“ท่านแม่ลืมไปแล้วหรือขอรับ”
“ลืมเรื่องอะไรงั้นหรือ”
“เอ๋?”
“หนึ่งปีก่อนท่านพ่อขึ้นเขาไปหาของป่ากับชาวบ้านถูกหมูป่าตัวเขื่องไล่ล่าจนตกเขาดวงตากระทบกระเทือนจนมืดสนิท”
“จริงหรือนี่”
“ขาของท่านพ่อหักไปข้างหนึ่งจึงต้องนั่งรถเข็นไม้ที่ผู้ใหญ่บ้านจัดหามาให้ขอรับ โชคยังดีที่ท่านหมอรักษาขาให้ท่านพ่อจนเกือบจะกลับมาเดินดีได้เหมือนเดิมแล้วเพียงแต่ตาที่บอดไปเวลานี้ก็ยังคงมองไม่เห็น”
“ท่านหมอรักษาไม่ได้แล้วงั้นหรือ”
“ใช้เงินไปกับการรักษาขาของท่านพ่อมากเกินไปจึงไม่เหลือเลยแม้แต่อีแปะเดียว”
“แล้วเหตุใดนาง เอ่อ ข้าหมายถึงตัวข้านี่ล่ะไม่ไปทำงานเล่า”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นไปมองผู้เป็นมารดาด้วยแววตาใสซื่อ ไม่ต้องรอคำตอบจากเขาก็พอจะรู้แล้วว่าเพราะอะไร
“ท่านแม่บอกว่าจะทิ้งพวกเราไป”
“อะไรนะ”
“ข้าได้ยินท่านแม่ทะเลาะกับท่านพ่อบอกว่าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว จะทิ้งพวกเราสองคนไปขอรับ”
เด็กชายตอบนางก่อนจะก้มใบหน้าเล็กนั้นลงอีกครั้ง ไป๋ฉางอวี้อ้าปากค้างไม่รู้จะพูดสิ่งใดออกมาอีก
เหตุใดหญิงสาวเจ้าของร่างที่นางเข้ามาอาศัยอยู่นี้ถึงได้ใจร้ายกับครอบครัวของนางถึงเพียงนี้กัน
‘ให้ตายสิไป๋ฉางอวี้คนก่อนเหตุใดถึงได้ใจดำเช่นนี้กันเล่า เมื่อสามีไร้ความสามารถก็ทิ้งกันง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ’
“แล้วที่เจ้าบอกว่าข้าหกล้มน่ะมันเป็นมาอย่างไรงั้นหรือ”
“ก็หลังจากที่ท่านแม่ทะเลาะกับท่านพ่อแล้วก็วิ่งออกจากบ้านไปแต่ไม่นานก็มีคนมาบอกว่าเห็นท่านแม่นอนสลบอยู่ตรงริมคลองท้ายหมู่บ้านขอรับ หัวของท่านมีเลือดไหลด้วยท่านพ่อจึงรีบไปดูและพาท่านกลับมาที่บ้าน”
“ก็ไหนว่าเขาตาบอดแล้วเหตุใดถึงพาข้ากลับมาได้กันเล่า”
“เป็นข้าที่ใช้เชือกนำทางพวกท่านกลับมาขอรับ”
‘โถช่างเป็นเด็กรู้ความอะไรเช่นนี้กันนะ ตัวก็เล็กแค่นี้รู้จักช่วยเหลือพ่อแม่ได้แล้ว’
ไป๋ฉางอวี้ตั้งใจจะเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อปลอบใจเด็กชายสักเล็กน้อยแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างร้องดังออกมาจากคนตรงหน้านาง
'จ๊อกกก'
“ขอ ขอโทษขอรับท่านแม่”
เด็กชายใช้มือเล็กๆ กุมท้องเอาไว้แน่นแล้วหันหลังวิ่งเข้าไปด้านในบ้านด้วยความรวดเร็ว
ไป๋ฉางอวี้ยังคงงุนงงเหตุใดเด็กน้อยต้องกลัวนางถึงเพียงนั้นกัน นางตั้งใจจะเดินตามเขาเข้าไปในบ้านแต่ภาพบางอย่างกลับปรากฏฉายชัดขึ้นมาให้เห็นตามมุมต่างๆ ของบริเวณบ้านหลังนี้
เมื่อมองไปไม่ไกลจากรั้วบ้านนักจะมีแปลงผักและสมุนไพรที่ถูกปลูกเอาไว้เรียงรายออกดอกชูช่ออย่างงดงาม ภาพของคนสามคนที่ช่วยกันลงมือปลูกมันด้วยความรักและความเอาใจใส่ทุกคนต่างก็ยิ้มแย้มให้แก่กัน
แผ่นหลังของบุรุษผู้เป็นสามีแลดูอบอุ่นเหลือเกินแตกต่างจากชายในยุคที่นางจากมาเสียจริง ความมักมากของเขาทำลายครอบครัวจนย่อยยับ
‘ในเมื่อเขาและนางดูรักใคร่กันทั้งยังสร้างครอบครัวมาด้วยกันจนมีพยานรักตัวเล็กๆ เช่นนี้แล้วเหตุใดสตรีผู้นี้ถึงคิดจะทอดทิ้งพวกเขาสองคนได้ลงคอกันนะไม่เห็นจะเข้าใจเลย’
‘แล้วนางล่ะทะลุมิติมาอยู่ในร่างของคนชื่อแซ่เดียวกันแล้วต้องมาทำหน้าที่ภรรยาและแม่เช่นนี้ หากวันหนึ่งเจ้าของร่างกลับมาแล้วข้าจะไปอยู่ตรงไหน?’
ไป๋ฉางอวี้สะบัดศีรษะเพื่อไล่ความทรงจำเก่าๆ ออกไปแต่แล้วก็ได้ยินเหมือนเสียงอะไรบางอย่างตกลงกระทบกับพื้น
“เพล้ง!”
ไป๋ฉางอวี้หันไปมองตามเสียงนั้นก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความรวดเร็วเมื่อเข้ามาถึงก็พบกับเศษกระเบื้องเคลือบที่แตกกระจายตามพื้นห้องกับหนึ่งบุรุษและอีกหนึ่งเด็กน้อยที่กำลังก้มเก็บเศษของมันอยู่นั่นเอง
“พวกเจ้าทำอะไรกัน”
“ท่านแม่!”
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะหากถูกเศษกระเบื้องบาดมือเข้าจะทำอย่างไร”
นางเข้าไปดึงตัวเด็กน้อยให้ถอยห่างออกจากบริเวณนั้นก่อนจะยึดเศษกระเบื้องมาถือเอาไว้ เมื่อหันกลับไปดูบุรุษผู้เป็นสามีของเจ้าของร่างที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนพื้นห้องไม่พูดไม่จาไม่มองหน้านางเลยสักเพียงนิด
ความฉุนเฉียวที่เห็นเขาไม่ระวังใดๆ ทั้งยังปล่อยให้ลูกชายมาเก็บเศษพวกนี้หากบาดมือเข้าจะทำอย่างไร ปากที่กำลังจะก่นด่าแต่เหมือนนางเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเขานั้นตาบอดอยู่! ความร้อนรุ่มภายในอกก็เริ่มทุเลาลงทีละนิด
“แล้วท่านไม่ได้ยินที่ข้าสั่งงั้นหรือ”
“ข้า…”
“ลุกขึ้นมาได้แล้วๆ ก็ช่วยถอยออกไปจากตรงนี้ ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ของท่านเดี๋ยวนี้”
“แต่ว่าข้าจะเก็บเศษกระเบื้องพวกนี้”
“ท่านมองไม่เห็นไม่ใช่หรือแล้วจะเก็บอย่างไรหมด”
ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็เม้มปากเอาไว้แน่นดวงตาของเขาดูเหมือนจะแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อยอาจจะเพราะคับแค้นใจ เศร้าใจหรือเสียใจที่นางพูดตัดน้ำใจหรือไม่นั้นก็ไม่อาจรู้ได้
ให้ตายสิเกิดมาก็ยังไม่เคยมีแฟนสักคนบิดาที่พอจะเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่เหลือในบ้านก็ทำตัวให้นางรังเกียจดุด่ากันแทบทุกวัน
คำพูดหวานหูนั้นอย่าฝันว่าจะได้ยินจากปากของนางเลยแม้จะทะลุมิติมาในที่ไกลแสนไกลถึงเพียงนี้ปากเจ้ากรรมก็ดันพูดจาดีๆ
กับเขาไม่เป็น
‘อยากจะบ้าตายจริงๆ’