บทที่ 1
“ก็ที่หน้าหมู่บ้านมีขบวนของทหารกลุ่มเบ้อเริ่มรออยู่น่ะสิ เห็นบอกว่าเป็นตัวแทนมาส่งราชโองการจากองค์ฮ่องเต้ บอกว่ามาขอพบพ่อของเจ้าน่ะ”
“....” ข้าเงียบทว่าดวงตาข้าเปล่งประกายเรืองรองราวกับมีเรื่องถูกใจ
"ท่านหัวหน้าไปทางโน้นใช่หรือไม่ ข้าจะวิ่งไปตามเอง...ตายแล้ว นี่มันเรื่องอะไรหนอ”
หมู่บ้านข้าก็เป็นเช่นนี้แหละ อารมณ์ดีก็พูดจาไพเราะ อารมณ์เสียก็ด่ากันตรง ๆ ตั้งแต่ข้าเกิดมิมีสักหนที่คนของทางการจะเข้ามายุ่งในหมู่บ้านแห่งนี้จึงไม่แปลกหากลูกบ้านจะมีท่าทีทำสิ่งใดไม่ถูกในสถานการณ์เช่นนี้
ข้าเลือกเดินเข้าบ้านไปด้วยท่าทีเฉยเมยเช่นเดิมราวกับข้ามิได้แปลกใจเลยว่าไยจึงมีคนของฮ่องเต้มาหาท่านพ่อ
เพราะข้าคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าไม่เกินเดือนหลังจากข้ากลับจากการเข้าไปซื้อของในตัวมืองใกล้ ๆ
ตอนนั้นข้าได้ทำการปล่อยข่าวเรื่องการมีตัวตนของผู้วิเศษ ณ หมู่บ้านในป่าลึก ข่าวแพร่กระจายเร็วยิ่งกว่าเชื้อโรคไม่นานจึงไปถึงหูของราชสำนัก
ใช้เวลาสืบหาความจริงไม่กี่วันก็คงส่งคนมารับตัวข้าเข้าวังไปรับใช้ฮ่องเต้ในฐานะผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์น่ะสิ
ท่านพ่อข้าอย่างไรก็ต้องยอมแน่เพราะมีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าหากพบเจอผู้วิเศษแล้วไม่รายงานหรือส่งตัวให้ราชสำนักถือเป็นโทษหนักในข้อหาคิดก่อกบฏเป็นภัยต่อราชวงศ์
ยามนี้ครอบครัวถือว่ามีความผิดด้วยซ้ำที่ไม่แจ้งแต่ข้าคิดแก้ต่างเอาไว้แล้วว่าให้ทุกคนยืนกรานว่าไม่รู้ว่าข้ามีพลังวิเศษเพราะข้าปิดบังไว้
ข้าเป็นเด็กกำพร้ามาอาศัยเขาอยู่ เรื่องกฎหมายข้อนี้เด็กในป่าอย่างข้าจะอ้างว่าไม่รู้แล้วกัน
ถึงแม้พวกราชสำนักไม่เชื่อ แต่ข้ารู้ดีว่าไม่มีใครกล้าทำอะไรผู้วิเศษเช่นข้าหรอก
เพราะอะไรน่ะหรือ
ข้าเปรียบเสมือนของขวัญจากสวรรค์ ในแคว้นที่ฮ่องเต้บูชาเทพเทวดาเช่นนี้จะมีใครกล้าทำอะไรข้ากัน
มิใช่ว่าฮ่องเต้กลัว แต่คนเช่นพวกข้ามีประโยชน์อย่างยิ่งกับพระองค์ต่างหาก
ไม่เชื่อข้าลองดูต่อไปแล้วกัน
ไม่นานท่านพ่อก็วิ่งหน้าตาตื่นกลับออกมาจากป่า สองมือว่างเปล่าแสดงได้เป็นอย่างดีว่าชายหนุ่มยังไม่ได้แม้ล่าสัตว์สักตัวก็จำต้องกลับมาก่อน
ท่านพ่อสบตากับข้าแวบหนึ่งก่อนวิ่งออกจากบ้านไปอีกหนเพื่อมุ่งไปยังหน้าหมู่บ้านโดยมีข้ากับท่านแม่เดินเร็วตามไปด้วย
ขบวนรถม้าที่ว่าเป็นขบวนขนาดปานกลางมีรถม้าอยู่สามคัน คันนึงน่าจะไว้เอามารับข้า ส่วนอีกสองคันบรรทุกขันทีสองคนที่ตอนนี้คนหน้ายืนถือผืนผ้าสีเหลืองอร่ามขลิบทอง ส่วนขันทีคนหลังยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลัง ข้ามองอีกฝ่ายอยู่จึงสังเกตเห็นสายตาดูถูกคลับคล้ายจะรังเกียจสภาพหมู่บ้านข้าที่ทั้งเก่าและล้าหลัง
