บทที่ 1 ฮอร์โมนวัยแรกรุ่น
“พี่คนนั้นเขาไม่ได้ชอบฉัน ไม่เคยชอบเลย เพราะเขาชอบคนอื่น!”
ประโยคนี้ตอกย้ำฉันมานานหลายปี จนกระทั่งได้เจอกับพี่เขาอีกครั้ง และหัวใจของฉันก็ยังเต้นแรงเหมือนวันแรกที่รู้ตัวว่าชอบพี่เขา
‘พี่เหมันต์’
หลายปีก่อน
“รีบไปโรงเรียนได้แล้วแยมโรล ลูกจะสายแล้วนะ!” เสียงแม่โวยวายขึ้นเมื่อเห็นฉันยังอิดออดใส่ถุงเท้าอยู่
“จ๋าแม่ แยมโรลจะไปตอนนี้แหละ” ฉันตอบกลับแม่ไปพลางสอดเท้าใส่รองเท้านักเรียนรุ่นเจ้าหญิงเบลล์คอลเลกชั่นใหม่เอี่ยม
“แยมโรลไปเรียนแล้วนะแม่ สวัสดีค่ะ” พูดบอกผู้มีพระคุณเสร็จ ฉันก็รีบวิ่งมาที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านทันที รอไม่นานรถเมล์สายที่ผ่านหน้าโรงเรียนก็มาถึง ฉันจึงรีบขึ้นไปจับจองที่ว่างที่พอมีเหลืออยู่
รถเมล์ขับเคลื่อนแบบเอื่อยเฉื่อยมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหน้าโรงเรียนมัธยมศึกษาเอกชนชื่อดังที่ได้ชื่อว่าค่าเทอมแพงหูฉี่ กฎระเบียบไม่เคร่งครัด มีแต่ลูกคุณหนูมาเรียน แต่ทว่าบรรยากาศและสภาพแวดล้อมในโรงเรียนก็ดีแบบสุด ๆ
เมื่อมาถึงโรงเรียนฉันก็รีบลงชื่อเข้าร่วมปฐมนิเทศนักเรียนใหม่ ซึ่งก็คือนักเรียนเกรดเจ็ดและเกรดสิบ แล้วก็เดินเข้ามานั่งในหอประชุมโดมขนาดใหญ่และโคตรอลังการเพื่อรอรับการปฐมนิเทศ
“อยู่ห้องไหนอ่ะ?” คนที่นั่งข้าง ๆ เขยิบเข้ามากระซิบถามฉันด้วยท่าทางอยากตีสนิทด้วย ฉันจึงคลี่ยิ้มบางตอบไปด้วยความประหม่า ปกติฉันเป็นคนขี้อายมาก จึงไม่ค่อยชินเวลาที่มีคนมาคุยหรือทำความรู้จักด้วยในคราแรกที่เจอกัน
“ห้องสองค่ะ”
“ห้องเดียวกันเลย เราชื่อหมิว ตัวชื่ออะไร?” ได้ยินฉันตอบไปแบบนั้นเธอก็ยิ้มร่าตาหยี ดูดีใจไม่น้อยที่เจอเพื่อนห้องเดียวกัน ฉันเองก็ดีใจเหมือนกัน แม้จะรู้สึกประหม่าและเกร็งมากก็ตาม
“เราชื่อแยมโรล”
“ยินดีที่ได้รู้จักตัวนะแยมโรลเพื่อนใหม่ของเรา” หมิวพูดพลางยื่นมือมาตรงหน้าให้ฉันจับ
“อื้อ” ฉันพยักหน้าหงึก ๆ แล้วยื่นมือไปจับมือของหมิวแล้วกระตุกเบา ๆ อย่างทำตัวไม่ถูก ไม่ได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่มานานแล้ว ตอนเรียนประถมศึกษาก็มีแต่เพื่อนหน้าตาเดิม ๆ แทบไม่มีเด็กใหม่เลย
“ว่าแต่ตัวมาเรียนคนเดียวเหมือนเราใช่ป่ะ?”
“เปล่า มากับเพื่อนอีกคน แต่เพื่อนไม่สบายวันนี้เลยไม่ได้มาปฐมนิเทศ” พอนึกถึงคนที่เอ่ยถึงก็อดเสียดายไม่ได้ที่เพื่อนสนิทตั้งแต่ ป.1 ของฉันอย่าง ‘ยาหยี’ ไม่ได้มาปฐมนิเทศด้วยในวันนี้เพราะดันป่วยกะทันหัน
“น่าเสียดายอ่ะ วันเปิดเทอมตัวพาเพื่อนอีกคนมาทำความรู้จักเราด้วยนะ”
ฉันพยักหน้าตอบซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ตรงหน้าเวทีมีคนขึ้นไปกล่าวต้อนรับ บทสนทนาระหว่างเราจึงหยุดถึงแค่ตรงนี้
ขณะนั่งฟังทีชเชอร์กำลังบรรยายเกี่ยวกับกฎระเบียบภายในโรงเรียนอะไรไปเรื่อย ฉันก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองตาจะปิดเพราะง่วงไม่ไหว สายตาของฉันก็ปะทะเข้ากับร่างสูงโปร่งของใครบางคนที่มีออร่าบางอย่างแผ่ซ่านออกมา
เขาดูโตมาก อาจจะเป็นรุ่นพี่ก็ได้ แต่ไม่รู้เกรดอะไร ขณะลอบมองก็เห็นพี่เขายกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายภาพเก็บบรรยากาศการปฐมนิเทศของนักเรียนใหม่ มองจากมุมนี้พี่เขาดูดีจัง แต่หน้าตาดูไม่ค่อยชอบยิ้มเลยอ่ะ ติดเย็นชาด้วย ลุคดูเหมือนพระเอกนิยายที่ฉันชอบอ่านเลยอ่ะ
ขณะที่ทีชเชอร์กำลังพูดอย่างเมามัน จู่ ๆ ไมค์ก็เกิดติด ๆ ดับ ๆ และเสียงสะดุด ทีชเชอร์จึงเดินลงเวทีไปบอกกับพี่คนนั้นด้วยระดับเสียงที่พอให้คนในหอประชุมได้ยินว่าพูดอะไรบ้าง
“พีไอ เดี๋ยวไปห้องโสตฯ ช่วยไปเอาไมค์อันใหม่มาให้ทีชเชอร์หน่อยจ้ะ”
“ครับ”
ขานรับคำทีชเชอร์เสร็จพี่เขาก็เดินออกจากหอประชุมไป โดยมีฉันชะเง้อมองตามหลังอย่างให้ความสนใจ ที่แท้ก็ชื่อ ‘พีไอ’ นี่เอง ชื่อแปลกดีแฮะ ไม่เคยเจอคนชื่อแบบนี้มาก่อนเลย
“พี่เขาหล่อดีเนอะตัวว่าป่ะ”
‘หมิว’ เพื่อนข้าง ๆ ที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อตะกี้นี้ขยับเข้ามากระซิบกับฉัน ทำเอาฉันสะดุ้งตกใจเล็กน้อย
“อืม หล่อดี” ฉันพยักหน้างึกงักอย่างเห็นด้วยกับหมิว คนไม่เคยสนใจผู้ชายคนไหนและเอาแต่เรียนให้ได้เกรดดี ๆ ตั้งแต่เด็กอย่างฉัน บวกกับเพิ่งดูหนังแอบรักรุ่นพี่สุดฮิตจบไปเมื่อไม่กี่วันก่อน พอได้เจอรุ่นพี่สุดหล่อในรั้วมัธยมศึกษาก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ สงสัยฮอร์โมนวัยรุ่นกำลังทำงาน
ในระหว่างปฐมนิเทศฉันก็เอาแต่ลอบมองพี่พีไอแทบตลอดทั้งวัน จนกระทั่งไม่ได้เห็นหน้าพี่เขาแล้วเพราะฉันต้องกลับบ้าน
พอกลับมาถึงบ้านฉันก็ส่องกระจกชะโงกดูเงาของตัวเอง เห็นหน้าบาน ๆ ดั้งแหมบ ๆ ฟันเหยิน ๆ หัวฟู ๆ แล้วอยากจะบินไปทำหน้าใหม่ที่เกาหลีแต่ติดอยู่ที่ไม่มีเงินนี่แหละคือปัญหาใหญ่
หลังจากมองสำรวจและพิจารณาตัวเองหน้ากระจกอยู่นาน ฉันก็เห็นเพียงข้อดีเดียวของตัวเองคือการมีดวงตาที่กลมโตและผิวที่ขาวซีด นอกนั้นก็ไม่มีอะไรดีเลย ตัวก็เตี้ย หน้าตาก็ดูไม่ได้ เฮ้อออ ท้อแท้ใจ
และปัญหาที่ฉันคิดว่าหนักที่สุดในตอนนี้คือหัวฟู ๆ ของตัวเองที่ไม่ว่าจะจัดทรงยังไงก็ฟูฟ่องและหยิกหย็องอยู่ดี จึงตัดสินใจเดินไปหาคุณแม่สุดเนี้ยบ
“แม่จ๋า”
“อะไร?” เสียงเข้มขานตอบรับ ดูไม่สบอารมณ์อย่างแรง สงสัยจะเครียดกับงานที่บริษัท แต่ในเมื่อฉันตั้งใจไว้แล้วว่าจะพูดขออะไร ฉันก็ต้องลองเสี่ยงดวง
“แยมโรลอยากยืดผม อยากผมตรงสวยและนุ่มสลวย”
“แกแหกตาดูผมแม่ของแกด้วย จะไปอยากผมตรงทำไม เป็นเด็กก็สนใจแค่เรื่องเรียน อย่าริอ่านรักสวยรักงามให้เสียการเรียน!” แม่พูดร่ายยาวพลางชี้นิ้วไปที่ผมของตัวเองให้ฉันดู ซึ่งมันหยกศกและเงางามไม่เหมือนผมของฉันที่นอกจากจะหยกศกและยังฟูคล้ายถูกไฟซ๊อตอีกต่างหาก แต่ฉันก็ไม่กล้าแย้งแม่กลับไป
“หนูแค่รู้สึกอายเพื่อนที่ผมฟูฟ่อง”
“ผมฟูแล้วมันทำไม ผมแกน่ะมันเป็นยีนเด่น ฉันกับพ่อแกให้ไป แกควรจะภูมิใจนะ”
“……” ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย ได้แต่ยืนเม้มปากแน่นฟังแม่บ่นยาวเหยียด
“เลิกคิดเรื่องนี้ซะ แล้วก็อย่าเอาแต่สนใจเรื่องพรรค์นี้ โตก่อนค่อยอยากสวยอยากงาม ตอนนี้ตั้งใจเรียนก่อน!”
“……”
“เข้าใจไหม?”
“ค่ะ”
ฉันทำหน้ามุ่ยใส่และตอบรับคำของแม่ไปก่อนจะเดินเข้าห้องนอนอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไมแม่ต้องกีดกันไม่ให้ฉันอยากสวยอยากโตเป็นสาวด้วยนะ ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากดูดีในสายตาของเพศตรงข้ามเหมือนกันนะ แล้วดูสิเอาแต่พูดเน้นย้ำให้ฉันตั้งใจเรียนจนหลอนหูหลอนสมองไปหมดแล้ว และมันก็ทำให้ฉันกดดันตัวเองด้วย
“ตัวกินข้าวรึยังแยมโรล?”
“ยัง เราไม่หิวอ่ะ” ฉันส่ายหน้าตอบยาหยีไป วันนี้ไม่ได้กินข้าวเช้ามาเพราะฉันไม่อยากทนฟังเสียงบ่นตั้งแต่ตื่นยันออกจากบ้านของแม่จึงรีบออกมาทั้งแบบนั้น
“แล้วไหนเพื่อนใหม่ตัวที่บอกว่าจะแนะนำให้รู้จัก”
หลังจากวันปฐมนิเทศที่ฉันได้รู้จักกับหมิว ก่อนกลับเราได้แลกเฟสบุ๊กไว้คุยกัน ฉันจึงเล่าเรื่องนี้ให้ยาหยีฟังด้วย
“มานู่นแล้ว”
“หวัดดีแยมโรล หวัดดียาหยี เราหมิวนะ”
“หวัดดีหมิว”
หลังหมิวและยาหยีทักทายทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้ว หมิวก็หันมาถามฉันขึ้น “นี่แยมโรล ตัวจำพี่พีไอที่เป็นตากล้องถ่ายรูปวันปฐมนิเทศได้ป่ะ?”
ฉันจำได้ดี ใครจะไปลืมพี่เขาลง หล่อดูดีดูมีออร่าซะขนาดนั้น จึงพยักหน้าตอบหมิวไป
“หลังจากวันนั้นก็มีแต่คนเม้าท์พี่เขาในกลุ่มซุบซิบของโรงเรียนกันจนแทบแตก”
“……”
“พวกตัวนั่งนิ่งกันแบบนี้อย่าบอกนะว่ายังไม่ได้เข้ากลุ่ม”
ฉันกับยาหยีพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน กลุ่มซุบซิบอะไรของโรงเรียนฉันไม่รู้จักและไม่รู้มาก่อนว่ามันมีด้วย เพิ่งเคยได้ยินจากปากหมิวนี่แหละ
“เดี๋ยวเราดึงพวกตัวเข้ากลุ่ม”
หลังหมิวบอกว่าจะดึงฉันกับยาหยีเข้ากลุ่ม เสียงแจ้งเตือนการเชิญเข้าร่วมกลุ่มก็ดังขึ้น ฉันจึงเข้าไปกดตอบรับคำเชิญ
“พี่พีไออ่ะ อยู่เกรดสิบสองห้องคิงหรือห้องหนึ่ง เรียนเก่งระดับหัวกะทิและเป็นอันดับหนึ่งของระดับชั้นทุกปี”
ฉันนั่งฟังหมิวพูดเล่าเรื่องพี่พีไอไปเรื่อย หลังได้รู้ว่าพี่เขาอยู่เกรดสิบสองก็รู้สึกหวั่นใจแปลก ๆ นับมือดูแล้วพี่เขาห่างจากฉันตั้งห้าปี แล้วพี่เขาก็จะเรียนจบปีนี้แล้ว
“ตัวรู้ป่ะว่าพี่เขาอ่ะชอบของขวัญห้องหนึ่ง”
“หา!” ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ ของขวัญที่สวยน่ารักและดูเด่นที่สุดในเกรดเจ็ดวันปฐมนิเทศอ่ะเหรอ แม้จะตกใจมากแต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่
“แล้วของขวัญอ่ะเป็นลูกทีชเชอร์ของที่นี่ ชื่อว่าอะไรเราจำไม่ได้ แต่ช่างมันเถอะ พี่พีไออ่ะชอบของขวัญตั้งแต่วันปฐมนิเทศ ตอนนี้กำลังรุกหน้าจีบยัยนั่นอยู่ ข่าวลือแพร่สะพัดจนคนเขารู้กันทั่วทั้งโรงเรียนแล้วมั้ง ทำไมตัวไม่รู้”
“งั้นเหรอ...เพราะเราไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ละมั้งเลยไม่รู้” ฉันทำหน้าเศร้าสลด นึกเสียดายที่พี่เขามีคนที่ชอบแล้ว อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะชอบพี่เขาซะหน่อย เพื่อหาแรงบันดาลใจในการมาโรงเรียน แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันหาเป้าหมายใหม่ก็ได้ การเป็นวัยรุ่นแรกแย้มไม่จำเป็นต้องชอบรุ่นพี่แค่คนเดียว
“พวกตัวกำลังพูดถึงใครอ่ะ เราไม่รู้เรื่อง” ยาหยีที่นั่งฟังอยู่นานถามขึ้นด้วยใบหน้างงงวยและคิ้วขมวดมุ่น
“ก็วันนั้นตัวไม่ได้มา มีรุ่นพี่สุดฮอตชื่อพี่พีไอ มีแต่คนกรี๊ดกร๊าดพี่เขากัน...คนนี้” หมิวอธิบายให้ยาหยีฟังพร้อมเปิดรูปให้ดูประกอบด้วย
“นั่นใครบ้างอ่ะ?” ยาหยีชี้นิ้วถามหมิวด้วยแววตาตกตะลึงและเป็นประกาย ฉันจึงหันไปมองตามสายตาของยาหยีและเห็นแก๊งหนุ่มหล่อ 5 คนกำลังเดินผ่านมาพอดี และหนึ่งในนั้นก็คือพี่พีไอ
“อ๊ากกก มีแต่คนหล่อ” หมิวตัวบิดไปบิดมาด้วยความเขินอาย แล้วสะกิดถามฉันกับยาหยี “แก๊งพี่พีไอหล่อทุกคนเลยแกว่าป่ะ?”
“อืม” ฉันครางตอบหมิว แต่แทนที่สายตาของฉันจะจดจ้องไปที่พี่พีไอเหมือนเมื่อวันปฐมนิเทศ หากแต่กลับมองไปที่พี่ผู้ชายอีกคนแทน แว่นตากรอบใสประดับบนใบหน้าของพี่เขาเรียกความสนใจจากฉัน
“หมิวรู้จักชื่อพี่คนที่ใส่แว่นนั่นป่ะ?” หลังจากที่พวกพี่เขาเดินผ่านไปแล้ว ฉันก็เอ่ยถามหมิว
“เอิ่ม น่าจะชื่อ...” หมิวทำหน้าครุ่นคิดเหมือนพยายามนึกชื่อของพี่คนนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง “พี่เหมันต์ เป็นแฝดกับพี่คิมหันต์”
“เหมันต์” ฉันทวนชื่อพี่คนนั้นเบา ๆ เพื่อจดจำเข้าสู่สมองน้อย ๆ ของตัวเอง
“ตัวเปลี่ยนไปสนใจพี่เหมันต์แทนพี่พีไอล่ะเหรอแยมโรล?” หมิวเอียงคอถามฉันอย่างสงสัย
“คงงั้นมั้ง” ฉันตอบหมิวไปแบบยิ้ม ๆ รู้สึกว่าพี่เหมันต์เขาดูน่าสนใจดี และยังสามารถทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ ของฉันรู้สึกหวิวแปลก ๆ ได้ด้วย บางทีฉันอาจจะชอบพี่เขาโดยที่ไม่ต้องพยายามชอบและเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการตื่นมาโรงเรียนก็ได้
“นี่ตัวสนใจผู้ชายเหรอแยมโรล ถ้าแม่ตัวรู้ ไม่ด่าแย่เหรอ” ยาหยีถามฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“แม่คงไม่รู้หรอกมั้ง”
แม่ของฉันน่ะอยากให้ฉันสนใจแค่การเรียนเพียงอย่างเดียว เพราะท่านอยากให้ฉันได้ดีและเรียนสูง ๆ ไม่ต้องลำบากลำบนเหมือนแม่ที่เป็นแค่เพียงพนักงานบริษัทธรรมดา อันนี้ฉันไม่ได้คิดเองนะ แต่แม่ชอบพูดกรอกหูให้ฉันฟังเป็นประจำ ที่ฉันได้มีโอกาสมาเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดังค่าเทอมแสนแพงแบบนี้เพราะพ่อที่หย่ากับแม่ไปตั้งแต่ฉัน 8 ขวบเป็นคนจ่ายให้ ส่วนหน้าที่เลี้ยงดูฉันเป็นของแม่ และถ้าถามว่าทำไมพ่อฉันถึงมีเงินมากมายมาจ่ายค่าเทอมให้ฉัน ก็เพราะพ่อทำธุรกิจส่วนตัวที่รายได้ดีมาก ซึ่งเป็นธุรกิจตกทอดมาจากปู่ที่ยกให้พ่อหลังจากหย่ากับแม่
“เมื่อกี้ตัวบอกว่าพี่เขามีแฝดเหรอหมิว?” ฉันพูดถามหมิวเพื่อเปลี่ยนประเด็นที่กำลังคุยกับยาหยีอยู่
“ใช่ ฝาแฝดคนละฝา”
ถึงว่าฉันถึงไม่เห็นคนหน้าเหมือนพี่เหมันต์เปี๊ยบ แต่เห็นอยู่คนหนึ่งที่หน้าตาคลับคล้ายคับคา แต่พี่คนนั้นดูหล่อกว่าพี่เหมันต์นิดหนึ่ง อาจจะเพราะใบหน้าคมชัดกว่าและไม่ได้ใส่แว่นตา
หลังคุยเล่นกับหมิวและยาหยีต่อสักพักหนึ่ง เสียงออดบอกเวลาก็ดังขึ้น พวกเราจึงพากันไปที่หอประชุมโดมใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่นัดรวมตัวของนักเรียนทุกคนในวันเปิดเทอมใหญ่ในวันนี้