ผมแอดมิชชันเข้าคณะนิเทศศาสตร์สาขาภาพยนตร์ ทำให้ผมเจอวิปครีมอีกครั้ง เราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน เวลามีงานกลุ่มผมก็มักจะอยู่กลุ่มกับเธอ นอกเหนือจากนั้นถ้ามีงานคณะหรืองานมหาวิทยาลัยก็ตามเราก็จะเจอกันเสมอ ผมเริ่มทำงานในวงการตั้งแต่มอปลาย ถ่ายแบบถ่ายโฆษณาเล็กๆ น้อยๆ เวลาโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยมีงานอะไรก็เรียกใช้ผมประจำ
ผมฮอตมากนะเอาจริง ลืมภาพเด็กผู้ชายที่ถูกเพื่อนแกล้งตอนประถมไปได้เลย ตั้งแต่ปอห้าปอหกแล้วนั่นแหละที่ผมพอจะมีพัฒนาการตามเพื่อนวัยเดียวกันบ้าง จนถึงมอต้นที่ร่างกายเติบโต และชีวิตที่สดใสขึ้นมันก็ทำให้ผมกลายเป็นอีกคน แม้จะยังมีมุมที่ยังมีโลกส่วนตัว แต่ผมคบเพื่อนได้ อัธยาศัยดีกับทุกคน โดยเฉพาะสาวๆ แต่ก็ตั้งแต่มอปลายแล้วนั่นแหละที่พอลองคบแฟนแล้วรู้สึกไม่อยากมีความสัมพันธ์ที่ผูกมัด...จนถึงทุกวันนี้
ส่วนวิปครีม เวลาคณะหรือมหาวิทยาลัยมีงานเธอก็เป็นเด็กกิจกรรมคนหนึ่งเลยละ เธอทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ตั้งแต่แต่งหน้าแต่งตัว เขียนบท ช่างภาพ ออกแบบกราฟิก ทำฉาก ประสานงานหาสปอนเซอร์ คนที่ไม่ค่อยพูดแต่ทำงานพวกนั้นได้เป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆ สำหรับผม ซึ่งเธอเคยบอกว่าชอบตามพ่อกับแม่ไปทำงานบ่อยๆ บางงานก็เคยช่วยเขาแต่งหน้าตั้งแต่อยู่มอต้น
นอกจากงานของมหาวิทยาลัยแล้ว บางทีเธอก็แนะนำงานในวงการให้ผม พาไปแคสต์งานแบบทำสนุกๆ มันเลยเหมือนยิ่งทำให้เราสองคนสนิทกัน ตอนนั้นผมรู้สึกว่าภายใต้ความนิ่งๆ นั้นวิปครีมสดใสมาก
“ปลื้ม วันเสาร์ฉันไปทำงานที่ห้องแกได้ไหม” ผมออกมาอยู่คอนโดตั้งแต่เดือนแรกของการเป็นนักศึกษาเลย พ่อก็อนุญาตเพราะรู้ว่าผมอยากใช้ชีวิตส่วนตัว ส่วนวิปครีมอยู่บ้านตัวเอง
“งานอะไร”
“หนัง” เราสองคนกับเพื่อนๆ คุยกันว่าอยากลองทำหนังสั้นประกวด ตอนนั้นพวกเราอยู่ปีสอง
“หืม เรานัดกันพุธหน้าไม่ใช่เหรอ”
“เออ แต่ฉันยังเขียนบทไม่เสร็จ ฉันกลัวทำไม่เสร็จ” วิปครีมรับหน้าที่เป็นคนเขียนบท
“ช่วยๆ กันคิดก็ได้”
“ไม่ ฉันไม่ชอบความรู้สึกเวลาที่ตัวเองทำงานไม่สำเร็จ” อืม อันนี้เข้าใจ วิปครีมเป็นแบบนั้นแหละ
“ขอยืมห้องสักวัน แกจะไปแร่ดที่ไหนก็ไป”
“นี่แกไล่ฉันออกจากห้องตัวเอง” ผมทำเป็นบ่นไปงั้น วิปครีมเคยมาห้องผมหลายครั้งแล้วละ มันเป็นที่ที่เพื่อนๆ ชอบมารวมตัวกัน มาทำงาน ดูบอล เล่นเกม ปาร์ตี้หรืออะไรก็ว่าไป
“ทำไม หวงเหรอ”
“เออ จะมาก็มา มากี่โมงล่ะ”
“ตื่นตอนไหนไปตอนนั้น”
ซึ่งพอถึงวันเสาร์วิปครีมไปหาผมตั้งแต่หกโมงครึ่ง ซึ่งผมยังนอนไม่ตื่น ทั้งผมทั้งผู้หญิงที่ผมคุยอยู่ตอนนั้น...คุยที่ไม่ได้หมายถึงแฟน ผมเลยรีบออกมาจากห้อง ปิดประตูไว้ ยืนคุยกันอยู่หน้าห้อง
“วิป แกมาอะไรตอนนี้”
“ก็ฉันตื่นตอนนี้ไง แกให้ฉันเข้าห้องแล้วจะไปนอนต่อก็ไป”
“ไม่ได้สิ ฟอนต์นอนอยู่ในห้อง” วิปครีมดูอึ้งในตอนแรก ก่อนจะถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“ฉันไม่นึกว่าแกจะมาเช้าขนาดนี้”
“อือ งั้นฉันกลับละ” เธอทำท่าจะหมุนตัวกลับเลย ผมดึงแขนเธอไว้
“กลับยังไง อย่าเพิ่งโกรธ เดี๋ยวฉันเคลียร์แป๊บหนึ่ง” ผมจูงแขน วิปครีมไปที่ลิฟต์ ไม่ได้แค่ส่งเธอที่หน้าลิฟต์แต่ผมลงมาส่งเธอด้วยตัวเอง
“แกกลัวแฟนเข้าใจผิดเหรอ”
“ไม่ใช่แฟน” พอผมบอกแบบนั้นวิปครีมก็ถอนหายใจ มองบน เธอรู้นั่นแหละว่าผมมีนิสัยแบบไหนเรื่องผู้หญิง ก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งปีกว่า
“แต่ฉันกลัวแกเดือดร้อน บางทีมันก็ควบคุมยาก” ถึงจะตกลงกันแล้วว่าคบแบบไหน แต่บางทีมันก็มีปัญหาน่ะ มันเคยเกิดมาแล้วตอนสองเดือนก่อนที่วิปครีมกับออร์แกนเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มอีกคนถูกผู้หญิงที่ผมคบด่าเพราะหึง ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ
“แกรอฉันที่นี่ก่อนนะ ไม่เกินครึ่งชั่วโมง เล่นเกมไม่ถึงสามตา” ผมพาเธอมาที่คาเฟ่และร้านอาหารซึ่งอยู่ชั้นสามของคอนโด
“ฉันกลับดีกว่า”
“วิป” ผมเรียกเธอเสียงอ่อน
“ฉันผิด แกบอกว่าจะมายังพาผู้หญิงมานอนด้วย” ก็ใครจะคิดว่าจะมาตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมง ผมคิดว่าอย่างเช้าสุดก็น่าจะสักเก้าโมงนู่นแหละ
“ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกแกสับรางยังไงไม่รู้แฮะ” วิปครีมบ่น
“แกที่หนึ่งน่าวิป ไม่สับกับใครหรอก” ผมหยอกล้อเธอตามนิสัย พอเธอมองแรงก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ
“รอฉันก่อนนะ” ผมทั้งพูดเสียงอ่อนทั้งทำหน้าสำนึกผิด วิปครีมมองผมด้วยสายตาเบื่อหน่าย แต่เธอก็พยักหน้าเออออไปกับผม
“โอเค ฉันรีบไปเคลียร์” ผมรีบกลับขึ้นห้อง ไปปลุกฟอนต์และมาส่งเธอข้างล่าง ซึ่งก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเพราะผมบอกเธอตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าผมมีธุระตอนเจ็ดโมงครึ่ง ซึ่งฟอนต์ก็ไม่ได้อิดออดอะไร พอส่งฟอนต์เสร็จก็ไปรับวิปครีมที่คาเฟ่
“เรียบร้อยแล้ว” เธอถาม
“อืม ขึ้นห้องเถอะ ฉันง่วง”
“นี่สั่งคาปูปั่นเผื่อ” เธอชูแก้วกาแฟสองแก้วให้ดู ผมยิ้ม เดินไปรับมันกับเธอมาดูดแล้วเดินนำเธอไปที่ลิฟต์ พอขึ้นมาถึงห้องผมก็ขอตัวนอน ส่วนวิปครีมก็เปิดโน้ตบุ๊กทำงานที่ห้องนั่งเล่น คือมันไม่ได้แยกเป็นห้องหรอก แต่ห้องผมจะมีโซนห้องครัวกับห้องรับแขก เพื่อนๆ เลยชอบมาห้องผมมันกว้างดี
ผมหลับไปอีกครั้ง ตื่นมาอีกทีเกือบเที่ยง ลงจากเตียงเดินมาหา วิปครีมก็เห็นเธอนอนขดบนโซฟา โน้ตบุ๊กถูกพับเก็บไว้ ผมไม่ได้ปลุก วิปครีม แต่เข้าไปอาบน้ำ จนแต่งตัวเสร็จออกมาอีกรอบเธอก็ยังไม่ตื่น ผมปล่อยให้เธอนอนจนเกือบบ่ายสองถึงปลุก วิปครีมงัวเงียตื่นเหมือนคนที่ง่วงมาก
“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ”
“อือ” เหมือนเธอเผลอตอบแล้วก็ชะงักไป
“ทำอะไรไม่นอน” ผมถามแล้วก็ตั้งใจมองเธอ อยากให้เธอรู้ว่าผมสนใจในคำถามนั้นจริงๆ วิปครีมก้มหน้า คิ้วเธอขมวดเหมือนลังเล แต่เธอก็ยอมพูดกับผม
“ฉันก็ว่าจะทำงานนี่แหละปลื้ม แต่คิดไม่ออก”
“แล้วก็ไม่ยอมนอนล่ะ”
“มันนอนไม่หลับ” พอเธอตอบเราก็เงียบกันชั่วอึดใจ
“วิป ช่วงนี้แกมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เธอเงยหน้ามองผม ก้มหน้า แววตาดูสับสน
“ฉันคิดว่ามี แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร ปลื้ม ช่วงนี้ฉันรู้สึกไม่อยากอยู่บ้าน ฉันรู้สึกว่า...เออ มันอึดอัดยังไงไม่รู้ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร” มันไม่เหมือนกับที่เป็นวิปครีมเลย ผมไม่เคยเห็นเธอดูไม่มั่นคงขนาดนี้ วิปครีมเป็นคนเงียบๆ ก็จริงแต่ไม่ใช่เด็กมีปัญหาอะไร ชีวิตเธอเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ และเธอก็เก่งมาก แต่สิ่งที่เธอบอกผมเมื่อกี้แม้จะไม่ยอมเล่าตรงๆ แต่ผมก็พอจะรู้...วิปครีมเป็นลูกคนเดียว ถ้าที่บ้านคือปัญหาก็น่าจะมาจากพ่อกับแม่ แต่ผมก็เดาไม่ออกเหมือนกันนั่นแหละว่าเรื่องอะไร
“แกเลยอยากมาทำงานที่ห้องฉัน”
“อืม ไม่รู้จะไปไหน ไม่อยากไปบ้านออร์แกน” วิปครีมไม่ได้มีเพื่อนสนิทเยอะ ส่วนมากก็เป็นกลุ่มๆ มากกว่า เพื่อนผู้หญิงที่ดูจะสนิทสุดก็ออร์แกน แต่ก็คงไม่อยากไปรบกวนที่บ้านเพื่อน...หมายถึงวิปครีมรู้สึกสนิทกับผมมากกว่าคนอื่นๆ อย่างนั้นหรือเปล่า ทำไมรู้สึกภูมิใจแฮะ
“เออ แล้วเป็นไง คิดงานออกไหม” ผมก็เลยถามเรื่องงาน ไม่อยากเซ้าซี้เรื่องที่ทำให้เธอไม่สบายใจ
“อืม เสร็จละ นายอยากดูก่อนไหม ฉันยังไม่ส่งลงกลุ่ม ขี้เกียจ เออ แต่ค่อยดูพร้อมกันนั่นแหละ ขี้เกียจเปิดคอมพ์” ผมเข้าใจวิปครีมนะ อาการที่ทำงานเสร็จแล้วไม่อยากทำอะไรต่อแม้จะแค่แนบไฟล์ลงกลุ่มไม่ถึงนาทีก็ตาม
“แล้วนี่ฉันทำงานเสร็จแล้วแกจะไล่ฉันกลับไหม หรือนัดสาวไหนไว้อีก”
“ไม่มี แกจะอยู่ทั้งวันก็อยู่ หรือจะไปไหน”
“งั้นนอนต่อนะ” ผมหลุดยิ้ม เหมือนวิปครีมจะง่วงจริงๆ
“ไม่หิวข้าว บ่ายสองละ” เธอสั่นหัว
“ถ้าแกออกไปซื้อข้าวก็ซื้อเผื่อมาเลย แต่ไม่ต้องปลุกนะ” แล้วเธอก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟา ผมส่ายหน้า แต่ก่อนจะออกไปหาอะไรกินก็คิดว่าลุกไปหยิบผ้าห่มมาให้น่าจะดี...แต่พอนึกภาพที่ตัวเองนอนกับฟอนต์เมื่อคืนก็ไปหาผ้าห่มผืนใหม่มาคลุมให้เธอ วิปครีมที่ยังไม่หลับลืมตามองผม
“แอร์มันเย็น”
“อือ ขอบใจ” แล้วก็ดึงผ้าห่มมาคลุมโปง ผมจึงออกจากห้องไปหาข้าวกิน แล้วซื้ออะไรมาเผื่อเธอตามที่เจ้าตัวสั่ง ผมไปร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลคอนโดมาก ไม่ได้กินที่ร้านแม้จะหิวแต่สั่งกลับมาเลย มาถึงวิปครีมยังนอนอยู่ ผมเปิดตู้เย็นที่มีแก้วคาปูแช่ไว้มาดูดปะทังความหิวไปก่อน แล้วก็กลับไปนอนเล่นเกมที่ห้องตัวเอง ประมาณชั่วโมงหน่อยๆ วิปครีมถึงตื่น
“ปลื้มแกซื้อข้าวมาฝากฉันไหม” ตื่นก็ถามหาของกินเลย ผมถือโทรศัพท์ที่ยังเล่นเกมค้างไว้เดินไปหาเธอ
“อยู่ในครัว ดูสิมันเย็นไปไหม” ไม่ได้บอกใครหรอก บอกตัวเองเองนี่แหละ วิปครีมเดินมาแกะกับข้าวช่วยผม
“กินได้แหละ ไม่ต้องอุ่น” เธอไปหยิบถ้วยจานมาใส่อาหาร เปิดตู้เย็นหาน้ำดื่ม คงหิวมากจริงๆ
“ปวดหลังว่ะ” เธอบ่นและทำค่ายืดตัว
“ก็ไปนอนขดบนโซฟาแบบนั้น เตียงมีให้นอน”
“ให้ฉันนอนเตียงแกเนี่ยนะ พาใครมานอนบ้างก็ไม่รู้” พอโดนเธอว่าแบบนั้นผมก็สลดนิดหนึ่ง วิปครีมไม่เคยมายุ่งเรื่องส่วนตัวผมหรอก เธอก็แซวๆ เล่นๆ ไปตามเรื่องเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ นั่นแหละ แต่เรื่องเตียงผมนี่น่าจะจริง มันคงรู้สึกแปลกๆ
“กินไปก่อนนะ เดี๋ยวเอาผ้าปูกับผ้าห่มลงถัง” วิปครีมเงยหน้ามองผมแบบอึ้งๆ
“หรือซื้อเตียงใหม่เลยแกจะได้นอนแบบสบายใจ” ผมพูดทีเล่นทีจริง วิปครีมทำหน้าเบื่อๆ
“แกนี่มันกะล่อนในสายเลือดจริงๆ กับเพื่อนกับฝูงก็ยังเล่น แบบนี้ไงฉันกับออร์แกนถึงโดนสาวแกแหกวันนั้นน่ะ” พอถูกเธอบ่นผมก็รู้สึกผิดขึ้นมา ความจริงผมไม่ชอบเล่นกับเพื่อนๆ หรอก กับวิปครีมนี่ยิ่งเกร็งๆ เธอ...แต่มันเป็นความเกร็งที่ชอบเผลอได้ตลอดอะ
