ตอนที่ 2 อดทนอีกนิดเดียว
เสียงเด็ก ๆ ตะโกนด้วยความดีใจก่อนจะกรูกันเข้ามากอดเธอจากทุกทิศทางราวกับว่าไม่ได้เจอกันนานมาก
แต่ที่น่าแปลกก็คือทันทีที่เธอได้สวมกอดเด็ก ๆ หัวใจที่เหนื่อยล้าแทบสิ้นเรี่ยวแรง ก็กลับมาอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด เพียงแค่หญิงสาวได้ยินเสียงเล็ก ๆ เหล่านั้นก็ทำให้เธอยิ้มได้จนใจฟู
“พี่กลับมาแล้ว!! ไหนดูซิวันนี้มีใครดื้อบ้าง” เธอพูดขึ้นน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะนั่งลงย่อ ๆ อ้าแขนออกให้เด็ก ๆ เข้ามากอดได้ถนัดขึ้น
“หนูไม่ดื้อเลย วันนี้มีนาเชื่อฟังแม่ทุกอย่างเลย แต่พี่จัสมิน ๆ วันนี้โชกุนดื้อ!” ทันทีที่เธอเอ่ยถามเสียงเล็ก ๆ ของมีนา เด็กหญิงวัย8ขวบก็ดังขึ้นมาก่อนอย่างคนที่กำลังฟ้องความผิด
“จริงเหรอ! วันนี้โชกุนของพี่ดื้ออย่างนั้นเหรอ ไหนดูซิดื้อตรงไหนนะ!” จัสมินพูดขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าเด็กชายวัยห้าขวบมากอดไว้ ก่อนจะใช้นิ้วจี้ไปที่เอวจนเจ้าตัวนั้นหัวเราะลั่น
“วันนี้โชกุนไม่ได้ดื้อนะ! มีนาโกหก พี่สาวไม่เชื่อถามมินตราก็ได้ ฮ่า! ฮ่า!” เด็กชายวัยห้าขวบรีบพูดปฏิเสธ แต่ถึงอย่างนั้นก็เหมือนว่าเขาจะดีใจที่เธอหยอกล้อกับเขา
“จริงเหรอ!~”
“กลับมาแล้วหรือจ๊ะลูก วันนี้เหนื่อยมากไหม” จัสมินหันไปมองทางต้นเสียงก็เห็นว่าเป็นแม่รัตนา ที่เดินถือผลไม้ออกมาวางไว้ที่โต๊ะกลางบ้าน
“ไม่เท่าไหร่ค่ะแม่ เดี๋ยวหนูไปช่วยน้อง ๆ อาบน้ำก่อนนะคะ จะรีบลงมาช่วยแม่เตรียมอาหาร”
“ไม่ต้องเลย! วันนี้มินตรากับอาริ ภูริ จัดการพาน้องอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ลูกเถอะ! ขึ้นไปอาบน้ำแล้วรีบลงมากินข้าวได้แล้ว”
“ค่ะแม่” พูดจบเธอก็จี้เอวโชกุนอีกสองสามครั้งพอได้เรียกเสียงหัวเราะให้กับเด็ก ๆ ก่อนที่หญิงสาวจะเดินเข้าไปกอดผู้เป็นประมุขของบ้านพร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่
“เจ้าเด็กคนนี้!”