ส่วนรถม้าคันสุดท้ายคงไว้บรรทุกของต่าง ๆ
“ข้าคือหัวหน้าหมู่บ้าน พวกท่านมีธุระอะไรกับข้างั้นหรือขอรับ”
พ่อของข้ามีท่าทีนอบน้อมด้วยเพราะเห็นผืนผ้าที่ดูก็รู้ว่าคือราชโองการจากฮ่องเต้
“มีราชโองการจากองค์ฮ่องเต้ถึงเจ้า โปรดเตรียมรับราชโองการ”
เมื่อได้ยินขันทีกล่าวถึงโอสรสวรรค์ชาวบ้านที่เข้ามารายล้อมเพราะความอยากรู้พากันคุกเข่าตามที่หัวหน้าหมู่ทำ
“ข้าน้อยรับราชโองการขอรับ”
ข้าเองก็นั่งลงด้วยเช่นกัน หลังจากท่านพ่อข้าตอบรับตามประสาคนบ้านป่า ขันทีคนที่ถือผืนผ้าร่างตัวอักษรลายมือโอรสสวรรค์จึงก้าวเท้าออกมาเบื้องหน้าอ่านราชโองการในมือด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
เนื้อหาคือกล่าวถึงความเป็นมาของผู้วิเศษ ต่อมาบอกว่าข้าคือผู้วิเศษที่มีบุญวาสนาได้รับใช้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน พระองค์ทรงมีเมตราส่งขบวนมารับตัวข้าเข้าวัง ปิดท้ายอย่างสวยหรูด้วยคำให้อภัยต่อความไม่รู้ความของท่านพ่อข้าที่มิได้ตั้งใจปิดบังพระองค์
สรุปแล้วข้าต้องออกเดินทางไปเมืองหลวงวันพรุ่งนี้เลย
หลังจากนั้นท่านพ่อจึงจัดการที่พักชั่วคราวให้เหล่าทหารและขันทีสำหรับนอนพักผ่อนหนึ่งคืน ส่วนข้าก็ถูกไล่กลับมาเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทาง
ทว่าพอกลับมาถึงบ้านข้ากลับยังไม่ก้าวเท้าเข้าบ้าน จนท่านแม่ที่เดินนำเข้าไปก่อนแล้วเห็นข้าไม่ตามเข้าไปหันกลับมามองด้วยความสงสัย
“ไยไม่เข้าเล่าเฟยเจิน”
“ข้า เดี๋ยวข้าขอไปเก็บสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ชายป่านี่เองก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้ากลับมา”
ร่างบางวิ่งหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็วไม่รอให้มารดาเอ่ยอนุญาตเสียก่อน
ความจริงข้ามิได้จะมาเก็บสมุนไพรอย่างที่บอกหรอก ข้ามีความคิดอยากมาบอกลาท่านอาจารย์จำเป็นของข้าเสียหน่อย
ข้าทั้งวิ่งบางครั้งก็โหนเถาวัลย์ที่ข้านี่แหละผูกไว้เพื่อไปตามทางที่ซับซ้อนด้วยความคุ้นชิน ไม่นานก็เห็นกระท่อมหลังเล็กในดงแมกไม้ หากไม่ตั้งใจมองย่อมมองไม่ออกว่าตรงนั้นมีกระท่อมตั้งอยู่
“ตาเฒ่า ตาเฒ่าท่านอยู่ไหมเจ้าคะ”
เสียงข้าดังเข้าไปก่อนตัวเสมอ
ผัวะ ข้าดันประตูที่สานจากใบไม้เข้าไปข้างในโดยไม่รอให้เจ้าของบ้านอนุญาต
ข้ามาที่นี่ประจำ ตาเฒ่าหนวดดกที่นั่งสมาธิอยู่ด้านหน้าข้านี่ก็ใช่ว่าเป็นคนอื่นไกล
ข้านับถือเขาเป็นเสมือนท่านปู่ข้าอีกคนเชียวนะ
แต่อีกฝ่ายไม่ยอมก็เท่านั้นเอง