ตอนที่ 6
ตัดภาพไปยังฝั่งตะวันในร่างหลินเหยียนหรง
ขณะเดียวกันที่เรือนด้านใน ตะวันนั่งพับเพียบอยู่ข้างเตาถ่าน มือขัดมะพร้าวด้วยแรงทั้งหมดที่มี ร่างกายเหนื่อยล้าแต่จิตใจกลับกระวนกระวายยิ่งกว่า
“คืนนี้ต้องเข้าหอจริง ๆ เหรอ...?”เธอบ่นเบา ๆ กับตัวเอง พลางหันไปมองเสี่ยวผิงที่กำลังล้างหม้ออยู่ใกล้ ๆ
“ข้าได้ยินว่าแม่ทัพจะเข้าหอคืนนี้เจ้าค่ะ!” เสี่ยวผิงหันมากระซิบกระซาบ สีหน้าตื่นเต้นเกินเหตุ
“คุณหนูเจ้าคะ ข้าจะเตรียมชุดนอนให้งามที่สุด!”
“งามไปก็เท่านั้นแหละ...” ตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เขาไม่มองข้าด้วยซ้ำ”
“แต่อย่างน้อยท่านแม่ทัพก็จะมานั่งในห้องเดียวกับท่านนะเจ้าคะ!” เสี่ยวผิงยิ้มสดใส ราวกับกำลังดูละครหลังข่าว
ตะวันชะงักเล็กน้อย หัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล
“เขาก็แค่เสแสร้งแกล้งเข้าหอ ตามแบบฉบับในซีรีส์...”เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง พลางเหลือบมองกระจกบานทองเก่า ๆ ที่ตั้งอยู่มุมห้อง
ผมเธอยังยุ่งเหยิง ใบหน้าเปื้อนเขม่าถ่าน แถมยังมีกลิ่นหัวปลีติดอยู่จากการลงมือทำแกงเองเมื่อเย็น
‘โถ่เว้ย...แล้วนี่ฉันจะได้ออร่าคุณหนูตรงไหนกัน’
เธอถอนหายใจพลางตบหน้าผากตัวเองเบา ๆคืนนี้...ต่อให้เขามาเข้าหอจริง ๆ ก็คงไม่ต่างอะไรกับการมานั่งคุมสอบ หรือไม่ก็เป็นการแวะมาดูผลงานของลูกจ้างในคราบภรรยา
“หรือเขาจะมาแค่ทำหน้าที่ให้ครบพิธี...แล้วก็กลับเรือนตัวเอง”ตะวันหัวเราะหึ ๆ อย่างปลงตก
“ถึงจะหล่อ...แต่เย็นชาขนาดนั้น ใครจะไปอยากให้มาอยู่ด้วยเล่า!”
ถึงปากจะบ่นอย่างนั้น แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะคว้าผ้าขาวม้าในตะกร้า มาเช็ดหน้าเช็ดตัวลวก ๆ แล้วหยิบหวีไม้ขึ้นมาจัดการกับเส้นผมพันกันยุ่งเหยิง
‘อย่างน้อยก็ต้องดูเป็นคนหน่อย...เผื่อเขาเปลี่ยนใจ’
“คุณหนูเจ้าคะ! อาบน้ำยังเจ้าคะ! หรือจะให้ข้าต้มน้ำอุ่นเพิ่มดี?”
“ไม่ต้องแล้วเสี่ยวผิง เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“งั้นข้าจะเตรียมที่นอนนะเจ้าคะ เผื่อว่าท่านแม่ทัพ...จะนอนที่นี่คืนนี้”สิ้นคำ เสี่ยวผิงก็ยิ้มกว้างเกินเบอร์ ราวกับสาวน้อยที่กำลังลุ้นตอนจบละครรักหวานแหวว
ตะวันหันไปค้อนให้หนึ่งวงใหญ่“ไม่ต้องมาทำหน้ารื่นรมย์ขนาดนั้นหรอก เขาจะอยู่ก็เรื่องของเขา จะกลับเรือนก็ยิ่งดี!”
