ความทรงจำในวัยเด็กค่อนข้างจะรางเลือน แต่มันชัดเจนในจิตใต้สำนึก...ในความฝัน ตอนเรียนอนุบาลจนถึงประถมปลายผมมักจะถูกเพื่อนแกล้งเป็นประจำ ด้วยความที่เป็นเด็กที่มีพัฒนาการด้านต่างๆ ช้ากว่าเพื่อนๆ วัยเดียวกัน เลยเหมือนเป็นเป้าให้เพื่อนๆ แกล้ง
เวลาผมถูกแกล้งมันจะมีภาพเพื่อนๆ หัวเราะขำขัน เข้ามาผสมโรง แกล้งจนพอใจก็มาทำดีด้วยแล้วก็แกล้งใหม่อยู่แบบนั้น ผมในตอนนั้นไม่มีปากมีเสียง ไม่รู้ว่าต้องสู้แบบไหน ถ้าเจ็บมากจริงๆ ก็ทำได้แค่ร้องไห้ มันก็ดูน่าสมเพชดี
เพื่อนในห้องอาจมีคนที่มองพวกที่แกล้งผมอย่างเหนื่อยหน่าย จะมีบ้างที่รำคาญแล้วช่วยบอกให้หยุดแกล้งผม แต่บางทีก็หาเรื่องแกล้งผมเองเหมือนกัน แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่เคยทำแบบนั้น และช่วยผมมาตลอด ก็คือวิปครีม แม้เธอจะเงียบๆ ดูเหมือนรำคาญ ชอบบ่นให้ผมสู้พวกนั้นคืนแต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกแย่กับวิปครีมเลย จนเธอโดนพวกนั้นแซวว่าเป็นแฟนกับผม หรือโดนแกล้งไปด้วย แต่วิปครีมสู้มากนะ สู้ไม่ถอย แต่ดีหน่อยที่เพื่อนในห้องไม่ได้แกล้งหนักแบบกะเอาเป็นเอาตาย อย่างมากก็หยิกกันเจ็บ พอผมร้องไห้ก็ขอโทษจบๆ กัน หากแผลในใจก็เยอะอยู่ดี
ผมในตอนนั้นที่ไม่มีความรู้สึกสนใจเพื่อนคนไหนเป็นพิเศษ แต่ผมชอบอยู่ใกล้ๆ วิปครีม เห็นเธอทำอะไรก็อยากทำด้วย แม้เราจะไม่ได้พูดคุยกันมากมาย ผมพูดไม่เก่ง และวิปครีมก็เป็นคนพูดน้อย แต่เราก็อยู่ใกล้ๆ กัน ตั้งแต่ตอนปอสองครูก็ให้ผมนั่งโต๊ะคู่กับเธอ คงเห็นว่าวิปครีมช่วยเรื่องเรียนผมได้เยอะมาก และเวลาผมถูกรังแกเธอก็คอยบอกเพื่อนให้หยุดแกล้งผมตลอด แม้แต่กับรุ่นพี่มัธยมที่ชอบมาหาเรื่องผมบ่อยๆ
“ปลื้มพี่เนสเรียกให้ไปหาน่ะ” ในช่วงพักเที่ยง เพื่อนในห้องเดินมาบอกว่ารุ่นพี่มอหนึ่งเรียกผมไปหา เป็นแก๊งที่ชอบหาเรื่องแกล้งคนอื่นตลอด โดยเฉพาะคนที่อ่อนแอกว่า
“นายจะไปทำไมปลื้ม ไปก็ถูกเขาแกล้ง” เพื่อนคนหนึ่งทักท้วง แม้ปกติก็ชอบแกล้งผม แต่พอมีรุ่นพี่จะมาแกล้งก็ดูเหมือนเป็นห่วง แปลกดีเหมือนกัน แต่ถึงเพื่อนๆ ในห้องจะไม่ชอบรุ่นพี่พวกนั้นแต่ก็ไม่มีใครกล้าช่วย ผมยิ้มให้เพื่อนก่อนจะลุกจากโต๊ะ ผมที่เรียนชั้นปอห้าในตอนนั้นยังมีความรู้สึกนึกคิดที่ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ รู้ว่าจะถูกเขาแกล้งแต่ก็ลงไปหา อาจเพราะกลัวหรืออะไรผมก็ไม่สามารถอธิบายได้
เพื่อนๆ ทั้งผู้ชายผู้หญิงก็ตามผมลงไปด้วย อาจจะเป็นห่วงเพราะรุ่นพี่ตัวใหญ่และชอบแกล้งแรง วิปครีมก็ตามลงไปด้วย
“อ้าว พี่เรียกน้องปลื้ม พวกน้องๆ ตามลงมากันทำไม”
