ขณะที่ตันหยงกำลังชื่นชมกำไลหยกอย่างเพลิดเพลิน อยู่ ๆ อาการเจ็บหน้าอกรุนแรงคล้ายมีอะไรมาบีบรัดก็มาเล่นงานเธออีกครั้ง ซึ่งช่วงนี้เธอมักจะเป็นแบบนี้อยู่บ่อย ๆ โดยเจ็บที่อกด้านซ้ายอาจร้าวไปถึงขากรรไกรและแขนซ้าย เจ็บนานเกือบ 15 นาที จนเหงื่อเริ่มแตกและมีอาการคลื่นไส้ หายใจลำบากบางครั้งก็มีอาการหน้ามืดร่วมด้วย
"ซี๊ดดด อ่าา ทะ..ทำไมครั้งนี้"
โคร้มมม
สวี่ตันหยงไม่อาจทนต่อการบีบรัดที่รุนแรงกว่าทุกครั้งได้ เธอพยายามพาร่างอันไร้เรี่ยวแรงเดินไปที่กระเป๋า เพื่อจะหยิบโทรศัพท์มือถือแต่ก็ไม่เป็นผล ระหว่างนั้นเองทำให้เธอได้เห็นและได้ยินในสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ นั่นจึงทำให้สวี่ตันหยงได้ตระหนักรู้ว่านี่คือช่วงเวลาสุดท้ายของเธอแล้ว
"อดทนหน่อยเถิด ผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปเจ้าก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ในฐานะคุณหนูสวี่ หรือคุณนายเจียง กาลเวลานี้เจ้ายังเอาชนะใจเขาได้ แล้วเหตุใดเจ้าจะทำให้เขายอมจำนนต่อเจ้าอีกครั้งไม่ได้"
"..."
สวี่ตันหยงที่ไม่สามารถขยับตัวได้ เธอนอนแน่นิ่งและฟังสิ่งที่ชายชราชุดขาวที่ไม่รู้ว่าเข้ามาอยู่ในห้องของเธอได้ยังไง พูดโดยไม่อาจถามอะไรได้
"มีบางสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้ แต่ข้าบอกได้เลยว่าเขาคนนั้นไม่ได้ผิดต่อเจ้า แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว เวลาของเจ้า ณ กาลเวลานี้ได้หมดลงแล้ว แต่เราผู้เฒ่าจะให้โอกาสเจ้าได้ใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้าได้สร้างบุญใหญ่ให้ชีวิตใหม่ ให้การศึกษากับคนที่ยากไร้"
"..."
"กำไรที่เจ้าสวมใส่จะเป็นมิติในการเปิดใช้สิ่งของของเจ้า เมื่อไปถึงที่นั่น ความทรงจำและเรื่องราวต่าง ๆ ของคุณหนูสวี่จะเข้ามาเติมเต็มให้เจ้าได้เรียนรู้ทั้งหมด"
"..."
"จำไว้ว่าเจ้าต้องลดทิฐิลงถึงจะมองเห็นความจริง เมื่อถึงเวลาเจ้าจะได้รู้สิ่งที่เจียงสือเทียนปกปิดเอาไว้ เจ้าจะได้รู้ว่าเขาคนนั้นไม่เคยทิ้งเจ้าไปไหน หลับตาแล้วทำใจให้สบายเถิด ถึงเวลาที่เจ้าต้องเดินทางไกลแล้ว"
ดวงตาคู่งามค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ อะไรคือเขาไม่เคยทำผิดต่อเธอ อะไรคือเขาไม่เคยทิ้งเธอไปไหน หลายสิ่งที่เธออยากรู้ในตอนนี้คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม หากเธอยังมีวาสนาอยู่ ยังดีที่เธอได้ทำพินัยกรรมเอาไว้แล้ว
สัปดาห์ต่อมา
ข่าวการเสียชีวิตของนักธุรกิจสาวถูกพาดหัวข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อโซเชียลทุกแขนง หลังการชันสูตร ทนายประจำตัวของสวี่ตันหยงได้ทำการเปิดพินัยกรรมของเธอ
เงินที่ได้จากการขายหุ้นในบริษัทเธอได้บริจาคให้กับบ้านเด็กกำพร้าหลายแห่ง ส่วนเงินสดในบัญชีส่วนใหญ่เธอบริจาคให้บ้านพักคนชรา เหลือไว้เพียง 1 ล้านหยวนที่เธอยกให้ลู่ฟางหนิงผู้ช่วยของเธอ
เช่นเดียวกับรถยนต์และข้าวของเครื่องใช้ของเธอทั้งหมด เธอก็ยกให้ลู่ฟางหนิงเป็นคนจัดการได้ตามต้องการ ทว่าข่าวการจากไปของเธอกลับทำให้ใครบางคนแทบอยากตายตามไปด้วย เจียงสือเทียนตรอมใจหนักจนอาการทรุดลงในเวลาไม่นาน
บ้านสกุลเจียง เดือน 8 ปี 1984 ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
"นิ..นี่ที่ไหนกัน อย่าบอกนะว่า...โอ๊ย ปวดหัว ทำไมถึงปวดขนาดนี้ นี่มันความทรงจำของร่างนี้อย่างนั้นเหรอ"
สวี่ตันหยงลืมตาตื่นขึ้นมาก็ต้องแปลกใจกับสถานที่ที่เธออยู่ ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน แต่การออกแบบและตกแต่งบ่งบอกได้ชัดว่าโบราณและคร่ำครึกว่าที่ที่เธอเคยอยู่มากนัก
ไม่ทันที่เธอจะได้สำรวจห้องหับและเสื้อผ้าที่เธอกำลังสวมใส่ อยู่ ๆ ก็มีภาพความทรงจำมากมายวิ่งเข้ามาอยู่ในหัวของเธอ หนำซ้ำผู้หญิงคนนั้นยังมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเธอ ชื่อเดียวกับเธอ เพียงแต่เป็นช่วงอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"คุณนายคะ ป้าขอเข้าไปนะคะ"
แอ๊ดดด
"..."
"ตายแล้ว! คุณนายเป็นอะไรรึเปล่าคะ ทำไมไปนั่งอยู่ที่พื้นแบบนั้น มาค่ะเดี๋ยวป้าช่วยเอง ฟางหนิงมาช่วยแม่พยุงคุณนายเร็วเข้า"
"จ้ะแม่"
"ป้าลั่ว! ฟางหนิง! ทั้งสองคนอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?"
สวี่ตันหยงหันมองหน้าผู้มาใหม่อย่างไม่เชื่อสายตา ป้าลั่วที่เธอรู้จักก็คือแม่บ้านที่บ้านเด็กกำพร้า แต่เหตุการณ์ตรงหน้า ป้าลั่วกับฟางหนิงผู้ช่วยของเธอกลับกลายมาเป็นแม่ลูกกัน หรือว่าเธอเดินทางข้ามกาลเวลามาแล้วอย่างที่ชายชราคนนั้นบอกจริง ๆ หรือ
"คุณนายพูดอะไรแบบนั้นคะ ป้ากับลูกก็ต้องอยู่ที่นี่อยู่แล้วสิคะ มาค่ะเดี๋ยวป้าช่วย"
ป้าลั่วกับลูกสาวช่วยกันพยุงตันหยงขึ้นจากพื้น เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมกับเรียบเรียงความทรงจำและเรื่องราวที่เธอได้อ่าน จึงสรุปใจความได้ว่าตันหยงแต่งเข้าบ้านเจียงได้เกือบ 1 ปีแล้ว แต่เธอกับสามีก็ยังแยกห้องนอนกัน
ผู้ชายปากหนักคนนั้นไม่ยอมแตะต้องเธอ สิ่งที่เขาทำมีเพียงการทำตามคำขอของสวี่หลิวหยาง ผู้เป็นบิดาของเธอ และเป็นพี่ชายร่วมสาบานของเขา ตั้งแต่แต่งงานเข้ามาตันหยงทำหน้าที่ภรรยาอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ได้กลับมาเพียงความเฉยชาเท่านั้น
"ขอบคุณค่ะป้า ขอบใจมากนะฟางหนิง"
"เอ่อ ค่ะคุณนาย ว่าแต่เช้านี้คุณนายจะรับข้าวเช้าที่ไหนดีคะ หรือจะให้คุณโม่มาก่อนค่อยรับพร้อมกัน"
เด็กสาววัยแรกแย้มเอ่ยถามเจ้านายของมารดา เพื่อจะได้จัดเตรียมทุกอย่างถูก ทั้งที่คนอื่นก็มองออกหมดว่าโม่หนิงฮวาไม่ได้จริงใจต่อตันหยงเลยสักนิด แต่ไม่รู้เหตุใดเจ้าตัวจึงไม่รู้ตัวเสียที
"โม่หนิงฮวาอย่างนั้นเหรอ หึ คงต้องถึงเวลาที่ฉันจะจัดการกับเพื่อนตัวร้ายอย่างเธอสักทีสินะ"
ป้าลั่วกับลูกสาวมองดูใบหน้าของคุณนายที่มีรอยยิ้มเหี้ยมจนน่าตกใจ วันนี้ช่างมีแต่เรื่องให้น่าแปลกใจยิ่งนัก
"อึก"
"..."
"เตรียมวัตถุดิบไว้เลย ต่อไปนี้ฉันจะเข้าครัวทำกินเอง"
"แต่คุณนายเคยบอกว่า....เอ่อ"
"บอกว่าอะไรฟางหนิง?"
"ก็ตั้งแต่คุณนายเข้าครัวทำอาหารให้นายท่านแล้วนายท่านไม่...เอ่อ ไม่"
"ไม่กิน!"
"ค่ะ ตั้งแต่นั้นมาคุณนายบอกว่าจะไม่เข้าครัวอีก"
"หึ เด็กน้อยเอ๋ยเด็กน้อย คงเห็นความรักเป็นใหญ่สินะ ฟางหนิงต่อไปนี้เธอจำเอาไว้ เธอต้องลบเรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันออกไปให้หมด เรามาเรียนรู้กันใหม่ ต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้วสวี่ตันหยงหัวอ่อนคนเก่า มีแต่สวี่ตันหยงหญิงแกร่งที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกอย่าง"
สองคนแม่ลูกที่ได้ยินแบบนั้นแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ฟัง นี่คุณนายทำใจกับความเฉยชาของนายท่านได้แล้วอย่างนั้นเหรอ ทั้งที่ผ่านมาเพิ่งร้องห่มร้องไห้และยอมทำทุกอย่างที่สามารถเรียกร้องความสนใจจากนายท่านได้อยู่เลย
"..." "..."
"อ้าว เงียบกันไปหมดเลย เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันขออาบน้ำก่อน เสร็จแล้วจะรีบตามลงไปนะคะป้า"
"ค่ะ ค่ะคุณนาย ถ้าอย่างนั้นให้ฟางหนิงอยู่ดูแลคุณนายนะคะ เดี๋ยวป้าจะลงไปเตรียมวัตถุดิบไว้รอนะคะ"
"ไม่เป็นไรค่ะป้า ฟางหนิงลงไปช่วยป้าลั่วเถอะ ฉันจัดการตัวเองได้"
"ค่ะคุณนาย"
หลังจากที่สองแม่ลูกเดินออกไป ตันหยงก็รีบเดินไปปิดล็อกประตูอย่างแน่นหนา ก่อนจะเดินสำรวจดูเสื้อผ้าของคุณหนูสวี่คนนี้
แอดดด
"อื้อหือ.. จืดชืดไร้สีสัน เปลี่ยน ฉันต้องเปลี่ยนใหม่หมดทั้งตู้"