับมานั่งด้านข้างแม่ของเขา
“จะมีผู้ใดมาเทียบนางได้อีกเล่านี่ตัวเต็งเชียวล่ะ สวยหมดจดเพียงนี้ใช่หรือไม่ช่อเอื้อง” แม่ทูลหัวหันมาเอ่ยกับนาง ที่กำลังนั่งสงบเสงี่ยมประนมมือแนบตัก
“......” ช่อเอื้องพยักหน้า อีกใจก็พยายามนั่งหลบด้านหลังแม่ทูลหัว เนื่องด้วยรอยยิ้มและสายตาของเขาผู้นั้นยังไม่ยอมละสายตาจากนางเสียที
“น้ำจัณฑ์ที่แม่มอบให้ลิ้มลองเเล้วเป็นอย่างไร”
“แต่ละโถมีกลิ่นอายส่วนผสมและกรมวิธีการหมักแตกต่างกันทำให้รสชาติ กลิ่น และความนุ่มแตกต่างกันไปเจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าชอบโถใดเป็นพิเศษ...” แม่ทูลหัวมองหญิงสาวด้วยความเอ็นดูแต่แอบแฝงนัยยะ
“ไม่มีโถใดที่ข้าชอบเป็นพิเศษเจ้าค่ะ” ช่อเอื้องตอบ นัยยะที่นางไอยรากมลาจะสื่อนั่นก็คือนางชื่นชอบคชสารจากตระกูลใดในสิบตระกูล ภายภาคหน้าหากมีโอกาสนางจะได้เป็นแม่สื่อเพื่อเชื้อเชิญคชสารหนุ่มเหล่านั้นให้แก่นาง
“เร็วไปสินะ ไม่เป็นไร ข้าอายุปูนนี้แล้วพึ่งจะเคยมีลูกสาวบุญธรรมให้ดูแลเลยตื่นเต้นไปหน่อย เจ้าอย่าถือโทษโกรธข้าเลยหนาช่อเอื้อง หากพึงใจผู้ใดให้รีบเข้ามาบอกแม่”
“นางพึ่งจะจุติเมื่อวาน ท่านแม่ก็จะยกนางให้ผู้อื่นแล้วหรือ” ท่านคชคณเอ่ยถามใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าน้ำเสียงไม่พึงพอใจเสียเท่าใด
“ทำไม จะอยู่คนเดียวให้เปล่าเปลี่ยวทำไมอีกอย่างหากจะตบแต่งข้าให้แต่งเข้าหนา มิใช่แต่งออก หากใครไม่พึงใจนางก็ไม่ต้องแต่งช่างประไร งดงามเพียงนี้ผู้ใดจะปฏิเสธลง” แม่ทูลหัวหันไปเชยชมความงามของช่อเอื้องแบบไร้ที่ติ
“ข้ายังไม่คิดถึงขั้นนั้นดอกแม่ทูลหัว ข้ามีความสุขยามได้ร่ายรำและดื่มน้ำจัณฑ์เป็นเพื่อนแม่ทูลหัวมากกว่า...” ช่อเอื้องรินน้ำจัณฑ์ใส่จอกยื่นให้แม่ทูลหัวและท่านคชคณ ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นจึงลอบยิ้มมุมปากรับจอกน้ำจัณฑ์ขึ้นมาดื่ม
“ช่างเจรจาเอาใจแม่ยิ่งนัก” แม่ทูลหัวรับจอกน้ำจัณฑ์ขึ้นมาดื่มเป็นการด่วน นางระบายรอยยิ้ม อิ่มเอิบกว่าวันไหน ๆ แม้นจะมีสามีแต่ก็ได้อยู่อาศัยร่วมกันระยะสั้น เพราะท่านเอราวัณจำต้องคอยถวายการรับใช้ท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) อย่างใกล้ชิด วันใดว่างจึงจักลงมาหาลูกเมียบางครั้งบางคราว
ทั้งสามดื่มน้ำจัณฑ์สนทนากันอยู่นาน จนกระทั่งแม่ทูลหัวเริ่มมีอาการมึนเมา คชคณจึงสั่งให้นางกำนัลพาผู้เป็นแม่ไปนอนพักผ่อนให้สร่างเสียก่อน หลังส่งแม่ทูลหัวสุดสายตาช่อเอื้องจึงทำทีจะขอตัวลา ทว่าฝ่ามือแกร่งคว้าหมับเข้าที่ท่อนแขนเรียวจนนางเซถลา ล้มทับเจ้าของกายาแกร่งผิวเข้ม ริมฝีปากกระจับเฉียดปากสีเข้มจนได้กลิ่นกายบุรุษเคล้ากลิ่นน้ำเมา
“......”
ดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นจ้องมองดวงตากลม มองลึกเข้าไปสู่ก้นบึ้งแห่งห้วงอารมณ์ ช่อเอื้องพยายามยกยันกายตนออกห่าง ทว่าฝ่ามือแกร่งรั้งท้ายทอยนางให้แนบชิด บดขยี้ปากกระจับของนางอย่างถวิลหา
“!!?!!”
“อื้อ!”
ช่อเอื้องตกใจสุดขีด เหตุใดเขาจึงได้กล้าบุ่มบ่ามล่วงเกินนางเช่นนี้ ดวงหน้างามพยายามเบือนหน้าหนีสัมผัสร้อน แต่กลับถูกฝ่ามือแกร่งล็อกไว้อย่างแน่นหนา ลิ้นร้อนพยายามชอนไชรุกรานแต่ก็ไม่เป็นผล ส่งผลให้เขาตัดสินใจกัดริมฝีปากล่างของนางแรงหนึ่งหน
“โอ้ย!”
“อุ้บ!”
และก็สำเร็จลิ้นร้อนผ่าวกวาดต้อนสำรวจหาความหวานภายในโพลงปากเล็ก คอยหยอกเย้าลิ้นเล็กที่ถอยกรู่ รสชาติซาบซ่านแปลกใหม่ กลิ่นกายหอมเฉพาะตัวของนางทำเขาปั่นป่วนแทบบ้า รสจุมพิตซับซ้อนกว่ารสชาติของน้ำจัณฑ์เสียอีก จุมพิตร้อนแรงแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวาน พะเน้าพะนอนางอย่างเอาใจ เมื่อรุกรานจนเป็นที่น่าพอใจแล้วจึงถอนริมฝีปากออกมาอ้อยอิ่ง
“ท่านคชคณปล่อยข้าเถิด เมาแล้วก็กลับไปนอน ข้าอยากจะกลับไปพักแล้วเช่นกัน” ช่อเอื้องยันกายลุกขึ้นมาจากท่วงท่าหมิ่นเหม่ ริมฝีปากแดงแจ๋ของนางบวมเป่งจากการถูกรุกรานอย่างเอาแต่ใจเมื่อครู่
“นั่งดื่มน้ำจัณฑ์เป็นเพื่อนข้าหน่อยไม่ได้เชียวหรือช่อเอื้อง เหตุใดจึงเฉยชาต่อข้านักเล่า ข้าทำกระไรให้เจ้าไม่พอใจหรือ นั่งลงแล้วดื่มเป็นเพื่อนข้า…” ชายหนุ่มรินน้ำจัณฑ์ส่งให้หญิงสาวแกมบังคับ ดวงตาคมกริบกวาดมองดวงหน้างามสะคราญอย่างเผลอไผล
“ข้าดื่มมากพอแล้วท่านคชคณ ขออภัย...”
“ข้าบอกให้ดื่ม...” ดวงตาเฉียบคู่นั้นคาดคั้นช่อเอื้องอย่างเอาแต่ใจตน สีหน้าเช่นหมาหยอกไก่เปลี่ยนเป็นจริงจังขึงขัง
“......” ช่อเอื้องหยิบจอกน้ำจัณฑ์ขึ้นมาดื่มทั้งสองจอก นางวางกระแทกลงบนโต๊ะก่อนจะสะบัดหน้าหนี ก้าวขาเดินออกไป ทว่าความว่องไวกลับเป็นรองเขา
คชคณดักหน้ารั้งร่างอรชรประชิดกาย เขาโน้มใบหน้าขโมยจุมพิตนางอย่างหน้าไม่อายอีกครั้ง ครั้งนี้นางไม่ยอมเป็นฝ่ายรับฝ่ายเดียว ช่อเอื้องตอบรับจุมพิตนั้น ยั่วยวนและปั่นหัวเขาในคราเดียวกัน คชคณถอยครูดนั่งบนเก้าอี้ หญิงสาวยกเข่าข้างหนึ่งวางกึ่งกลางระหว่างช่องว่างขาแกร่ง
“ท่านจู่โจมหญิงที่พึงใจเช่นนี้ทุกคนเลยหรือเจ้าคะ”
“มะ…ไม่ เจ้ากำชังยั่วยวนข้า”
“ท่านคชคณชอบไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เรียวแขนทั้งสองข้างโอบล้อมรอบลำคอหนา นางบดขยี้เขาจนชายหนุ่มแทบจะสำลักความสุข เนื้อนุ่มสัมผัสแนบแน่นไม่มีใครยอมใคร ลิ้นเล็กหยอกเย้าพญาคชสารจนความคิดขาวโพลน ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยติ่งหูหนา เสียงลมหายใจของเขาขาดช่วงกระท่อนกระแท่น เขาผู้ช่ำชองในบทรักกลับพ่ายแพ้ให้นางราบคาบตั้งแต่คราแรก ก่อนนางจะผละออกมาเคลื่อนใบหน้าจรดริมฝีปากขบเม้มติ่งหูหนา ทำเอาเขาขนลุกเกลียวทั่วทั้งตัว
“ข้ากลับได้แล้วใช่หรือไม่ ท่านคชคณ...” น้ำเสียงยั่วยวนชวนฝันของนางว่า ก่อนจะผละเดินออกไปทิ้งชายหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในภวังค์นั่งอยู่ตัวคนเดียว เมื่อเห็นร่างสะโอดสะองของนางเดินจากไป ทำให้เขาพลันได้สติกลับคืนมาจึงตะโกนบอกความในใจให้นางได้รับรู้
“ช่อเอื้อง! ข้าพึงใจเจ้า!”
“แต่ข้าไม่พึงใจท่าน...” น้ำเสียงเย็นชาตอกกลับจนเขาแทบหงายหลัง นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาถูกปฏิเสธจากหญิงสาวนางแรกที่เขาพึงใจ มิใช่หมาหยอกไก่เช่นนางอื่น...
ข่าวคราวของเขาคงผ่านหูนางเป็นแน่แท้ นางจึงได้เมินเฉยต่อเขาเพียงนี้ ไม่ว่าเจ้าจักพึงใจข้าหรือไม่ ข้าก็ไม่มีวันปล่อยเจ้าหลุดมือไปได้ดอกช่อเอื้อง...
คล้อยหลังเดินออกมาช่อเอื้องเช็ดถูริมฝีปากอย่างแรง ภายนอกก็ดูเป็นคนดีอยู่หรอก ทว่าเนื้อแท้กลับเป็นชายมือไวรุ่มร่ามล่วงเกินนางออกหน้าออกตาถึงเพียงนี้ นึกแล้วก็เจ็บใจชะมัด เหตุใดฟ้าจึงส่งนางมาพานพบชายผู้นี้ ชายผู้น่ารังเกียจยิ่งกว่าแมลงหวี่ แมลงวันซะอีก เป็นถึงผู้นำเหล่าคชสารแต่ไม่รู้จักสงวนท่าที คิดว่าพึงใจผู้ใดก็จะต้องสมปรารถนาไปทุกคราเลยหรือช่างไม่รู้จักประมาณตน
“พี่ช่อเอื้องเมาหรือ เหตุใดจึงถูปากเช่นนั้นเล่า” แก้วเกล้าที่รออยู่ด้านนอกตำหนักเอ่ยถาม
“เฮ้ออ...” นางถอนหายใจพรืดใหญ่ก่อนตอบ
“เมื่อครู่แมลงหวี่มันบินเข้าปากข้าน่ะสิ น่าสะอิดสะเอียนชะมัด ข้าอยากไปอาบน้ำ เราไปอาบน้ำกันไหมแก้วเกล้า มีที่อื่นที่ไม่ใช่สระนั้นไหม ข้าอยากอาบแบบเงียบ ๆ”
“มีสิ มีที่หนึ่งเงียบสงบแถมน้ำไม่ลึกด้วย”
“ดีเลย”
แก้วเกล้าพานางมายังแม่น้ำกุณาโล หนึ่งในแม่น้ำสายหลัก ทว่าเหล่าคชสารไม่ค่อยนิยมมาที่นี่มากนัก เพราะแหล่งน้ำตื้นเขิน แต่สำหรับนางแล้วกลับชื่นชอบที่นี่มากกว่าสระน้ำบ่อใหญ่เมื่อวานเสียอีก นางใช้เวลาไปกับการนอนแช่น้ำเย็นเยียบอยู่นาน โดยมีแก้วเกล้าคอยขัดสีฉวีวรรณให้ น้ำอบผสานน้ำมันดอกปีบถูกพรมทั่วเนื้อนวลเนียน ส่งกลิ่นหอมลอยคลุ้งไปทั่ว เนื้อขาวเนียนผ่องเป็นยองใย
“อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะมีพิธีคล้องมาลัยเลือกคู่จากคชสารสิบตระกูล พี่ช่อเอื้องอยากไปดูมั้ย” แก้วเกล้าเอ่ยถาม นางไอยราน้อยอยากจะไปชมให้เห็นกับตาสักครา ทว่าหากพี่ช่อเอื้องไม่อยากไป นางก็ไม่สามารถปลีกตัวไปร่วมงานได้
“ไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องรำเปิดพิธีก็เป็นได้ ตั้งใจฝึกให้มากถึงเพลานั้นจักได้ไม่ขายขี้หน้าชาวบ้าน” ช่อเอื้องตอบกลับแต่ดูเหมือนคนข้างหลังนางจะเงียบลง คงจะหนักใจไม่น้อยกระมังที่ต้องจำยอมฝึกฝน แทนที่จะได้เที่ยวเล่นตามประสา แก้วเกล้าใช้ใยบวบนุ่มขัดผิวเนียนละเอียดของนางแผ่วเบา ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายจึงนอนหลับตาพริ้มอิงแอบบนโขดหินอยู่นาน
“......”
“แก้วเกล้าเจ้าขัดผิวดีจัง ข้าชอบ”
ใยบวบนุ่มลูบไล้ไปตามแผ่นหลังนวลเนียนจรดลำคอระหง แต่สิ่งที่ทำให้นางเกร็งตัวแข็งทื่อก็คงเป็นท่อนแขนแกร่งของใครบางคนสวมกอดนางจากทางด้านหลัง ท่ามกลางกระแสน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ ช่อเอื้องถอนหายใจพรืดใหญ่ก่อนจะเอ็ดเจ้าของกายาสีนิลที่บังอาจล่วงเกินนาง
“ท่านคชคณ...”
“ว่าอย่างไรช่อเอื้อง” น้ำเสียงเย้าหยอกของคชสารหนุ่มเอ่ยตอบ
“ท่านก็ทราบดีว่าข้าไม่พึงใจในตัวท่าน เหตุอันใดจึงล่วงเกินข้าครั้งแล้วครั้งเล่า หรือนิสัยของท่านเป็นพวกถ้ำมองชอบแอบมองหญิงสาวอาบน้ำเช่นนั้นหรือ...” ช่อเอื้องปิดเปลือกตาแน่นสนิทด้วยไม่ใคร่อยากจะมองชายหนุ่มทางด้านหลังที่กำลังโอบกอดนางอยู่
“ข้าชอบมองเจ้าต่างหากช่อเอื้อง ข้ามิได้แสร้งทำเช่นหมาหยอกไก่แต่ว่าข้าพึงใจในตัวเจ้าแน่แท้ ไยเจ้าจึงชอบผลักไสไล่ส่งข้านักเล่าช่อเอื้อง”
“เลิกตามติดข้าเสียทีข้าพึ่งจุติมาไม่ถึงสองวัน อยู่ ๆ ท่านจะมาพร่ำบอกว่าพึงใจในตัวข้าเช่นนั้นหรือท่านคชคณ ไม่ใจง่ายไปหน่อยหรือว่าท่านเป็นพวกรักง่ายหน่ายเร็วกระมัง” หญิงสาวแค่นหัวเราะในลำคอ นางเหลือบมองไปทางแก้วเกล้าที่นิ่งชะงักราวต้องมนต์สะกด
“เจ้ากลัวข้าจะเพียงเย้าแหย่แล้วก็จากไปงั้นหรือ คงฟังคำเล่าลือจากนางกำนัลเหล่านั้นมาใช่หรือไม่ จึงมีท่าทางเมินเฉยต่อข้า” คชสารหนุ่มกระชับวงแขนกอดนางแน่นขึ้น เกยคางบนบ่าเล็กของนางแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ กลิ่นน้ำมันดอกปีบบนเรือนกายนางช่างหอมหวนชวนหลงใหลยิ่ง ดวงตาเป็นประกายลอบมองหญิงสาวที่เริ่มขุ่นเคืองในวงแขน ทรวงอกอวบกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะผ่อนปรนหายใจเข้าออก
“ข้าไม่ได้มีใจพิศวาสท่านจริง ๆ อย่าได้คิดทำการใดให้ข้าอึดอัดใจอีกเลยท่านคชคณ อันที่จริงข้าไม่ได้มีใจพิศวาสชายใดเลยจะดีกว่า” ช่อเอื้องพยายามปฏิเสธชายหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ดูเหมือนจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเสียมากกว่า เขายังคงกกกอดนางเอาไว้แน่น
“ข่าวลือพวกนั้นหากเจ้าจะเชื่อข้าก็ไม่ว่ากระไรแต่ช่วยรับฟังเหตุผลจากตัวข้าหน่อยเถิด แม้นข้าจะเคยทำตัวเป็นหมาหยอกไก่แต่มันก็นานมาแล้ว ครั้นยังวัยเยาว์ย่อมเสเพลไปบ้างแต่นี่ก็ผ่านมาหลายสิบปีแล้วหนา ข้าไม่เคยทอดสะพานชายตามองนางใด จนกระทั่งได้พานพบเจ้าช่อเอื้อง...” เขายอมรับว่าอดีตอาจจะเคยพลาดพลั้งเจ้าชู้เล่นกับความรู้สึกเหล่านางไอยราไปบ้าง แต่นั้นก็ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พอคิดได้เขาจึงหยุดทุกอย่าง ไม่คิดเลยว่าอดีตนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาในตอนที่เจอนาง นางที่ทำเขาลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น และก็เป็นนางอีกเช่นกันที่ยืนกรานปฏิเสธเขาอย่างหนักแน่น