“ก็พวกพี่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ใครตามมานี่” เป็นวิปครีมที่ตอบกลับทันที ผมไม่รู้ว่าในชีวิตนี้เธอเคยกลัวอะไรไหม
“ออ น้องวิปครีมก็ตามมาดูแลผัวสินะ น้องนี่โชคดีนะปลื้มมีเมียตามมาดูแลตลอด” คำพูดนั้นทำให้ผมตกใจ พอโตขึ้นมาหน่อย คำว่าแฟนมันก็เปลี่ยนเป็นสรรพนามที่น่าโมโห หันไปมองวิปครีมก็เห็นว่าเธอดูไม่พอใจ ผมโกรธ โกรธทุกครั้งที่เธอต้องโดนแกล้งเพราะผม แบบที่เพิ่งจะรู้สึกโกรธคนอื่นเป็นจริงจังก็เพราะเธอ ไม่รู้ว่าอาจเป็นเพราะโตขึ้นก็เลยมีความรู้สึกนึกคิดแบบที่เด็กวัยนี้ควรจะมีบ้างแล้วหรือยังไง
วิปครีมไม่ได้ตอบโต้อะไร เธอดูควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่พี่พวกนั้นก็ยังเล่นไม่หยุด
“เดี๋ยวๆ เนส มึงก็ไปว่าให้น้อง อย่างน้องปลื้มเนี่ยทำเมียเป็นเหรอวะ ปัญญา ออ เอ้อ” รุ่นพี่ทำเป็นเหมือนลืมตัว ผมโกรธมาก ผมไม่อยากให้ใครมาว่าเธอแบบนั้น
“น้องวิปครีมสนใจเป็นเมียพี่แทนเมียน้องปลื้มไหมล่ะ พี่ทำเป็นนะ” มันเกินไปแล้ว ผมโมโหมาก ตอนที่หนึ่งในนั้นดึงแขนผมจึงกระชากออกสุดแรง
“โว้ย เดี๋ยวนี้กล้าหือ ทำไม โกรธเหรอ หรือหึงเมีย” รุ่นพี่คนนั้นพูดแล้วเอามือตบหัวผม วิปครีมกับเพื่อนๆ ก็ดูกล้าๆ กลัว ปกติถ้าเป็นรุ่นๆ เดียวกันตัวก็ไม่ห่างกันเยอะ แต่นี่ตัวโตกว่าพวกผมเยอะทีเดียวแม้จะห่างกันแค่สองปี
หนึ่งในนั้นเอามือหยุมหัวผม อีกคนล็อกแขนไว้ ผมพยายามสะบัด นับว่าสู้กว่าทุกครั้ง แต่ก็โดนฟาดไหล่มาหนึ่งที
“พวกพี่หยุดแกล้งปลื้มได้แล้ว มันเจ็บนะนั่น” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งร้องห้าม
“พวกหนูจะฟ้องครู”
“ฟ้องเลย ยิ่งฟ้องพี่ก็จะยิ่งทำ” แล้วเขาก็เตะขาผมหนึ่งที เพื่อนผู้ชายไม่กล้าเข้ามาช่วย แล้วก็เป็นวิปครีมที่จับไม้กวาดแถวๆ นั้นมาขู่
“หยุด พวกพี่แกล้งปลื้มเกินไปแล้วนะ ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นหนูฟาด”
“กล้าเหรอ”
“กล้าสิ พิมพ์ไปหยิบไม้กวาดมาอีก” เธอบอก เพื่อนผู้หญิงอีกสองคนก็ไปหยิบไว้กวาดมาขู่ ยังดีหน่อยที่พวกนี้แม้จะอันธพาลแต่ก็ไม่เคยได้ทำร้ายร่างกายผมรุนแรงแบบเอากะตาย เหมือนพวกชอบหาที่ระบายอารมณ์กับคนที่อ่อนแอกว่า พวกนั้นเลยปล่อยผม
“เออ พี่ไม่อยากทำร้ายผู้หญิงเฉยๆ หรอก”
“แล้วที่มารุมแกล้งปลื้มนี่คิดว่าตัวเองดีแล้ว เก่งมากหรือไงทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่า” วิปครีมเถียง พวกนั้นชักสีหน้าไม่พอใจ
“เออ ต่อไปพี่จะตัวต่อตัว”
“ใครเขาจะอยากเป็นอันธพาลกับพี่” วิปครีมเดินมาดึงแขนผมให้กลับไปหาพวกเธอแล้วก็พากันขึ้นห้อง เพื่อนๆ ถามผมว่าเป็นยังไง เจ็บตรงไหนบ้าง คือมันก็ยังเจ็บๆ อยู่แต่รู้สึกว่าพอทนได้ สุดท้ายก็จบที่การแจ้งคุณครู แจ้งผู้อำนวยการ เรียกตักเตือน มันก็ช่วยได้แค่ไม่ให้เขามาหาเรื่องผมในระยะเวลาหนึ่ง พอเรื่องซาๆ ก็คงหาเรื่องแกล้งแบบเดิม แต่ผมคิดว่าตัวเองต้องสู้บ้างแล้ว
“ปลื้ม วันนี้พ่อนายมารับใช่ไหม” วิปครีมถามตอนที่เราเดินลงมาจากอาคารเรียน พ่อผมจะมารับทุกวันศุกร์ไปอยู่กับเขาในวันหยุด พ่อแม่ผมแยกทางกันตั้งแต่ผมยังไม่เกิด ส่วนผมอยู่กับแม่เป็นหลัก
“ใช่ วันนี้กลับกับพ่อ”
“ฉันจะขอลุงเปรมให้นายไปเรียนเทควันโด้ด้วย” พ่อของผมกับพ่อเธอรู้จักกัน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่นับถือกันในวงการบันเทิง บางทีผมอาจจะเคยเจอวิปครีมตั้งแต่ก่อนเรียนอนุบาลก็เป็นได้
“สนุกไหม”
“ก็ดี นี่ว่าจะเรียนมวยด้วย แต่ตอนนี้ก็เรียนหลายอย่างละ”
“เรียนตอนไหน”
“หลังเลิกเรียนนี่แหละ บางทีก็วันเสาร์ด้วย”
“อืม เดี๋ยวเราขอแม่...แต่แม่คงไม่ให้เรียน” ผมรู้สึกสะดุดในใจทุกครั้งที่นึกถึงแม่ แม่ผมชอบดื่มเหล้า อารมณ์ไม่ค่อยดี และก็ชอบตีผมบ่อยๆ ตีเจ็บสุดก็แม่นี่แหละ ผมรู้ว่าแม่เจ็บปวดและส่งความเจ็บปวดนั้นมาที่ผมเต็มๆ แม่มักจะโทษผมเวลาที่พูดถึงพ่อ บางครั้งก็บอกว่าผมไม่น่าเกิดมา เกิดมาแล้วก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพ่อก็ไม่เลือกแม่อยู่ดี
ตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่นัก แต่ก็พอรู้เวลาญาติคนอื่นๆ เล่าให้ฟัง พ่อกับแม่ผมเป็นดารา พ่อเป็นพระเอกดัง ส่วนแม่เป็นนางร้ายและนางแบบที่ก็ดังมากๆ เหมือนกัน พวกเขาคบกันแบบไม่เปิดเผย แต่พ่อก็มีแฟนเป็นลูกสาวเจ้าของค่ายละคร การคบกันของพ่อกับแม่ไม่ได้มีเป้าหมาย แต่แม่รักพ่อจริงๆ แม่จึงเจ็บปวดที่สุดท้ายพ่อก็ไม่เลือกแม่ แม้จะมีผมเกิดมาพ่อก็เลือกที่จะแต่งงานสร้างครอบครัวกับแฟนของเขา
แต่พ่อก็ไม่เคยทอดทิ้งผม ผมได้เรียนโรงเรียนเอกชนที่ค่าเทอมสูงลิ่วก็มาจากเงินของพ่อทั้งนั้น แม่ไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนกับชีวิตนี้แม่ไม่เอาอะไรแล้ว พ่อมารับผมไปอยู่ด้วยทุกสุดสัปดาห์ บางทีผมก็ชอบเวลาที่ได้อยู่กับพ่อที่มีครอบครัวคนอื่นมากกว่าบ้านที่มีแม่เสียอีก
“ก็ขอพ่อนายไง ลุงเปรมใจดี” วิปครีมมีสีหน้าแปลกใจขึ้นมาแว่บหนึ่ง แต่เธอก็ไม่ได้ถามเรื่องแม่ต่อ ให้ผมไปขอพ่อแทน
“เราอยู่กับพ่อแค่วันศุกร์เสาร์อาทิตย์ วันอาทิตย์เย็นๆ แม่ก็มารับกลับ”
“เดี๋ยวเราขอครูเรียนวันศุกร์ก็ได้”
“โอเค เดี๋ยวเราถามพ่อดู” ผมไม่เคยเห็นวิปครีมวุ่นวายกับคนอื่นแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกดีใจที่เธออยากให้ผมเรียนด้วยกัน