แต่เธอก็ยังไม่วายแอบดึงผ้าแพรสีอ่อนขึ้นมาคลุมไหล่ มองเงาตัวเองในกระจกอย่างไม่ไว้ใจ
‘ตะวัน...คืนนี้เธออาจต้องเล่นละครฉากใหญ่ ชีวิตเธออาจอยู่รอดได้ด้วยการ “แกล้งสงบเสงี่ยมเจียมตัว” ให้มากที่สุด’ใจหนึ่งก็หวั่น
อีกใจหนึ่ง...ก็เต้นไม่เป็นจังหวะเหมือนเคย
เมื่อถึงเวลาเข้าหอ
แสงตะเกียงบนผนังวูบไหวตามสายลมที่ลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่าง บรรยากาศภายในห้องชวนให้ใจเต้นแรงยิ่งกว่าเสียงกลองในศึกแคว้นเหนือ
ตะวันนั่งตัวตรงบนขอบเตียง เบียดชิดผนังเหมือนตัวเองเป็นแมวกลัวน้ำ ในใจนับหนึ่งถึงสิบอย่างเงียบเชียบ พร้อมคำภาวนา
‘คืนนี้...อย่ามีอะไรเกินพิกัดเรต PG13 เลย ขอร้องเถอะ’
อีกฟากหนึ่งของเตียง แม่ทัพซือหยางเพิ่งปลดกระบี่ลงวางบนขอบโต๊ะ เสื้อนอกคลุมไหล่ถูกถอดพาดไว้ข้างเก้าอี้ เผยให้เห็นชุดในสีเข้มที่ยิ่งขับให้บุรุษตรงหน้าดูองอาจและ...อันตรายเกินไปสำหรับหัวใจของนางร้ายมือใหม่
“หากเจ้ากลัว ข้าจะไปนอนที่โต๊ะ”เขาเอ่ยเสียงเรียบ ไม่เร่ง ไม่เร้า
ตะวันสะดุ้งรีบโบกมือ
“มะ...ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ! ท่านแม่ทัพโปรดพักผ่อนบนเตียง ข้านอนตรงนี้ก็ได้”เสียงขาดหายไปเมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
สายตาคมคู่นั้นจ้องลึก ราวกับจะอ่านทุกอย่างที่เธอคิด
“เหยียนหรง...เจ้ากลัวข้าถึงเพียงนี้?”
ตะวันเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจวิ่งร้อยเมตรแบบไม่ยั้ง‘อยากตอบว่า ใช่ค่ะ! แต่ก็ไม่ได้! ฉันต้องเล่นบทเรียบร้อย!’
“เปล่าเจ้าค่ะ...ข้าแค่เกรงใจ”
เขายืนนิ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “คืนนี้ข้าจะนอนบนพื้น”พูดจบก็หยิบผ้าห่มไปอย่างไม่รอคำค้าน
“อ้าวเฮ้ย” ตะวันอุทานในใจ แล้วรีบลุกขึ้น
“ท่านแม่ทัพ! อย่างนั้นข้าน้อยจะผิดใหญ่! เดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิดว่าท่านรังเกียจข้า”
“หรือเจ้าอยากให้เข้าใจว่าข้าหื่นกาม?”
เขาหันกลับมาถามด้วยหน้าตาเฉยชาแบบไร้ความเขินแม้แต่น้อย
ตะวันพูดไม่ออก รู้แค่ว่าเธออยากมุดใต้เตียงแล้วส่งซับไตเติลไทยว่า
‘ฉันแค่ไม่รู้บทค่ะคุณ!’
เธอยิ้มแหย ๆ
“งั้น...เรานอนคนละฝั่งเจ้าค่ะ คนละผ้าห่มด้วยนะคะ เอ๊ย...เจ้าค่ะ!”
เขาไม่ตอบอะไร เพียงเดินกลับมาทรุดตัวลงนอนข้างหนึ่งของเตียงโดยไม่พูดสักคำ ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาอีก มีเพียง...กลิ่นอายอุ่นจากร่างกายบุรุษข้างกาย ที่ทำให้ตะวันกลืนน้ำลายอึกใหญ่
‘อยู่ดี ๆ ก็มาแชร์เตียงกับพระเอกขรึม ๆ ในซีรีส์จีนย้อนยุค จะรอดไหมคืนนี้!’
เธอเอนตัวลงนอนอีกฝั่ง หันหลังให้เขาอย่างวางฟอร์ม ก่อนจะค่อย ๆ กระซิบเบา ๆ กับตัวเองเป็นภาษาไทย
“ขอให้คืนนี้ไม่มีเหตุฉุกเฉิน ไม่มีฉากเลิฟซีน ไม่มี...”
เธอเพิ่งพูดถึงตรงนั้น เสียงทุ้มด้านหลังดังแผ่วเบา
“เจ้าพูดภาษาอะไร”
ตะวันชะงักเหมือนถูกจับได้คาหนังคาเขา
‘ฉิบหายแล้ว’
เธอรีบกลบเกลื่อน
“ข้าพูดภาษาตัวเองเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้ใส่ใจเลย”
เงียบ...
เงียบจนน่าขนลุก...
เสียงจิ้งหรีดนอกหน้าต่างยังดังกลบความเงียบระหว่างคนทั้งสองไม่มิด
ตะวันนอนตะแคงนิ่ง รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาแม้จะไม่หันกลับไปมอง
‘อย่าหันนะ อย่าหันไป...มันคือกฎข้อหนึ่งของการอยู่รอดในบ้านพระเอกเย็นชา’
เธอภาวนาในใจ พยายามไม่กระดิกตัวแม้แต่นิด
แต่แล้ว
“ภาษาตัวเอง?”
เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นอีกครั้งอย่างครุ่นคิด
“เจ้ามิใช่เหยียนหรงคนเดิม”
ตะวันเบิกตากว้างทันที แต่ยังคงนอนนิ่ง ไม่ตอบ หัวใจเต้นรัวราวกับจะทะลุอกออกมา
‘ไม่เอานะ! อย่าพึ่งจับโป๊ะแตกตอนเข้าหอสิ!’
“ท่านแม่ทัพ...” เธอกลั้นหายใจ ก่อนตอบเสียงเบาแหบแห้ง
“บางครั้ง...ข้าก็รู้สึกว่าตัวข้าไม่ใช่ข้า...ท่านเคยเป็นเช่นนั้นบ้างหรือไม่?”
เงียบอีกครั้ง...
คราวนี้เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของเขาชัดเจน เขาไม่ตอบ แต่กลับขยับตัวใกล้เข้ามา
“เจ้าฝันร้ายหรือกำลังเพ้อ?”
ตะวันรีบพยักหน้าเป็นจังหวะเร็วจี๋
“เพ้อ...ข้ากำลังเพ้อแน่นอนเจ้าค่ะ ฮ่าๆๆ”เสียงหัวเราะของเธอฟังดูประดิษฐ์จนแม้แต่แมลงวันยังหยุดบินมาฟัง
แม่ทัพซือหยางยังคงจ้องเงาหลังของนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา
“คืนนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไว้ก่อน...แต่หากเจ้ายังปิดบังอะไรจากข้าอีก...”เสียงนั้นเว้นจังหวะเหมือนตั้งใจให้ความกดดันกระแทกกลางอก
ตะวันกลืนน้ำลาย“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านแม่ทัพหลับเถอะนะเจ้าคะ คืนนี้ดึกมากแล้ว...”เธอพูดรัวแบบไม่เว้นวรรค พร้อมดึงผ้าห่มคลุมหัวตัวเองเป็นที่กำบังขั้นสูงสุดและสุดท้าย ความเงียบก็กลับมาเยือนอีกครั้ง
พร้อมกับความจริงที่เธอรู้แน่ชัดในใจ
‘เขาสงสัยแล้วแน่ ๆ ...ฉันต้องไม่พลาดอีก! ต้องเป็น “เหยียนหรง” เวอร์ชันตีบทแตกที่สุด!’
ท่ามกลางความมืดและความตื่นตระหนก ตะวันค่อย ๆ หลับตาลงอย่างยากเย็น
คืนนี้เธออาจต้องฝันเห็นข้อสอบโอเน็ตฉบับปีถัดไปเพื่อเอาตัวรอดในโลกนิยายนี้ให้ได้...ในฐานะนางร้ายแสนดีจำเป็น!
เขาไม่ตอบ แต่เธอรู้ว่าความสงสัยได้แทรกเข้ามาในใจของท่านแม่ทัพแล้ว
‘ตะวัน...ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อในยุคนี้...คืนนี้ต้องไม่ละเมอเป็นภาษาไทยอีกเด็ดขาด!’เธอรวบผ้าห่มแน่น หลับตาแน่น...และท่องสวดบท “เอาชีวิตรอดในซีรีส์จีน” อีกรอบที่ร้อย