หลังจากที่เธอเดินขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดา แล้วก็เดินลงมาช่วยผู้เป็นแม่เตรียมอาหารให้กับเด็ก ๆ ที่นี่คือบ้านของแม่รัตนา หรือจะเรียกว่าเป็นบ้านเด็กกำพร้าขนาดย่อมก็ว่าได้ เธอนั่งมองเด็ก ๆ ที่กำลังเติบโตขึ้นช้า ๆ ทีละก้าว มองดูพวกเขาทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยแล้วก็ได้แต่ยิ้ม
ที่บ้านหลังนี้อาศัยอยู่รวมกันทั้งหมด 10 คน โดยมีแม่รัตนาเป็นเจ้าของบ้าน และเด็กกำพร้าที่แม่รับมาเลี้ยงคนแรกก็คือจัสมิน เธอถูกทิ้งไว้ที่หน้าบ้านหลังนี้ตั้งแต่ยังเป็นทารก และเนื่องจากกฎหมายไม่ได้ครอบคลุมสักเท่าไหร่ทำให้หญิงสาวถูกแม่รัตนารับเลี้ยงเอาไว้พร้อมตั้งชื่อให้ว่าจัสมิน
จนเมื่อเธออายุได้ห้าขวบ ในวันหนึ่งก็เห็นว่าแม่รัตนาอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งเข้ามาที่บ้าน ก่อนจะบอกว่าเธอคือน้องสาวของจัสมิน นั่นคือครั้งแรกที่เธอรู้ว่าตัวเองกำลังจะมีน้องสาว เธอมองนิ้วมือเล็ก ๆ มองดวงตากลม ๆ ก่อนที่แม่รัตนาจะมองเธอสลับกับเด็กน้อยแล้วบอกว่า
‘จัสมิน.. ถ้าอย่างนั้นให้น้องสาวของเธอชื่อว่ามินตราแล้วกันนะ’
และหลังจากนั้นบ้านพักแห่งนี้ก็จะมีเด็ก ๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ และทุกคนแม้จะมาจากคนละที่ แม้จะไม่มีสายสัมพันธ์แบบสายเลือด แต่เด็กทุกคนก็รักกันดี และเธอพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ชีวิตของเด็ก ๆ เหล่านี้เติบโตไปเป็นคนที่ดี
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูกทำไมถึงไม่กินล่ะ” และดูเหมือนว่าเธอจะคิดถึงเรื่องอดีตมากเกินไป ทำให้ผู้เป็นแม่หันมาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“หนูขอดูน้องกินก่อนไม่ได้เหรอแม่ ดูสิ! กินกันจนข้าวกระเด็นเต็มโต๊ะไปหมดแล้ว ฮ่า ฮ่า” จัสมินหันไปหัวเราะพร้อมกับชี้ไปที่จานของทิมเด็กชายวัย 10 ขวบ
“พี่จัสมินพูดไปเรื่อย ผมไม่ได้กินเลอะสักหน่อย! นั่นมันมาจากจานของทิวาต่างหาก” และทันทีที่ถูกพาดถึง ทิวาเด็กหญิงวัย 9 ขวบก็หันขวาไปมองพี่ชายทันที
“ทิมอย่ามาโกหก.. นั่นมันออกมาจากจานของนายชัด ๆ” และเพราะอาจจะเป็นที่นิสัยของทิวานั้น เป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างจะโลกส่วนตัวสูง เธอจึงหันไปมองทิมก่อนพูดจานิ่ง ๆ ตามประสา
“พอแล้ว ๆ พี่ก็แค่ล้อเล่น กินข้าวกันต่อเถอะ นี่ปาริ! หยิบซอสตรงนั้นให้พี่หน่อยได้ไหมคะ” จัสมินที่เห็นว่าเด็ก ๆ เริ่มจะถกเถียงกันไปมาไม่จบสิ้น จึงได้หันไปตัดจบประเด็นนี้เอาไว้
“นี่ค่ะพี่จัสมิน” ปาริสาวน้อยวัย 10 ขวบ ที่มีใบหน้าจัดได้ว่างดงามราวกับภาพวาด ยิ่งเมื่อเห็นว่าน้องสาวโตขึ้นมากเท่าไหร่ ความสวยของเธอก็ยิ่งประจักษ์แก่สายตาทุกคนมากเท่านั้น เธอหยิบซอสแล้วเดินนำมาให้
“ขอบคุณนะคะ” หลังจากนั้นเด็ก ๆ ต่างก็พากันทานอาหาร หลังจากทานเสร็จแล้วก็เดินไปล้างหน้าแปรงฟันเตรียมเข้านอน
จัสมินเองหลังจากที่กินข้าวอิ่มเธอก็เดินไปล้างชามทันที การทำงานบ้านของที่นี่ทุกคนจะมีงานประจำของตัวเอง โดยการหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนกันไปในหนึ่งอาทิตย์ และวันนี้การล้างจานนั้นก็เป็นของจัสมิน
จนกระทั่งนาฬิกาแขวนเก่า ๆ บนผนังดังบอกเวลาสามทุ่ม เธอจึงได้รีบเดินขึ้นไปที่ห้องเล็ก ๆ ของตนเอง ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยรัดรูปวาบหวิวที่ซ่อนไว้ในสุดของตู้เสื้อผ้า
เธอสวมมันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใส่กางเกงขายาวทับเอาไว้กับเสื้อคลุมตัวยาวเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจ หรือมีใครรู้ว่าเธอกำลังจะออกไปไหนในเวลานี้
สองเท้าเดินมาหยุดอยู่หน้ากระจกติดตู้เสื้อผ้า เธอมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในนั้นด้วยดวงตาที่แดงช้ำเพราะอดนอน มองดูใบหน้าซีดเซียวที่ปกปิดไว้ด้วยรอยยิ้มที่เธอพยายามจะฉีกไว้
“อีกนิดเดียว.. แค่ต้องอดทนอีกนิดเดียว”