ชาร์ลส์ แอชตัน วินเทอร์

1808 Words
“ขอโทษด้วยนะมิสเตอร์เทย์เลอร์ที่รบกวนเวลาทำงาน แต่ผมมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ เท่าที่ดูแล้ว คุณคงไม่เหมาะกับงานของที่นี่ คุณคิดว่าไง” ชาร์ลส์ แอชตัน วินเทอร์เอ่ยด้วยเสียงเรียบเรื่อย แต่รอยยิ้มเย็นเยียบบนมุมปากและดวงตาสีควันบุหรี่ฉายแววจริงจังเฉียบขาดทำให้จอห์นสัน เทย์เลอร์ บริกรหนุ่มของห้องอาหารซึ่งถูกเรียกมาคุยในห้องทำงานถึงกับเสียวสันหลังวาบด้วยรู้ดีว่าใกล้ชะตาขาดเต็มที ปกติชาร์ลส์อ่านคำร้องเรียนของลูกค้าด้วยตัวเองเป็นประจำ พบว่ามีลูกค้าร้องเรียนเรื่องความไม่กระตือรือร้นในการให้บริการและความไม่เป็นมิตรของจอห์นสันมาเป็นครั้งที่สองแล้ว และบริกรหนุ่มไม่ปรับปรุงตัว ฉะนั้นคงถึงเวลาจัดการขั้นเด็ดขาดเพื่อไม่ให้โรงแรมดิ แอชตัน วินเทอร์เสื่อมเสียชื่อเสียงที่สั่งสมจากรุ่นสู่รุ่นไปมากกว่านี้ ความเป็นมาของดิ แอชตัน วินเทอร์น่าทึ่งเสมอสำหรับใครหลายคนที่ได้ฟัง ใครจะเชื่อว่าจากเกสต์เฮาส์ธรรมดาๆที่มีห้องพักไม่กี่ห้อง จะกลายเป็นอาณาจักรธุรกิจโรงแรมอันยิ่งใหญ่ ขยายสาขาไปกว่าสองร้อยแห่งทั่วโลกแล้วในปัจจุบัน ความสำเร็จเหล่านั้นมาจากมันสมองและการทุ่มเททำงานอย่างหนักของคนในตระกูลวินเทอร์ ไม่ใช่เพียงโชคชะตาอย่างเดียว เขาซึ่งเป็นผู้บริหารรุ่นล่าสุดจึงยอมไม่ได้ หากจะมีอะไรทำให้โรงแรมเสียหาย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสาขาแม่อย่างลาสเวกัสหรือว่าประเทศไหน มาตรฐานการบริการต้องอยู่ในระดับเดียวกัน นั่นคือยอดเยี่ยมมากที่สุด! พนักงานที่ทำผิดพลาดหรือถูกลูกค้าเขียนร้องเรียน ชาร์ลส์จะให้โอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากมีครั้งที่สองอีกจะถูกไล่ออกทันที และแน่นอน เขายุติธรรมมากพอที่จะตรวจสอบและถามโดยละเอียด ก่อนตัดสินอนาคตของใคร “ผม…” จอห์นสันคิดหาคำตอบอยู่นาน แต่ก็หาคำพูดดีๆไม่ได้ พนักงานทุกคนรู้ดีว่า หากถูกชาร์ลส์เรียกเข้าพบที่ห้อง ทั้งที่ไม่ได้ทำงานร่วมกันโดยตรง เก้าสิบเปอร์เซ็นต์มักไม่ใช่เรื่องดี เขาไม่คิดเลยว่าวันนี้จะเป็นตัวเอง “เชิญ!” ชาร์ลส์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานหลังโต๊ะไม้เนื้อดี ผายมือไปยังประตูทางออกโดยไม่รอฟังข้ออ้างใดๆ “แต่ผมยังไม่ได้ตอบ…” “ผมถามเพื่อให้คุณตอบตัวเอง ไม่ใช่ตอบผม ไปได้แล้ว!” “คุณชาร์ลส์ครับ…” “ออกไป” ชาร์ลส์เอ่ยเสียงต่ำอย่างเริ่มโมโหที่อีกฝ่ายพูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง ใบหน้านิ่งขรึมน่าเกรงขาม