การสูญเสียที่เกิดการเปลี่ยนแปลง

1723 Words
การสูญเสียที่เกิดการเปลี่ยนแปลง บ้านสวนหลังงามริมทะเลหัวหินขนาดพองามด้วยเพราะต้นไม้ที่อยู่รอบ ๆ ที่โอบล้อมบ้านหลังนี้ทำให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะต้นดอกแก้วที่มีอยู่มาก มันกำลังบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมไปทั่วบ้านและอาณาบริเวณ สัญลักษณ์ของบ้านหลังนี้ก็คงหนีไม่พ้นต้นดอกแก้ว.. ด้านหลังบ้านมองเห็นน้ำทะเลสีครามที่กำลังสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเช้า ได้ยินเสียงคลื่นที่กระทบชายฝั่งเป็นระลอก ลมทะเลที่พัดพากลิ่นอายทะเลยามเช้าสร้างความเพลิดเพลินอย่างน่าหลงใหล แต่บ้านหลังนี้กำลังขาดซึ่งความสุขเพราะเจ้าของบ้านได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว  ทิ้งไว้เพียงลูกสาวแสนสวยที่กำลังเข้าสู่วัยสาว ลูกจันทร์จันทราบริพัคย์จากโลกนี้ไปด้วยโรคธาลัสซีเมีย  เธอรักษาโรคนี้มาหลายปี เธอรู้ว่าตนเองเป็นโรคนี้หลังจากที่คลอดลูกสาวแล้ว แต่เธอก็ยังโชคดีที่ลูกสาวไม่เป็นโรคนี้ ทั้งที่เป็นโรคทางพันธุกรรม หลังจากเธอรู้ว่าตนเองเป็นโรคนี้เธอก็รักษาตัวเองมาตลอด แต่เมื่อร่างกายไม่สามารถที่จะรับไหว  ทำให้เธอต้องทิ้งลูกสาวคนสวยให้อยู่ลำพังทั้งที่ใจไม่ปรารถนา “ .....นาริ นาริ อยู่ไหมลูก....” เบญญาดาอัศวภูมินหญิงวัยกลางคนที่เธอจัดว่ายังสาวทั้งที่เธอมีลูกแล้วถึงสองคน วันนี้เธอมาหาลูกสาวของลูกจันทร์เพื่อนรัก ที่เธอเพิ่งจากโลกนี้และลูกสาวไปได้ไม่ถึงอาทิตย์ด้วยเพราะเพื่อนรักรู้ว่าตนเองคงอดทนต่อสู้กับโรคนี้ไม่ไหว จึงฝากฝังลูกสาวให้เพื่อนรักที่ไว้ใจที่สุดช่วยดูแล “ป้าเบญ....” นาริเดินออกจากบ้านมาด้วยอาการตกใจ เธอออกจะงง ๆ กับการมาของเบญญาดาในครั้งนี้ ในทุกปีเบญญาดาจะมาพักกันที่อ่าวมะนาวเพื่อเจอเพื่อนรักและพาลูกมาพักผ่อนแต่นี่ยังไม่ถึงช่วงที่เบญญาดาจะมาทำให้นาริออกจะแปลกใจ เบญญาดามองสาวน้อยตรงหน้าด้วยรอยยิ้มเธอเป็นสาวน้อยที่นิสัยดี ผิวพรรณของเธอดูก็รู้ว่าไม่ใช่ลูกสาวชาวบ้านธรรมดา อาจเป็นเพราะเธอเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น ทำให้เธอดูขาวมากแต่ขาวเหลือง ตัวเล็ก ๆ เหมือนตุ๊กตา ยิ่งแววตาของเธอที่ดูมีเสน่ห์ ตาเธอหวาน ยิ่งเวลายิ้มยิ่งน่าหลงใหลใบหน้ารูปไข่ที่รับกับเรียวปากและจมูก ทำให้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอสวยและเป็นที่ต้องตาต้องใจของทุกคนที่พบเจอ แต่การแต่งตัวของเธอช่างขัดใจเบญญาดาซะเหลือเกิน เจอเธอกี่ปีก็จะใส่เสื้อเชิ้ตพับแขนหรือไม่ก็เสื้อยืดกับกางเกงยีนเก่า ๆ ขาด ๆ หาความเป็นผู้หญิงไม่เจอ ทั้งที่หน้าตาออกจะหวานบาดใจเสียขนาดนี้ “ดีใจจังที่เจอหนู ป้าขอโทษนะที่งานศพแม่หนูป้าไม่ได้มาร่วมงาน ป้าเพิ่งรู้จากเด็กในบ้านหลังจากที่กลับมาจากญี่ปุ่น” “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ป้าเบญเชิญด้านในก่อนนะคะ” นาริเดินเลี่ยงไปรินน้ำให้กับแขกที่มาเยือนบ้าน “ไม่เป็นอะไรได้ไง  แล้วนี่หนูอยู่กับใคร อยู่คนเดียวเหรอ” เบญญาดาใช้สายตามองสำรวจเข้าไปในบ้านหลังเล็ก ๆ อย่างตั้งใจ ภายในบ้านข้าวของถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบดูสะอาดตา  เป็นแบบนี้เสมอเช่นเดียวกับที่เบญญาดาประสบพบเจอมาทุกปีบ้านหลังนี้เคยมีคนอยู่สองคนแม่ลูก นาริเป็นเด็กขาดพ่อ พ่อของเธอโดนยิงเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังไม่เกิด ที่พึ่งที่นาริมีคงมีเพียงแม่เท่านั้นมาเสมอ “........” “ป้าไม่น่าถาม วันนี้ป้าก็ตั้งใจว่าจะมารับหนูไปอยู่ด้วย” “รับไปอยู่ด้วย....” เธอออกจะตกใจจนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำไมล่ะคะ.....ริอยู่ได้ ป้าเบญอย่าลำบากเลย” “ป้าไม่ลำบากหรอก หนูก็เหมือนลูกสาวป้าคนหนึ่ง อีกอย่างตอนลูกจันทร์ป่วยเขาก็ฝากหนูเอาไว้กับป้า เชื่อป้าเถอะนะ” คำพูดของเบญญาดาทำให้นาริหวนคิดถึงบุคคลผู้เป็นแม่ของตนเอง ก่อนแม่ของเธอจะสิ้นใจ บอกกับเธอเอาไว้อย่างแม่นยำ ขอให้เธอเชื่อฟังเบญญาดา เธอเองก็ไม่รู้เหตุผลของผู้เป็นแม่  “แต่ริโตแล้วนะคะ ริว่าริดูแลตัวเองได้ ไม่อยากให้ลำบากป้าเบญ” “อย่าคิดแบบนั้น แม่เราฝากหนูเอาไว้กับป้า ถ้าหนูเป็นอะไรขึ้นมาป้าคงเสียใจมาก” “......” “เอาอย่างนี้ละกัน...” เบญญาดาคิดว่าคงต้องใช้ไม้สุดท้าย เธอควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า “จดหมายฉบับนี้แม่หนูเขียนส่งมาหาป้าเมื่อสามอาทิตย์ก่อน ตอนแรกที่ป้าอ่านป้าก็ตกใจ แม่หนูคงรับกับโรคนี้ไม่ไหวจริง ๆ และแม่หนูก็คงไม่อยากทิ้งหนูให้อยู่ลำพัง....” .....เบญญาดาเพื่อนรัก หากวันหนึ่งที่ฉันไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ได้โปรดเธอช่วยรับนาริไปอยู่ด้วยเถอะนะ ฉันคงนอนตายตาไม่หลับถ้ารู้ว่าลูกสาวของฉันต้องอยู่เพียงลำพัง นาริเป็นเด็กนิสัยดี ภายนอกลูกสาวของฉันอาจดูเข้มแข็ง แต่ที่จริงแล้วบอบบางนัก ได้โปรดเธอช่วยดูแลนาริแทนฉันที..... ทุกตัวอักษร ลายมือที่บรรจงเขียนด้วยหมึกปากกาสีดำเข้ม เธอจำได้ดีว่าเป็นลายมือของผู้เป็นแม่  เป็นตัวอักษรที่แม่เธอเคยใช้สอนการบ้านเธออยู่เป็นประจำ เป็นคำขอร้อง เป็นสิ่งสุดท้ายที่แม่ของเธอต้องการ “ไปอยู่กับป้าเถอะนะ คิดเสียว่าเห็นแก่แม่ของหนูก็ได้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องลำบากสำหรับป้า ให้มีหนูอีกสิบคนป้าก็เลี้ยงไหว ป้า...” “ริจะไปค่ะ”ยังไม่ทันที่เบญญาดาจะพูดจบนาริก็พูดแทรกขึ้น คำตกลงของนาริทำให้เบญญาดายิ้มแป้น เธอเองรักและเอ็นดูสาวน้อยคนนี้ ไม่ต่างไปจากลูกสาวของตนเองดังนั้นเธอจึงยินดีที่จะมีลูกสาวที่น่ารักเพิ่มอีกหนึ่งคน “แต่มีข้อแม้ว่า.... ริขอทำงานแลกเปลี่ยนการที่จะไปอยู่ฟรี ๆ นะคะ” “โอเคจ้ะ” นาริตัดสินใจจะเดินทางไปกรุงเทพฯ ภายในเย็นวันนั้นเพราะไม่อยากให้เบญญาดาเสียเวลาเดินทางกลับไปกลับมา  แต่ก่อนที่เธอจะไปเธอจึงไปลาเพื่อนรักก่อน ศรุวัจฒ์เป็นเพื่อนที่อยู่บ้านไม่ไกลกันนัก เธอและศรุวัจฒ์รู้จักกันตั้งแต่เด็ก ๆ เพียงแต่ศรุวัจฒ์มีฐานะที่ดีกว่าพ่อของเขาได้ชื่อว่าเป็นผู้กว้างขวางของที่นี่ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาคือเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างเธอเสมอ ไม่ว่าเธอจะเจอปัญหาใด ๆ ศรุวัจฒ์จะไม่เคยเดินหนี หลายครั้งที่แฟนของเขาโกรธกับความห่วงใยที่มีให้นาริมากเกินไป “..วัจฒ์จะไปไหน” นาริตะโกนหาเพื่อนที่กำลังจะเดินไปอีกด้าน “อ้าว... กำลังจะไปหาอยู่พอดีเลย มาหาที่บ้านมีอะไรเหรอ” “....คือ.....  เอ่อ.....”  นาริไม่กล้าที่จะพูดขึ้นมากะทันหันทั้งที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแล้วสำหรับการจากลาครั้งนี้ “แม่...  แม่เขาอยากให้ฉันไปอยู่กับป้าเบญ แม่ไม่อยากให้ฉันอยู่คนเดียว” ศรุวัจฒ์นิ่งไปอึดใจ ก่อนจะระบายยิ้มจาง ๆ ให้เพื่อนด้วยความจริงใจ “ก็ดีแล้วนี่ แกเองก็เป็นผู้หญิงฉันเห็นด้วยที่แกจะไปอยู่กับป้าเบญ ป้าเบญรักแกมาก ดีแล้วแกจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ว่าแต่จะไปเมื่อไหร่” “วันนี้....” ศรุวัจฒ์ใจหายขึ้นมาทันทีกับประโยคที่เขาได้ฟัง แม้จะยินดีที่เพื่อนจะได้ไปอยู่กับคนดี ๆ และได้มีอนาคตที่ดีขึ้น แต่การจากลากันอย่างกะทันหันก็ทำให้เขาใจเสีย “เอาไว้ป้องกันตัว” ศรุวัจฒ์ยื่นมีดพกที่เขารักมากให้กับหญิงสาว นาริจำได้ดีตอนเรียนม.ปลายมีดเล่มนี้ศรุวัจฒ์เก็บเงินเป็นปีกว่าจะซื้อได้ เขาไม่ยอมขอเงินพ่อทั้งที่ขอได้เขาต้องทำงานพิเศษอยู่หลายเดือนกว่าจะได้มาเป็นของตนเอง “แกรักมีดเล่มนี้มากไม่ใช่เหรอ” นาริไม่ยอมรับมีดจากเพื่อนจะให้รับได้อย่างไรในเมื่อนี่คือของที่เพื่อนรักใฝ่ฝันที่จะได้มาครอบครอง  “แต่ก็รักไม่เท่าชีวิตแกหรอกเพื่อน” เขายัดมีดไว้ในมือเพื่อน คงไม่มีอะไรสำคัญเท่ามิตรภาพ  วันเวลาที่คบกันมาหลายปี เรียนที่เดียวกัน อยู่บ้านใกล้กัน และเรียนจบพร้อมกัน มันเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีว่า ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าเพื่อน “แล้วไปลาออกจากโรงเรียนสอนรำไทยยัง” เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านาริทำงานพิเศษสอนรำไทยให้โรงเรียนนาฏศิลป์แห่งหนึ่งอยู่  นาริอาจจะเป็นผู้หญิงที่ห้าว ๆ ดูคล้ายผู้ชาย แต่เธอมีความสามารถในเรื่องการรำอย่างอัศจรรย์ใจ อ่อนช้อยราวกับคนละคน ทุกครั้งที่ศรุวัจฒ์เห็นนาริรำไทยเขาจะรู้สึกเหมือนกับอยู่คนละโลกเลยทีเดียว “เรียบร้อยแล้ว....   แต่ไม่ได้บอกน้อง ๆ เลย ไม่รู้จะโกรธฉันหรือเปล่า” “เอาไว้ถ้ามีใครมาถามฉันจะบอกให้ละกัน” ศรุวัจฒ์ยิ้ม ต้องมีคนที่โกรธนาริอยู่แล้ว นาริอายุน้อย แต่ด้วยฝีมือการรำที่ดีเยี่ยมโรงเรียนนาฏศิลป์จึงมาติดต่อเธอให้ไปช่วยสอน และเด็กในโรงเรียนก็ติดเธอเพราะเธอใจดีและสอนเข้าใจง่ายและอีกอย่างคือเวลาที่นาริไม่ได้สอนรำนาริจะกลับมาเป็นสาวห้าวที่หล่อมากในสายตาสาว ๆ ที่เรียนรำไทย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD