(Season 1) : เป้าหมายในการมีชีวิตของภาคิน
บทที่1: เป้าหมายในการมีชีวิตของภาคิน
"เธอดูนั่นๆ นั่นภาคินไม่ใช่เหรอ...?"
“ตายแล้วใช่จริงๆด้วย เห้อ..แต่ว่าก็ว่าเหอะชีวิตคนเรา ใครจะคิด..ว่าคนอย่างเขาจะมีวันนี้ด้วย?”
"ชู่วๆอย่าเสียงดังไป เดี๋ยวเขาก็ได้ยินเหรอก”
“แล้วจะกลัวอะไรละ ตอนนี้เขาไม่ใช่ภาคินคนเดิมแล้ว ดูสภาพตอนนี้สิแทบไม่ต่างจากขอทานเลยด้วยซ้ำ”
…
เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นตลอดเส้นทาง เมื่อพวกเขาเหลือบมองไปเห็นร่างโทรมๆของเด็กหนุ่มวัย16หรือ 'ภาคิน'
ที่ตอนนี้กำลังเดินโซซัดโซเซ เก็บเศษขยะอยู่ข้างทางราวกับขอทานจริงๆ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏตอนนี้มันช่างเป็นภาพที่แปลกตา และแตกต่างไปจากภาคินในอดีตที่หลายๆคนเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง
เนื่องจากภาคินในอดีตเคยมีฐานะค่อนข้างดี เพราะครอบครัวประกอบธุระกิจเกี่ยวกับโรงแรม หรือพูดง่ายๆก็คือครอบครัวเขาเปิดโรงแรม ดังนั้นมันเลยทำให้ภาคินที่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น สนุกสนานไปกับการใช้ชีวิตและเงินที่ได้มาอย่างง่ายๆ มีกินมีใช้ไม่เคยขาดมือ
แต่ในขณะที่เขากำลังสนุกสนานอยู่กับการใช้ชีวิตในแบบเดิมๆและแสนฟุ่มเฟือยอยู่นั้น เขากลับไม่มีโอกาสได้รู้ชะตากรรมของตัวเองเลยว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ชีวิตที่เต็มไปด้วยทุกๆสิ่งทุกๆอย่างของเขา.. กำลังจะพังทะลายลง
และแล้ววันที่เปลี่ยนชีวิตก็มาถึง เมื่อพ่อและแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในคืนวันนั้นภาคินยังจำได้อย่างแม่นยำเลยว่า มันไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน แต่มันเป็นการฆาตกรรมต่างหาก เพราะเส้นทางที่พ่อและแม่ของเขาเลือกใช้ตอนกลับบ้าน มันเป็นถนนเส้นตรงที่ไม่มีโค้งอันตรายใดๆเลย และในสถานที่เกิดเหตุ รอยล้อรถยนต์กลับดูแปลกออกไป เพราะหากดูจากร่องรอยของล้อรถแล้ว..
มันดูเหมือนกับว่าคนขับ หรือผู้เป็นพ่อตั้งใจจะหักหลบอะไรบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งมันดูผิดปกติเป็นอย่างมาก และที่สำคัญสายเบรคก็ดูเหมือนจะถูกตัดอีกด้วย แต่ทว่าน่าแปลก..มันกลับไม่มีใครหยิบยกเอาเรื่องๆนี้ขึ้นมาพูดเลย และที่สำคัญข่าวการเสียชีวิตของทั้งคู่
กลับไม่ได้ถูกเปิดเผยออกไป เหมือนมีใครบางคนตั้งใจปกปิดข่าวนี้เอาไว้ และนี้จึงทำให้ภาคินมั่นใจแล้วว่าเรื่องๆนี้ จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
…
และหลังจากทั้งคู่เสียชีวิตได้เพียงไม่กี่วัน ทนายประจำตระกูลที่ผู้เป็นพ่อและแม่ได้จ้างวานเอาไว้ ก็เดินทางมาที่บ้านเพื่อส่งมอบพินัยกรรม โดยในพินัยกรรมได้ถูกระบุเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า หากพวกเขาเสียชีวิตไปทรัพย์สมบัติทั้งหมด รวมไปถึงกิจการที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมจะตกเป็นของลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขาเท่านั้น
พินัยกรรมที่ปรากฏดูเหมือนรวบรัด ชัดเจนง่ายต่อการจัดการ แต่ท้ายที่สุดแล้ว..มันกลับไม่ง่ายเหมือนที่คิดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย เพราะภาคินในตอนนี้มีอายุเพียงแค่13ปี ซึ่งมันยังไม่ถึงเกณฑ์ที่กฏหมายกำหนดเอาไว้ ดังนั้นสมบัติทุกๆอย่างที่อยู่ในพินัยกรรมจึงตกไปอยู่ในการดูแลของญาติแทนชั่วคราว
และญาติที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็มีเพียงคนเดียว ก็คืออาของเขาที่มีชื่อว่าพล ดังนั้นสมบัติทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในพินัยกรรมจึงตกไปอยู่ในความดูแลของพลชั่วคราว จนกว่าภาคินจะมีอายุครบ18ปีบริบูรณ์ หรือมีวุฒิภาวะที่เพียงพอตามกฏหมายแล้ว
และในตอนนี้มันก็ผ่านมาถึงสามปีเต็มๆ นับจากวันที่พ่อและแม่เสียชีวิต ดังนั้นในตอนนี้ภาคินจึงมีอายุ 16 ปีแล้ว แต่ทว่า..ในช่วงระยะเวลาสามปีที่เลยผ่าน ภาคินกลับไม่เคยได้รับความสนใจใดๆจากอาแท้ๆของเขาเลย
แม้แต่บ้านที่เขาเคยอยู่อาศัย ยังถูกคนในครอบครัวของอาหรือญาติแท้ๆของตัวเอง ไล่ออกมาเหมือนหมู เหมือนหมา แม้ภาคินจะไปฟ้องร้อง แจ้งความ หรือแม้แต่จ้างทนายทุกอย่างมันก็ไร้ผล เพราะเรื่องที่ส่งไปล้วนเงียบหายเหมือนก้อนหินก้อนน้อยๆที่ถูกโยนลงสู่ห้วงทะเลลึก เพราะมันไม่มีใครเลยที่ยากจะช่วยเหลือเขาที่เป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น
แล้วที่สำคัญเด็กอายุ13ปีที่เอาแต่ใจมาตลอดอย่างเขา จะเอาอะไรไปสู้กับเลห์เหลี่ยมอันแพรวพราวของอาตัวเองได้
อาของเขารู้จักคนใหญ่คนโตในพื้นที่มากมาย มีทั้งเส้นสาย มีทั้งเงินทอง ดังนั้นเขาในตอนนี้จึงถูกต้อนให้กลายมาเป็นเพียงเด็กเก็บขยะจนๆคนหนึ่ง ที่อาศัยเก็บเศษขยะขายไปวันๆ เพียงเพื่อประทังชีวิตตัวเองเท่านั้น
"เราน่าจะเชื่อฟังคำสอนของพ่อกับแม่ ที่ผ่านมาเรามัวทำอะไรอยู่.. เรามัวทำอะไรอยู่ฮื้อๆ"
ภาคินในตอนนี้นึกสมเพชตัวเองมาก เพราะในอดีตพ่อกับแม่ล้วนพร่ำสอนอยู่เสมอมา ว่าให้เก็บออม อย่าทำตัวเหลวไหล เพราะในวันข้างหน้าหากพวกท่านจากไปแล้วจะได้ไม่ลำบาก แต่เขาก็ไม่เคยใส่ใจกับคำพูดหวังดีเหล่านั้นเลย แถมยังตะคอกด่ากลับไปอีกด้วย พอคิดถึงฉากนั้นขึ้นมาทีไร ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอย่างอ่อนแรง
ภาพของเด็กวัย16 กับถุงผ้าเก่าๆ กำลังนั่งพิงถังขยะและร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด มันช่างเป็นภาพที่น่าสงสาร และสร้างความเห็นอกเห็นใจให้แก่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเป็นอย่างมาก ภาคินในตอนนี้รู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยว จากที่เคยมีพ่อแม่ให้การอบรมสั่งสอน มีพ่อแม่ที่คอยห่วงใย แต่ตอนนี้กลับไม่มีพวกท่านอีกแล้ว
ภาพของคุณแม่ที่กำลังเข้าครัวเพื่อทำอาหารให้ทาน ในครั้นเพิ่งกลับจากโรงเรียน ภาพของคุณแม่ที่ร้องไห้ออกมา เพียงเพราะรอยถลอกเล็กๆที่หัวเข่าเมื่อยามที่เขาหกล้ม ภาพต่างๆเหล่านั้นยังปรากฏขึ้นซ้ำๆ ในขณะที่ภาคินในตอนนี้ทำได้เพียงก้มมองดูแขน และขาของตัวเองซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย
แต่ทว่าคนที่จะร้องไห้และรีบวิ่งเข้ามาสวมกอด ในทุกๆครั้งที่เขามีแผล พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
นั้น..มันคงไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้วจริงๆ…
"ผมเหงาเหลือเกินพ่อครับ.. แม่ครับ.. ผมรักและคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกินฮื้อๆ"
คำพูดที่ไม่มีวันส่งไปถึงบุคคลอันเป็นที่รัก ดังออกมาอย่างแผ่วเบา ในขณะที่เขาทำได้เพียงนั่งพิงถังขยะอยู่ทั้งวัน จนแสงแดดเริ่มจางหายไป และความมืดก็เริ่มเข้ามาแทนที่อีกครั้ง
...
อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็หางานทำเหมือนเด็กทั่วๆไป ทำงานรับจ้างทุกๆอย่างที่พอทำไหว แต่เขาก็ต้องถูกไล่ออกอยู่บ่อยครั้ง เพราะอาของเขาได้ส่งคนมาคอยกดดันเจ้าของกิจการอยู่เสมอๆ มันจึงทำให้ภาคินในตอนนี้ไม่ทางเลือกใดเลย นอกจากต้องมาหาเศษขยะขาย เพื่อประทังชีวิตน้อยๆต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะน่าอับอายและเหนื่อยล้าแค่ไหนก็ตาม
และแล้วเวลาก็ผ่านเลยไป เวลา22.42 น.
วี๊ดดดด..
สายลมหนาวยามคำคืนเริ่มพัดผ่าน ทำให้เด็กน้อยวัย16ปี ที่นอนขดตัวอยู่บนม้านั่งภายในสวนสาธารณะ ตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ ร่างของภาคินในตอนนี้ถูกห่มไว้ด้วยหนังสือพิมพ์กับเศษผ้าเก่าๆ ซึ่งพวกมันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นเลย ส่วนชุดที่ใส่อยู่ก็ล้วนเก่าและขาดจนไม่สามารถต้านลมหนาวได้
แต่ด้วยกำลังใจอันแรงกล้า เขาจึงไม่คิดที่จะยอมแพ้ต่อสิ่งใดๆ เพราะมีเป้าหมายเป็นแรงพลักดัน และเป้าหมายที่ว่าก็คือ 'การแก้แค้น' เพราะเขามั่นใจว่าอาของเขานี้แหละ ที่เป็นคนคิดแผนฆาตกรรมพ่อและแม่ของเขาขึ้นมา ดังนั้นชีวิตของเขาจะอยู่ต่อเพื่อสิ่งนี้เท่านั้น
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่วันกี่เดือนหรืออีกกี่ปี เขาก็จะไม่มีวันลืมความแค้นในครั้งนี้เด็ดขาด เขาจะต้องแก้แค้นให้พ่อและแม่ให้จงได้
…
แต่ในขณะที่ภาคินกำลังนอนอยู่ในสวนสาธารณะอย่างหนาวเหน็บอยู่นั้น ห่างไปไม่ไกลมาก ณ. บ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านคนรวย บ้านหลังนี้ก็คล้ายๆ กับบ้านหลายๆหลังที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ เพราะมันทั้งใหญและดูหรูหราเป็นอย่างมาก และบ้านหลังใหญ่โตที่ดูหรูหราและแสนสวยงามหลังนี้ แท้จริงก็คือบ้านของภาคิน หรือบ้านที่เขากำเนิดและเติบโตขึ้นมานั่นเอง
ภายในชั้นสองของบ้าน..
มีชายคนหนึ่งกำลังนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย และชายคนนี้ก็คือพล หรืออาแท้ๆของภาคินนั่นเอง พลกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับจิบไวน์ราคาแพงอยู่ ส่วนด้านข้างของเขาก็ยังมีคนในชุดสูทสีดำอีกสองคน ซึ่งหากดูจากท่าทางของพวกมันทั้งสองแล้ว พวกมันก็ดูไม่ต่างไปจากบอดี้การ์ดชั้นเลิศ ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเลย
"นี้ก็ผ่านมาสามปีแล้วสิน่ะ..เหลืออีกเพียงแค่สองปี เจ้าเด็กนั่นก็จะมีอายุครบสิบแปดปีแล้ว เราจะไม่มีวันยอมยกสมบัติพวกนี้ให้มันเด็ดขาด" พลบ่นพึมพัมออกมาเบาๆ พร้อมกับจิบไวน์ราคาแพงต่ออย่างอารมณ์ดี...
"พวกแกมีเวลาสองปีในการฆ่าเจ้าเด็กเวรนั่น ทำทุกอย่างให้เรียบร้อยที่สุด อย่าให้พวกตำรวจมันโยงมาถึงตัวฉันได้ และหาก
งานนี้สำเร็จ ฉันยินดีจ่ายเพิ่มให้พวกแกสองคนอีกไม่อั้น..."
“รับทราบครับบอส พวกผมจะทำมันให้ดีที่สุดแน่นอน”
"ใช่แล้วครับบอส วางใจได้เลยว่าเรื่องทั้งหมดที่กำลังจะเกิดนี้ จะไม่มีใครสาวมาถึงตัวบอสได้อย่างแน่นอน"
เมื่อชายทั้งสองได้รับคำสั่ง พวกมันก็รีบเดินตึงๆออกไปจากห้องทันที...
"อย่าโทษผมเลยนะพี่ชาย ในเมื่อพี่ชายร่ำรวยขนาดนี้แท้ๆแต่กลับไม่แบ่งปันให้ผมบ้างเลย ในเมื่อมีเงินแล้วไม่ใช้..ก็สมควรตายๆไปนั่น
เหละดีแล้วละหึๆ"
พลหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย โดยไม่สนเลยว่าแท้จริงแล้วพ่อของภาคินหรือพี่ชายแท้ๆของเขานั้น รักและเป็นห่วงตนเองมากแค่ไหน
พ่อของภาคินพยามผลักดันน้องชายของตัวเองอยู่นาน จนในที่สุดก็สามารถดันให้พล ขึ้นมาอยู่ในระดับผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมได้
ช่วงแรกๆพลก็เป็นเหมือนน้องชายแสนดีทั่วไป แต่พอมีเงินมีอำนาจมีคนนับหน้าถือตา นิสัยเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปยิ่งช่วง
หลังๆพลเข้า-ออก คาสิโนเป็นว่าเล่น และนั้นกฌทำให้เงินของพลหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่พลก็ชอบอ้างนู่นอ้างนี้อยู่เสมอว่าจะเอาเงินไป
ลงทุนๆ และกลับมาขอยืมเงินพ่อของภาคินอยู่บ่อยครั้ง
และมันก็ดำเนินไปอย่างนี้ซ้ำๆ จนสุดท้ายพ่อของภาคินก็ไม่มีเงินที่จะให้น้องชายของเขายืมอีกแล้ว เพราะพลเอาแต่ยืมๆแต่ไม่เคยกลับมาใช้หนี้ของตัวเองเลยซักครั้ง และอีกอย่างค่าใช้จ่ายของโรงแรมก็สูงมากพออยู่แล้ว แล้วนี้ยังต้องแอบเอาเงินเก็บของตัวเองออกมาให้น้องชายยืมอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่แม่ของภาคินก็ไม่รู้
และเมื่อพ่อของภาคินไม่มีเงินเหลือให้ยืมอีกแล้ว พลจึงได้คิดแผนการฆาตกรรมในครั้งนี้ขึ้นมา และมันก็สำเร็จไปด้วยดี เพราะพลในตอนนี้กำลังมีความสุขอยู่กับมรดกก้อนใหญ่ ที่พี่ชายของตัวเองได้ทิ้งเอาไว้ให้หลานชายแท้ๆของเขา และมรดกมกามายที่สมควรจะเป็นของภาคินทั้งหมดนี้ ก็ถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ภาคินไม่ได้รับรู้เลย
กลับมาที่ปัจจุบัน...
"โอ้ยอย่าทำผมเลย ผมกลัวแล้ว!!!!"
ภาคินที่กำลังนอนหลับอยู่บนม้านั่งภายในสวนสาธารณะ อยู่ดีๆก็มีชายสองคนเอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดจมูก และใช้เวลาเพียงไม่นานร่างทีกำลังดิ้นไปมาก็สลบลง และหลังจากผ่านไปไม่รู้ว่าเนิ่นนานแค่ไหน ตาของภาคินที่ถูกปิดมานานก็ค่อยๆลืมตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างช้าๆ
พร้อมๆกับภาพที่ปรากฏออกมาเป็นอย่างแรกเมื่อได้สติก็คือ กรงเหล็กสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ภายในกรงมีเด็กอายุ7-18 อยู่เป็นจำนวนมาก และเด็กมากมายที่ถูกขังอยู่ในกรงนี้ก็ล้วนแต่มีอาการไม่ต่างกันเลย นั่นก็คือทั้งหวาดกลัว สับสน และไร้เรี่ยวแรง
"หวังว่าครั้งนี้มันจะสำเร็จน่ะดอกเตอร์ เพราะช่วงนี้หาตัวเด็กยากเหลือเกิน และอีกอย่าง..หากเราจับเด็กมาเยอะเกินไปก็อาจจะกลายเป็นที่สงสัยเอาได้"
ตอนนี้ด้านหน้าของภาคินมีชายในชุดกาวน์สีขาวอยู่หลายสิบคน พวกเขาค่อยๆพาเด็กๆออกไปจากกรงทีละคนๆ แล้วปล่อยเข้าไปในเครื่องสีขาวขนาดใหญ่ หรืออุปกรณ์ที่มีรูปทรงแปลกๆคนแล้วคนเล่า และหลังจากผ่านไปไม่นานนัก ก็มีคนในชุดกาวน์สีขาวสองคน
เดินเข้ามาในกรงและจับตัวของภาคินออกไป ซึ่งเขาก็พยายามขัดขืนและดิ้นรนอยู่นานแต่สุดท้ายแล้วมันก็ไร้ผล เพราะเด็กอายุ16ปี ไหนเลยจะสู้แรงของผู้ใหญ่สองคนได้
"อย่าดื้อเลยเจ้าหนู มาเป็นหนูทดลองอันมีค่าให้พวกเราดีกว่า.." ว่าแล้วชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของที่นี้ ก็ใช้มีดกรีดไปที่แผ่นหลังของภาคินอย่างโหดเหี้ยม..
"อ๊ากกกกกกกก"
เสียงตะโกนดังลั่นห้อง เพราะเขาไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน แต่พวกมันกลับไม่สนใจเลย นอกจากจะค่อยๆฝังอุปกรณ์บางอย่างลงไปในหลังของเขาอย่างเย็นชา หลังจากนั้นก็ใช้เข็มเย็บปิดบาดแผลเอาไว้อย่างลวกๆ
ความเจ็บปวดในครั้งนี้มันทำให้ภาคินแทบบ้า เหงื่อของเขาได้ไหลออกมาจนเต็มตัวไปหมด และความเจ็บปวดที่เกินจะรับไหว ก็ทำให้แขนและขาที่กำลังดิ้นไปมาถึงกับไร้เรี่ยวแรงทันที
"เอาละฝั่งเครื่องติดตามและตัวส่งสัญญาณเสร็จสิ้นแล้ว เครื่องเหล่านี้จะส่งข้อมูลและที่อยู่ของเด็กๆพวกนี้กลับมา เอาไปเข้าเครื่องทามแมชชีนได้เลย.."
เมื่อคำพูดประโยคนี้ดังขึ้น จึงทำให้หลายๆคนพอจะรับรู้แล้วว่า คนพวกนี้แอบพัฒนาเครื่องทามแมชชีนนี้ขึ้นมาอย่างลับๆ ภายใต้การคุ้มครองของกองทัพ และงบสนับสนุนจากบุคคลระดับสูงของประเทศ โดยเริ่มแรกพวกเขาส่งสิ่งมีชีวิตเช่นหนู หมาหรือแมว ผ่านเครื่องทามแมชชีนนี้ และหลังจากลองผิดลองถูกอยู่นานหลายช่วงอายุคน จนในที่สุดพวกเขาก็ประสบความสำเร็จ เพราะแมวที่พวกเขาส่งออกไปที่อานาคต ได้ถูกส่งกลับมา
แล้วที่สำคัญแมวที่ถูกส่งกลับมานี้ มันแตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพราะบนตัวของมันมีอุปกรณ์บางอย่างที่ในยุคนี้ไม่มีติดตัวมาด้วย และเพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ๆเอง ที่ทำให้พวกเขาก็เริ่มส่งเจ้าหน้าที่ออกไปจับตัวคนเร่ร่อน ขอทาน และเด็กจำนวนมากเพื่อมาทดลอง และภาคินเองก็เป็นหนึ่งในหนูทดลองจำนวนมากมายเหล่านั้นเช่นกัน
"ตรวจสอบและเก็บประวัติหนูทดลองหมายเลข 851 เรียบร้อยแล้ว ทำการส่งตัวไปยังอนาคตได้.."
เมื่อเสียงจักรกลของระบบคอมพิวเตอร์ดังขึ้น เครื่องไทม์แมชชีนก็เริ่มงานของมันทันที สนามพลังงานแม่เหล็กระดับสูง
ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างแรงจนภาคินแทบสิ้นสติ แต่ก็ยังดีที่มีแสงสีฟ้าถูกปล่อยออกมาปกคลุมร่างเอาไว้อย่างหนาแน่นเพื่อปกป้องชีวิตของเขาเอาไว้
แต่ถึงจะมีแสงสีฟ้าคอยปกป้อง แต่มันก็มากเกินไปสำหรับเขาอยู่ดี หลังจากทนรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายอยู่นาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวและสลบลงไปในที่สุด.....