ดวงตาสีควันบุหรี่ดุดันมีอำนาจ ทำให้คนถูกมองร้อนๆหนาวๆ รีบค้อมศีรษะและหันหลังออกจากห้องแทบไม่ทัน ชายหนุ่มส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ ถ้าไม่ท้าทายกฎระเบียบของโรงแรม เขาคงไม่ต้องไล่ออกแบบนี้ เดือนๆหนึ่งต้องมีพนักงานถูกไล่ออกไม่ต่ำกว่าห้าคน สาเหตุหลักก็คือไม่รู้จักหน้าที่ตัวเอง คนพวกนี้น่าเบื่อที่สุด! เจ้าของโรงแรมวัยสามสิบปีอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทพอดีตัวซึ่งตัดเย็บเพื่อเขาโดยเฉพาะจึงส่งเสริมให้เขาดูสง่างามโดดเด่นสมฉายาเจ้าชายแห่งลาสเวกัสโดยไม่มีใครคัดค้าน ด้วยรูปร่างสูงใหญ่กว่าร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ใบหน้าหล่อเหลาราวพระเอกฮอลลีวู้ด ดวงตาสีควันบุหรี่มีเสน่ห์ชวนค้นหา แต่ก็ดุดันเฉียบขาดเมื่อถึงเวลาจริงจัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมเป็นเขา อธิบายได้ง่ายๆด้วยคำว่าเพอร์เฟ็กต์ ชาร์ลส์ไม่ได้มีดีแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่ทำให้สาวๆต่างหลงใหลเท่านั้น แต่ยังเก่งกาจในด้านการทำงานอย่างหาตัวจับยาก หลังจบด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชาร์ลส์ก็เริ่มเรียนรู้งานอย่างตั้งใจจากพ่อแม่ ชายหนุ่มเข้ามานั่งแท่นบริหารโรงแรมเต็มตัวจริงๆเป็นเวลาประมาณสี่ปีแล้ว ส่วนมิสเตอร์และมิสซิสวินเทอร์ ตอนนี้เกษียณตัวเองและกำลังใช้เวลากับการท่องเที่ยวรอบโลกและพักอยู่ในแต่ละประเทศประมาณสามถึงสี่วันเพื่อเรียนรู้ผู้คนและวัฒนธรรมอันหลากหลาย พวกท่านออกเดินทางไปเกือบสามเดือนแล้ว อีกประมาณหนึ่งอาทิตย์จึงจะกลับมาอเมริกา แม้ธุรกิจโรงแรมจะมีการแข่งขันสูง แต่ภายใต้การบริหารของซีอีโอฝีมือฉกาจอย่างชาร์ลส์แล้ว ดิ แอชตัน วินเทอร์ไม่เคยประสบภาวะขาดทุน และยังขยายสาขามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะชายหนุ่มมีกลยุทธ์อันยอดเยี่ยมและรอบคอบในการจัดการกับทุกเรื่องเสมอ ถ้าพูดถึงด้านความรัก เป็นที่รู้กันดีว่าชาร์ลส์ แอชตัน วินเทอร์ขึ้นชื่อในเรื่องผู้หญิง เขาเปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้า สาวๆทุกคนเต็มใจเป็นผู้หญิงชั่วคราวของเขา เพราะอยากมีช่วงเวลาอันแสนวิเศษและสุดหฤหรรษ์กับเจ้าชายแห่งลาสเวกัส แม้ความสุขเหมือนอยู่บนสวรรค์จะยาวนาวแค่วันเดียวหรือไม่กี่ชั่วโมง แต่เท่านั้นก็เพียงพอสำหรับพวกเธอ จริงๆแล้วชาร์ลส์เคยแต่งงานมาหนึ่งครั้งตอนอายุยี่สิบห้า แต่ภรรยาเสียชีวิตทันทีหลังคลอดลูก เขาจึงกลายเป็นพ่อหม้ายเนื้อหอมที่สาวๆรุมล้อมเข้าหา