“กินข้าวไป แล้วค่อยไปซัก”
“อืม แสดงว่าแค่ซักก็ได้เนอะ” เห็นไหม ผมเผลอหยอดเธออีกแล้ว วิปครีมหน้าตึงขึ้นมา ก่อนจะถอนหายใจเหมือนเหนื่อยใจ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าว กินเหมือนหิวมากจริงๆ จะว่าไปผมเองก็ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า นี่จะบ่ายสามแล้ว
“วิปแกกลับบ้านตอนไหน” ผมถามหลังจากที่เราช่วยกันล้างจานเสร็จ
“นี่ไล่ฉัน”
“ไม่ ถ้าไม่รีบกลับตัดผมให้หน่อยสิ มันยาวละ รำคาญ” ไม่ได้รำคาญอะไรมากมาย แต่แค่อยากหาเรื่องให้เธอตัดผมให้ ผมชอบนะเวลาทำงานแล้ววิปครีมมาแต่งหน้า เซ็ตผมหรือจัดเสื้อผ้าให้น่ะ
“อืม ฉันน่าจะมีอุปกรณ์บนรถ” เธอก็น่าจะชอบแหละ มีหนูทดลองให้ได้ทำอะไรแบบนั้นน่ะ บางทีอยู่ว่างๆ ก็ชอบให้เพื่อนมาเป็นแบบให้แต่งหน้า ทำผม อารมณ์ศิลปินจริงๆ ส่วนผมก็ชอบเสนอตัวตลอด
“รอแป๊บหนึ่งเดี๋ยวลงไปเอาอุปกรณ์”
“ไปด้วย” ผมตามเธอลงไปเอาพวกกรรไกรตัดผมที่รถเธอ จะใช้เธอไปเอาคนเดียวก็คงจะใช่เรื่องว่าไหม พอกลับขึ้นมาถึงห้องวิปครีมก็ไล่ให้ไปสระผมก่อน
“อ้าว แต่เวลาไปร้านช่างเขาสระให้หรือเปล่า”
“จะตัดมั้ย” วิปครีมปรามที่ผมหาเรื่องกวนเธอ จำได้ว่าวิปครีมเคยบ่นผมตั้งแต่ปีหนึ่งที่เราเริ่มสนิทกันว่า ‘ฉันไม่คิดว่าแกจะโตมาเป็นคนแบบนี้เลยปลื้ม’
‘เป็นคนหล่อใช่ไหม’ ก็นั่นแหละ เด็กผู้ชายที่เธอต้องคอยช่วยเหลือเวลาถูกคนอื่นแกล้งตั้งแต่อนุบาลจนถึงปอหกจะโตมาเป็นผมที่พราวด์ในความหล่อและเสน่ห์แรงของตัวเอง เปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า มันเป็นความสัมพันธ์ที่เหมือนพ่อกับแม่ซึ่งผมควรจะไม่ชอบ แต่กลายเป็นว่าผมทำเหมือนพวกเขา แต่ต่างกันแค่ผมเปลี่ยนคนควงไปเรื่อยๆ ผมไม่อยากคบใครนานเพื่อผูกพัน ปกติวิปครีมก็คงไม่มายุงเรื่องของผมหรอกถ้าผมไม่ชอบแหย่เธอด้วยน่ะ ทั้งๆ ที่ผมเคารพวิปครีมมากกว่าใครอยู่แล้ว แต่ก็เป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมอยากหยอกล้อแบบนี้
หลังจากสระผมเสร็จวิปครีมก็มาตัดผมให้ตรงแถวๆ ห้องนอน มันมีกระจกบานใหญ่ และพื้นห้องทำความสะอาดง่ายกว่าห้องนั่งเล่นที่ปูพรม ผมมองกระจกสังเกตคนที่ตั้งใจตัดผมให้ วิปครีมเป็นคนตาโต ขนตายาวหนาแต่ไม่งอนมาก มันทำให้สายตาเธอดูดุๆ ปนหวาน เป็นคนหน้านิ่งติดหงุดหงิดหน่อยๆ แต่เวลาทำงานพวกนี้มันตั้งใจและจริงจัง ผมชอบมองตาเธอเวลาที่วิปครีมทำงานที่เธอชอบ โดยเฉพาะเวลาแต่งหน้าที่ได้มองใกล้ๆ