ผู้บาดเจ็บที่คุ้นเคย
เมืองต้าหยาง แคว้นหนิง
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ทางนี้มีคนเจ็บขอรับ”
เด็กชายร้องเรียกพ่อของเขาเสียงดัง เมื่อขาของเขาถูกฝ่ามือที่เปรอะเปื้อนเลือดแห้งกรังของชายหนุ่มคนหนึ่งจับไว้แน่น เด็กชายมองสบตาอันอ่อนล้าของชายหนุ่มที่นอนหายใจแผ่วเบา เขาก้มลงมองชายหนุ่มคนนั้นอย่างกังวลใจ ถึงจะตกใจกับสิ่งที่พบแต่เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวเพราะสงครามที่เกิดขึ้นหลายเดือนมานี้เขาและครอบครัวต้องอพยพหนีสงครามบ่อยครั้ง พ่อแม่จึงมีโอกาสได้ช่วยเหลือชาวบ้านที่โชคร้ายถูกกลุ่มทหารของข้าศึกทำร้ายหลายราย ภาพผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บและคนตายจากภัยสงครามเขาจึงได้พบเห็นอยู่หลายครั้ง แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไปเพราะชายหนุ่มที่เขาเห็นตรงหน้านี้สวมใส่ชุดแปลกๆ ที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
“เหตุใดเขาจึงสวมเสื้อผ้าแบบนี้ขอรับท่านพ่อ” เด็กชายถามบิดาอย่างสงสัย ตามประสาเด็กฉลาดที่อยากรู้อยากเห็น ท่านพ่อไม่ตอบเขา ทำเพียงจับชีพจรแล้วแบกชายหนุ่มที่หมดสติไปแล้วขึ้นหลังและคว้าหยิบดาบที่อยู่ข้างกายของชายแปลกหน้ามาถือไว้
“เจ้าหยิบกองฟืนของเจ้าแล้วรีบตามพ่อกลับบ้าน” ผู้เป็นบิดามองไปทางกองฟืนกองน้อยของบุตรชาย แล้วรีบเดินกลับบ้านทันที
“สิ่งนี้คืออันใดขอรับท่านพ่อ” เด็กชายชี้ไปที่ดาบสีเงินเล่มยาวที่อยู่ในมือของบิดา เขาจ้องมองมันด้วยความสงสัยเพราะไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน
“อย่าเพิ่งถามสิ่งใด รีบเดินตามพ่อให้ทัน” เด็กชายเงียบเสียงลงตามคำของบิดาและรีบเร่งฝีเท้าตามผู้เป็นพ่ออย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาถึงบ้านของเขา
“จินเอ๋อร์เด็กดี ไปหาท่านปู่กับท่านย่านะลูก พ่อกับแม่ขอดูคนป่วยก่อน”
“ขอรับท่านแม่” เด็กชายตอบรับคำของมารดาอย่างรู้ความ
“ล้างมือแล้วมาช่วยย่ายกน้ำชาไปให้ท่านปู่นะจินเอ๋อร์”
“ขอรับท่านย่า” เด็กชายเดินไปล้างมือตามคำบอกของหญิงชราท่าทางใจดี แต่สายตาของเขาก็ยังคงมองไปที่ห้องที่บิดากับมารดายังคงพยาบาลชายคนนั้นอยู่
“จินเอ๋อร์ มายกน้ำชาไปให้ท่านปู่เร็วเข้า”
“ขอรับ ขอรับ กำลังจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ” เด็กชายรีบเดินกลับไปหาท่านย่าของเขาแล้วยกถาดที่มีกาน้ำชาไปให้ชายชราที่กำลังนั่งเหลาไม้ไผ่อยู่ที่ชานบ้าน
“น้ำชาขอรับท่านปู่” เด็กชายรินชาส่งให้ชายชราอย่างนอบน้อม
“มาดูนี่สิ ปู่กำลังเหลาไม้ไผ่ทำว่าวให้เจ้า เดี๋ยวปู่จะสอนเจ้าทำว่าวดีหรือไม่” ชายชราพูดกับเด็กชายหลังจากที่เขาดื่มน้ำชาที่หลานชายสุดที่รักนำมาให้เขาแล้ว
“ขอรับ อันก่อนขาดหายไปจินเอ๋อร์เสียใจมาก ท่านพ่ออุตส่าห์ทำตั้งหลายวัน” เด็กชายพูดขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเสียดายสิ่งของที่ผู้เป็นบิดาทำให้เขา
“ไม่เป็นไร หายไปก็ไม่เป็นไร ปู่ทำอันใหม่ให้เจ้าเอง”
“อันนี้คือสิ่งใดขอรับท่านปู่” เด็กชายชี้ไปยังไม้ไผ่ด้ามยาวที่อยู่ข้างๆโครงว่าวอันใหม่ของเขา
“ด้ามเบ็ดของเจ้าอย่างไรเล่า ปู่จะสอนเจ้าตกปลา เจ้าอยากตกปลาหรือไม่”
“อยากขอรับ พรุ่งนี้เราไปตกปลากันได้หรือไม่ขอรับท่านปู่ พี่ชายท่านนั้นบาดเจ็บมา น้ำแกงปลาท่านแม่บอกว่าช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็ว หลานจำได้” เด็กชายจับแขนชายชราเขย่าเบาๆอย่างดีใจ
“เจ้าอยากตกปลามาให้เขากินอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ หลานอยากตกปลาให้ท่านปู่ท่านย่าแล้วก็ท่านพ่อท่านแม่กินด้วยขอรับ”
“ใจกว้างจริงหลานย่า สงสัยท่านปู่เจ้าคงต้องรีบทำเบ็ดแล้วล่ะ”
“อันไหนคือของหลานขอรับ” เด็กชายยกด้ามไม้ไผ่ทีละด้ามขึ้นมาดูอย่างสนใจ คนชราทั้งสองมองหน้ากันและยิ้มกับท่าทางน่าเอ็นดูของหลานชาย
“เจ้าจับถนัดมือด้ามไหนก็ยกมาให้ปู่ ปู่จะมัดเชือกและตะขอให้เจ้า” เด็กชายหยิบยกด้ามไม้อันนั้นทีอันนี้ทีอย่างกำลังพิจารณา แล้วยกไม้ไผ่ลำหนึ่งส่งให้ชายชรา เขายิ้มรับอย่างยินดีที่หลานชายเลือกอันเดียวกับที่เขาเลือกไว้แต่ทีแรก
“เหตุใดเจ้าจึงเลือกด้ามนี้”
“ตอนที่หลานยกไม้พวกนั้น หลานรู้สึกว่ามันหนัก บางอันก็ยาวเกินไป บางอันเล็กเกินไป บางอันใหญ่เกินไป จับไม่ถนัดมือเลยขอรับ แต่อันนี้ทั้งความยาว น้ำหนัก และขนาด หลานจับแล้วรู้สึกสบายมากกว่าขอรับ” คนชราทั้งสองพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้กันอย่างยินดี ที่หลานของตนนอกจากว่านอนสอนง่ายแล้วยังฉลาดหลักแหลมอีกต่างหาก
“ทหารอย่างนั้นหรือ” ชายชราพูดขึ้นอย่างตกใจกับสิ่งที่บุตรชายบอกเล่า
“เบาเสียงของท่านลงหน่อยท่านพี่ เดี๋ยวจินเอ๋อร์ก็ตื่นกันพอดี” หญิงชราเอ็ดสามีคู่ทุกข์คู่ยากเสียงเบา พร้อมกับมองไปยังห้องที่หลานชายนอนหลับอยู่
“ท่านบอกความจริงกับท่านพ่อท่านแม่เถิด” ผู้เป็นภรรยาจับแขนสามีพร้อมกับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“ท่านผู้นั้นคือพระโอรสของฮ่องเต้ น้องหญิงคิดว่าน่าจะเป็น องค์ชายหย่งเล่อขอรับ” ผู้เป็นสามีบอกกับบิดามารดาที่ดูจะมีสีหน้าวิตกกังวลทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘พระโอรสของฮ่องเต้’
“รู้ได้อย่างไรว่าคือ พระโอรสองค์เล็ก ตอนที่เราจากที่นั่นมา องค์ชายยังเล็กอยู่มากนะ” หญิงชราถามอย่างวิตกกังวล
“ตอนที่องค์ชายยังเป็นเพียงทารกน้อย ลูกได้เคยอาบน้ำให้พระองค์ องค์ชายมีปานแดงสามเหลี่ยมอยู่ที่หัวไหล่ด้านซ้ายเจ้าค่ะ แล้วเรายังพบจี้หยกประจำตัวของพระองค์อีก”
“แล้วอาการของพระองค์เป็นอย่างไรบ้าง” หญิงชราถามพร้อมกับมองไปที่ห้องที่คนป่วยนอนอยู่
“บาดแผลฉกรรจ์นัก ดีที่พระองค์รู้วิธีห้ามเลือด ตอนที่จินเอ๋อร์ไปพบ เลือดของพระองค์ก็หยุดไหลแล้ว ที่สลบไปคงเพราะเสียเลือดมากและไม่ได้พักผ่อนเลย ลูกคำนวณดูจากสถานที่ทำศึกกับระยะทางที่พระองค์หนีมา ห่างไกลกันมาก การที่พระองค์เดินทางมาถึงที่นี่ได้ช่างลำบากเหลือเกิน”
“ต้องออกทำสงครามตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้ ช่างน่าสงสารนัก” หญิงชรากล่าวด้วยวาจาเศร้าสร้อยอย่างสงสารองค์ชายจากใจจริง
“แล้วนี่เราจะทำอย่างไรต่อไป” ชายชราที่กอดปลอบภรรยากล่าวถามบุตรชายและสะใภ้
“หากเขาไม่พูดเราก็ไม่ต้องบอกว่าเรารู้ว่าเขาเป็นใคร” ลูกสะใภ้กล่าวขึ้นพร้อมกับจับมือแม่สามีอย่างปลอบประโลม ด้วยล่วงรู้ว่านางกำลังกังวลใจถึงสิ่งใดอยู่
“พระองค์จะจำหน้าเสด็จอาแท้ๆ ของตัวเองไม่ได้เลยหรือ”
“จำได้แล้วอย่างไร จำไม่ได้แล้วอย่างไร ตอนนี้ลูกเป็นเพียงสะใภ้ของท่านพ่อกับท่านแม่แล้ว ลูกไม่ได้เป็นอาหญิงของเขามานานแล้วเจ้าค่ะ”
“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่ว่า”
“ท่านแม่อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวพอเขาดีขึ้นแล้ว ลูกคิดว่าเขาก็คงรีบจากไปเองเจ้าค่ะ” ลูกสะใภ้รีบพูดดักแม่สามีด้วยไม่ต้องการให้คนชราทั้งสองคิดมากถึงสิ่งใดอีก สองสามีภรรยาได้ตกลงกันแล้วว่าจะทำเหมือนองค์ชายผู้นี้เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่พวกเขาช่วยเหลือไว้เท่านั้น
“เราจะปล่อยให้พระองค์จากไปลำพังได้อย่างไร ถ้าทหารพวกนั้นยังตามล่าพระองค์อยู่ล่ะ” ชายชราพูดขึ้นอย่างใช้ความคิด
“ลูกจะไปสืบข่าวเองขอรับ”
“ระวังตัวด้วยนะลูก” หญิงชรามองลูกชายอย่างเป็นห่วงและกังวลใจ
“ท่านพี่ไม่ต้องห่วง น้องจะดูแลท่านพ่อท่านแม่และจินเอ๋อร์ของเราเองเจ้าค่ะ ท่านพี่โปรดระวังตัวด้วย”
“พี่จะรีบไปรีบกลับ เจ้าไม่ต้องกังวล ลูกขอตัวก่อนนะขอรับ” คนชราทั้งสองมองบุตรชายเดินหายลับไป ในใจนั่นกังวลทุกครั้งที่เขาต้องออกไปพ้นสายตา
“ท่านพี่จะไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ดึกมากแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ไปพักผ่อนเถิด” คนชราทั้งสองพยักหน้าให้ลูกสะใภ้แล้วเดินกลับเข้าห้องของตนไป