หลังจากเหตุการณ์การสูญเสียในครั้งนี้ ก็เป็นมาร์คัสที่ยื่นมือเข้ามาช่วยในเรื่องของการจัดงานศพ บรรยากาศงานนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แสงไฟในศาลาวัดสลัวลงด้วยกลิ่นธูปที่ลอยอ้อยอิ่ง ในงานนั้นมีเพียงเพื่อนบ้านไม่กี่คนกับเด็ก ๆ ในบ้านมาร่วมส่งแม่รัตนาเป็นครั้งสุดท้าย
จัสตินนั่งเงียบ ๆ น้ำตาแทบไม่หยุดไหล ดวงตาคู่กลมแดงช้ำอย่างน่าสงสารจนชายหนุ่มมักจะเผลอมองด้วยสายตาเป็นห่วง ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบงาน ก่อนจะหันไปเรียกฟีนิกซ์ให้เข้ามาใกล้
“จัดการงานที่เหลือให้เรียบร้อย อย่าให้มีข้อบกพร่องเด็ดขาด”
“ครับเฮีย”
หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปด้านนอกเพื่อหาที่สูบบุหรี่ ในจังหวะนั้นชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นชาวบ้านคู่หนึ่งที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลนัก พวกเขาคุยกันกระซิบกระซาบก่อนจะเหลือบสายตาไปมองที่โลงศพหลายต่อหลายครั้ง ด้วยความอยากรู้ของเขาสองเท้าจึงก้าวเข้าไปใกล้ให้พอได้ยินบทสนทนา
“รัตนาไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของเด็กคนนั้นเหรอคะ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ที่จริงที่นี่เป็นเหมือนศูนย์เลี้ยงเด็กกำพร้านั่นแหละ เธอแค่เก็บเด็ก ๆ มาเลี้ยงเหมือนลูกแท้ ๆ ฉันเคยบอกเขาตั้งนานแล้วว่าการเงินของเขาไม่ค่อยดี ก็ยังจะเก็บเด็กมาเลี้ยงตั้งแปดเก้าคน ถ้าไม่เรียกว่าโง่จะเรียกว่าอะไร”
“หมายถึงยัยหนูจัสมินด้วยเหรอ ฉันเข้าใจมาตลอดว่าเธอคือลูกสาวแท้ ๆ ของรัตนา”
“รู้แล้วอย่าไปบอกใครนะ คนแถวนี้เขารู้กันทั้งนั้นแหละแค่ไม่อยากพูดถึง ไม่มีใครเป็นลูกแท้ ๆ ของรัตนาเลยสักคน”
คำพูดนั้นทำให้มาร์คัสหันขวับไปจ้องสองคนนั้นนิ่ง ดวงตาคมเข้มฉายแววแปลกใจขึ้นมา ก่อนที่เขาจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อาคารที่จัดงานนั้นอีกครั้ง
หลังจากที่เขาได้ยินคำพูดเหล่านั้นสองเท้าก็เดินออกมาหลบมุมอีกฝั่ง ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังล้วงมือไปหยิบบุหรี่มาจุดสูบนั้น ก็เห็นว่าเป็นคนสนิทอย่างเฟิ่งที่เดินเข้ามาใกล้ มาร์คัสหันไปมองเขาเล็กน้อยก่อนจะพ่นควันที่อัดเข้าปอดออกช้า ๆ
“เรื่องที่ให้สืบไปถึงไหนแล้ว”
“คนของเรากำลังได้เบาะแสแล้วครับ อีกไม่นานคงรู้แน่ว่าเธอเป็นใครกันแน่”
“อืม.. เร่งมือหน่อยแล้วกัน”
หลังจากเสร็จสิ้นงานศพของผู้เป็นประมุขของบ้านแล้ว ชีวิตของจัสมินก็รู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หญิงสาวมักจะนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ในห้องนอนของแม่รัตนาบ่อยครั้ง
มือของเธอยังคงสั่นไม่หายจากอาการตกใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้มจนแทบจะไม่มีให้ไหล เธอมักจะรู้สึกผิดและโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา ควรจะดูแลแม่รัตนาให้ดีกว่านี้ ควรจะใส่ใจท่านสักนิดเพราะท่านเองก็อายุมากแล้ว
หญิงสาวฟุบหน้าลงกับมือของตัวเอง ความรู้สึกที่เหมือนโลกทั้งใบกำลังทับถมเธออยู่จนแทบหายใจไม่ออก ความรู้สึกที่ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากพูดกับใครกำลังทำให้เธอจมดิ่งไปกับความรู้สึกเหล่านี้จนแทบถอนตัวไม่ขึ้น
“แม่คะ.. แม่มาหาหนูหน่อยได้ไหม หนูไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไปดี”
จัสมินหันไปพูดกับรูปถ่ายของผู้เป็นแม่ ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงด้วยน้ำเสียงสั่น
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น เสียงเคาะประตูจากหน้าห้องก็ดังขึ้น จัสมินค่อย ๆ หันใบหน้าไปมองที่หน้าประตูนั้น แต่เธอกลับรู้สึกไม่อยากที่จะออกไปเปิดมาเลยแม้แต่น้อย
“พี่สาวครับ.. ผมหิวข้าว”
ก่อนที่จะมีน้ำเสียงนั้นคุ้นเคยนั้นดังแทรกเสียงเคาะประตูเข้ามา เธอจำได้ดีว่านั่นเป็นเสียงของโชกุนน้องชายคนเล็กของบ้าน
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“พี่สาวครับ.. ผมหิวข้าวแล้ว”
จัสมินมองไปที่ประตูนั้นด้วยความรู้สึกที่แน่นอกจนบอกไม่ถูก คล้ายกับว่าเธอกำลังหลงลืมอะไรไปบางอย่าง ก่อนที่เธอจะหันไปมองรูปของผู้เป็นแม่อีกครั้ง
“แม่คะ หนูจะต้องทำยังไงต่อไป”
เธอหันไปถามรูปนั้นด้วยความรู้สึกของคนที่ต้องการที่พึ่ง ก่อนจะฟุบหน้าลงกับที่นอนอีกครั้งพร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“พี่สาว..”