เพื่อท้าชิงตำแหน่งภรรยามหาเศรษฐีอันดับต้นๆของโลก ทว่าชาร์ลส์ไม่เคยคิดจะลงหลักปักฐานกับผู้หญิงคนไหน เพราะยังไม่มีใคร ‘ใช่’ สำหรับเขา ทุกวันนี้แม้จะมีสาวสวยเซ็กซี่หุ่นระดับนางแบบรายล้อมรอบกาย ช่วยปลดเปลื้องความปรารถนาของร่างกาย แต่ในส่วนลึกของหัวใจเขากลับว่างโหวง ไม่รู้สึกลึกซึ้งกับใคร เหมือนหัวใจกลายเป็นเพียงก้อนเนื้อธรรมดาๆที่ถูกแช่ไว้ใต้ทะเลน้ำแข็งอุณหภูมิติดลบ หรือเขาจะกำลังรอคอยใครคนหนึ่งซึ่งอาจไม่มีวันได้พบกันอีก …เด็กสาวชาวไทยคนนั้น ทำไมยัยเด็กกะโปโลถึงยังมีอิทธิพลกับเขาจนทำให้นึกถึงได้บ่อยๆนะ ทั้งที่เวลาผ่านมานานจนไม่รู้ว่าเด็กนั่นจะจำเขาได้หรือเปล่า ป่านนี้เจ้าหล่อนคงมีชีวิตของตัวเอง และอาจแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วก็ได้ เขาเองก็ควรจะลืมเธอสักที เสียงโทรศัพท์มือถือของชาร์ลส์ดังขึ้น หยุดความคิดของชายหนุ่มลงโดยอัตโนมัติ มือหนาหยิบสมาร์ทโฟนสีเทาเครื่องบางออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทเนื้อดี ปกติแล้วเบอร์ส่วนตัวของเขาไม่ค่อยมีคนโทร.เข้านัก เพราะเขามีเบอร์สำหรับคุยเรื่องธุรกิจโดยเฉพาะ และอีกเบอร์สำหรับสาวๆ นั่นหมายความว่าคนที่โทร.มาเลขหมายนี้ต้องสนิทสนมกันระดับหนึ่ง ทว่าเบอร์ที่โทร.เข้ามาไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในเครื่อง “สวัสดีครับ” ชาร์ลส์คิดว่าอาจเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งเปลี่ยนเบอร์ ปลายสายเงียบไปผิดปกติจนเขาต้องเอ่ยขึ้นอีก “สวัสดีครับคุณ ได้ยินไหม” “ได้ยินค่ะได้ยิน อย่าเพิ่งวางนะคะ” เธอตอบแบบลนๆ สำเนียงแม้ไม่ใช่อเมริกันแท้ แต่ก็เรียกได้ว่าใกล้เคียงเจ้าของภาษา แต่อะไรก็ไม่น่าแปลกเท่าน้ำเสียงคุ้นหูซึ่งทำให้ลมหายใจเขาขาดห้วง “ครับ ผมรอฟังอยู่” เขาอยากได้ยินเสียงเธอให้มากกว่านี้ “ไม่ทราบว่านั่นคุณชาร์ลส์ผู้ปกครองของแองจี้หรือเปล่าคะ” “ครับ ผมชาร์ลส์ เป็นพ่อของแองจี้” ชาร์ลส์คิดว่าต้องเคยคุยกับคนปลายสายมาแล้วแน่ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่คุ้นเสียงแบบนี้ “ดีใจจริงๆค่ะที่ติดต่อคุณได้ ฉันเวณิกาค่ะ ตอนนี้แองจี้ลูกสาวของคุณอยู่กับฉัน แกคงพลัดหลงกับคุณระหว่างทางน่ะค่ะ ฉันเห็นยืนร้องไห้อยู่บนทางเท้าเลยเข้าไปช่วย ไม่แน่ใจว่าฉันจะพาแองจี้ไปพบคุณได้ที่ไหนคะ” น้ำเสียงของเธอดูโล่งอกมาก สิ่งที่เธอบอกทำให้ชาร์ลส์ลืมทุกอย่างที่กำลังคิด เขารู้สึกวาบลึกในอกเหมือนหัวใจถูกกระชากทิ้ง สีหน้าและน้ำเสียงเครียดเคร่งกระวนกระวาย “พลัดหลงเหรอครับ?” “ใช่ค่ะ ฉันกับเพื่อนพยายามช่วยกันตามหาคุณตามข้อมูลที่ได้จากแองจี้แต่ไม่เจอ ตอนนั่งพักฉันสังเกตว่าแองจี้สะพายกระเป๋าใบเล็กๆพอดีเลยลองค้นดูเผื่อจะเจอข้อมูลญาติ แล้วก็เจอเบอร์โทรศัพท์อยู่ในนั้นจริงๆ ฉันเลยลองติดต่อมานี่ละค่ะ ตอนนี้แองจี้เริ่มจะร้องไห้อีกครั้ง หลังจากหยุดไปพักใหญ่ ฉันขอบอกแกแป๊บนึงนะคะว่าจะได้เจอคุณพ่อแล้ว” ชาร์ลส์ได้ยินผู้หญิงที่ทั้งชื่อและเสียงคุ้นหูพูดกับลูกสาวเขา ต่อจากนั้นเสียงร้องดีใจของแองจี้ก็ดังมาตามสาย ชายหนุ่มโล่งใจขึ้นเล็กน้อยที่รู้ว่าลูกปลอดภัย แต่จะไม่วางใจจนกว่าจะได้ตัวแองจี้กลับมา “แองจี้ยิ้มกว้างเลยค่ะที่รู้ว่าจะได้กลับไปหาคุณพ่อแล้ว ตกลงให้ฉันพาแองจี้ไปพบที่ไหนดีคะ” “ผมจะรออยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรมดิ แอชตัน วินเทอร์” ท่าทางวันนี้เขาต้องไล่พี่เลี้ยงของแองจี้ออกอีกคน โทษฐานที่ดูแลลูกสาวเขาไม่ดีจนพลัดหลงกัน ทั้งที่ไม่ควรเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย และครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องสอบสวน เพราะความผิดพลาดที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของแองจี้ไม่สามารถให้อภัยได้ “อ๋อ ฉันพักอยู่ที่นั่นเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวรอไม่เกินสิบห้านาที ฉันจะพาแองจี้กลับไปส่งให้คุณนะคะ” บุคลิกของเธอน่าจะสดใสไม่ต่างจากน้ำเสียง ชายหนุ่มยิ้มพราย เธอคงไม่รู้ว่าเขาเป็นเจ้าของโรงแรม เพราะเบอร์โทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายของแองจี้เผื่อกรณีฉุกเฉินไม่ได้ระบุนามสกุล “ตกลงครับ ขอบคุณมาก คุณเวณิกา” นอกจากลูกแล้ว ชาร์ลส์ยังอยากเจอหน้าผู้หญิงที่จะพาลูกมาส่งเป็นอย่างสูง เพราะสงสัยว่าเธอคือใคร ทำไมถึงทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยได้ถึงขนาดนี้ เจ้าของโรงแรมหนุ่มเตรียมตัวออกจากห้องทำงาน แต่แล้วเสียงอินเตอร์คอมจากเลขาฯก็ดังขึ้นเสียก่อน “คุณชาร์ลส์คะ สายจากมิสเตอร์กรีน บริษัทรีโวล์ฟ คอร์เปอร์เรชั่น ที่ทางเรากำลังเจรจาเรื่องความร่วมมือทางธุรกิจค่ะ ให้ดิฉันโอนเข้าไปเลยไหมคะ” ชาร์ลส์ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ให้ตายเถอะ เขาลืมสนิทว่ามีนัดคุยโทรศัพท์กับมิสเตอร์กรีนวันนี้ อีกสิบห้านาที ผู้หญิงที่ชื่อเวณิกาจะพาลูกสาวเขามาส่ง แต่การสนทนากับนักธุรกิจวัยกลางคนคงไม่จบง่ายๆแน่ เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วและบอกผู้ช่วยสาว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD