ตอนที่12

1910 Words
ตอนที่ 12 “ขะ...ขอรับ?” เสียงที่เปล่งออกไปเบาและต่ำพอประมาณ (เธอพยายามกดกล่องเสียงสุดชีวิต)มือซ้ายดึงผ้าปิดผม มือขวากำแขนเสื้อแน่น สีหน้าสุดระทึก หัวใจแทบจะหลุดร่วงหล่นลงมากระทบพื้น ซือหยางพินิจมองเธอครู่หนึ่งหากแต่บรรยากาศมันค่อนข้างมืดสลัวทำให้มองเห็นแค่เลือนลาง ใบหน้านิ่งหล่อคมของเขายากจะคาดเดาอารมณ์ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นเบา ๆปนจำผิด “เจ้ามาทำอะไรที่นี่...ยามวิกาล?” แน่นอนว่ากำลังจับผิด เหยียนหรงดึงผ้าคลุมหัวให้กระชับมากขึ้น รีบจัดชายผ้าคลุมให้ดู “รอดโป๊ะ” ที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ขะ...ข้ามาอาบน้ำ...” เหยียนหรงพูดออกมาเบา ๆ อย่างจำยอม ซือหยางนิ่งไปเล็กน้อยเพราะสายตาไปเตะเข้ากับอะไรบางอย่าง จนเขาเริ่มเอะใจ แต่ยังแสร้งทำตัวนิ่ง ๆไว้ ร่างสูงเดินก้าวเข้ามาใกล้เธออีกสองก้าว จนระยะห่างเหลือเพียงไม่กี่ช่วงแขน เสียงรองเท้าบูทย่ำพื้นหินดัง "กรอบ" เบา ๆ เหยียนหรงชะงัก ก้มหน้าจนคางแทบชนอก ‘โอ๊ยย นี่มันไม่ใช่ฉากยืนอธิบายหรอกนะ อย่าเข้ามาใกล้สิคะ!’ “คนในค่ายทั้งหมดมีห้องน้ำแยก เจ้าเลือกจะมาอาบตรงลำธารกลางดึกคนเดียว...” “หรือว่าเจ้าต้องการปิดบังอะไร” เสียงของแม่ทัพซือหยางถามออกมาน้ำเสียงเยียบเย็นราวกับกำลังสืบสวน “ขะ...ข้าเปล่า...ข้าแค่...” เธออึกอัก กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ‘ตอบอะไรดี! คำว่า "ข้ามาจากอีกโลก" มันพูดออกไปไม่ได้แน่ ๆ’ ร่างสูงของซือหยางขยับเข้ามาใกล้อีกก้าว แค่เงาของเขาทาบลงมาก็ทำให้เหงื่อเย็นผุดขึ้นกลางหลังเธอทันที “หากเจ้ามีสิ่งใดที่ข้าควรรู้...” เขาว่าช้า ๆ พลางหรี่ตาลง “ก็ควรพูดมันออกมาตอนนี้” ตะวันในร่างเหยียนหรงเริ่มตื่นตระหนกในใจ ‘ไม่เอานะ! อย่าจับโป๊ะตอนนี้ ฉันยังไม่ได้เริ่มลงมือทำซุปวันพรุ่งเลย’ เธอยกมือขึ้นลูบผ้าที่คลุมศีรษะไว้เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่หลุดร่วงลงต่อหน้าเขา แล้วแสร้ง ไอเบา ๆ พลางตอบเสียงสั่น “ข้า...ไม่ได้ปิดบังอะไรเจ้าค่ะ ข้าแค่...แค่รู้สึกไม่ชอบห้องน้ำที่ค่าย มันสกปรก และ...และบางทีข้าก็คิดถึงลำธารในบ้านเกิด...ก็เลย...” เธอเบนหน้าเลี่ยงสายตาแล้วงับปากแน่น ‘โอ๊ย ตอแหลยังไงให้ดูเศร้าดี แบบนางเอกกำลังอดกลั้น’ ซือหยางยืนนิ่งอยู่นาน ดวงตาคมยังจับจ้องมาที่เธออย่างไม่ไว้ใจ เขาเงียบไป...เงียบจนน่ากลัว จนในที่สุด... เขาหันหน้าหนี แล้วถอนหายใจเบา ๆ ราวกับยอมเชื่อ...หรืออย่างน้อยก็ “ปล่อยผ่าน” “คราวหน้าอย่ามาคนเดียวอีก” เขาว่าเสียงเข้ม “คืนนี้โชคดีที่ข้าเจอเจ้าเสียก่อน ไม่ใช่ยามเวร หรือทหารชั้นล่างบางคนที่...อาจจะไม่คิดอะไรก่อนกระทำ” คำพูดนั้นทำให้ตะวันชะงัก เขาห่วงเธอ...ใช่ไหม?หรือ...แค่ห่วงเรื่องความปลอดภัยของทหารในค่ายเฉย ๆ? “ขอรับ...” เธอก้มหน้ารับอย่างเงียบงัน แล้วพึมพำเบา ๆ “ขอบคุณที่เตือนขอรับ” ซือหยางไม่ตอบ เขาเพียงเดินผ่านเธอไปเงียบ ๆ ก่อนจะหยุดลงที่ปลายทางของลำธาร “รีบกลับกระโจมพักเสียก่อนจะดึกไปมากกว่านี้” เขาเอ่ยโดยไม่หันกลับมา “ข้าจะถือเสียว่า...ไม่ได้เจอเจ้าในคืนนี้” สิ้นคำ เงาร่างสูงสง่าก็ค่อย ๆ เดินจากไปอย่างเงียบเชียบ ตะวันยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างลำธาร ยกมือตบอกตัวเองเบา ๆ “เกือบไปอีกครั้งแล้วมั้ยล่ะ...” เธอกัดฟันแน่น มือสองข้างกำชายผ้าแน่นเหมือนจะบีบความตื่นตระหนกออกจากตัว “พระเอกจ้องจะจับโป๊ะฉันตั้งแต่หัวค่ำยันก่อนนอนเลยนะเนี่ย” แต่แล้วริมฝีปากเธอกลับคลี่ยิ้ม แม้จะโล่งใจที่รอดมาได้ แต่...ในใจกลับอุ่นวาบแปลก ๆ ‘เขาห่วงเรา...โดยไม่รังเกียจว่าเราเป็นแค่ทหารก้นครัวชั้นต่ำ...จิตใจดีเหมือนกันนะเนี่ย’ ตะวันในร่างเหยียนหรงถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางยิ้มบาง ๆ เผลอแอบชื่นชมเขาในใจเบา ๆ “คืนนี้รอดมาได้ก็เท่ากับรอดตายอีกหนึ่งวัน” “เกมนี้ยังไม่จบ...ฉันจะชนะให้ได้...” เธอมองผิวน้ำลำธารที่สะท้อนแสงจันทร์ แล้วลูบท้องเบา ๆ อย่างคนเริ่มหิว “ว่าแต่...พรุ่งนี้ทำเมนูอะไรดีนะ?” ดวงตาเธอวาววับขึ้นมาทันที “ไก่ทอดหาดใหญ่!” เช้าวันใหม่ที่ค่ายทหาร ซือหยางดูเหมือนจะเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างสดชื่น หากไม่ติดว่ามีกลิ่นอาหารบางอย่าง ลอยฟุ้งไปทั่วลานฝึก ตั้งแต่ยังไม่ทันแตรเป่าเรียกแถว กลิ่นกระเทียมเจียว...หอมจัดระดับทำลายสมาธิ! ทหารที่กำลังฝึกทวนสะดุ้ง หยุดท่าฟาดเพราะจู่ ๆ ก็หิวขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว “ใครมันทำอะไรในครัวน่ะ กลิ่นมันลอยมาถึงสนามซ้อมแล้ว!” "กลิ่นอะไรกันน่ะ? กลิ่นนี้...ไม่เคยเจอมาก่อน" “เหมือน...กระเทียมเจียวแห้ง? หรือว่า...ขี้เถ้าไม้ผสมสมุนไพร?” ทหารนายหนึ่งขมวดคิ้ว สูดจมูกแรง ๆ แล้วหันไปกระซิบเพื่อน “ข้าว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆกลิ่นนี้มันเหมือนของวิเศษ” “หรือเจ้าหนุ่มหน้าใหม่...มันเป็นพวกนักปรุงยาของพรรคมาร?” “หรือมันเป็นพ่อครัวสำนักลับแห่งยุทธภพ?” ที่ศาลาหลัก แม่ทัพซือหยางหยุดอ่านรายงานทหารชั่วครู่ ปลายจมูกได้กลิ่นหอมประหลาดลอยมาจากทิศตะวันออกของค่าย เขาเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย หรี่ตามองแนวครัว “กลิ่นอะไร...” เสียงทุ้มเอ่ยเบา ๆ พร้อมขมวดคิ้ว “...มันไม่ใช่กลิ่นจากอาหารของที่นี่แน่นอน” ฝั่งครัวค่าย อาเฟิงวางไก่ทอดหอมฉุยลงในถาดไม้ เรียงอย่างบรรจง กลิ่นกระเทียมเจียวเจือเครื่องหมักแบบไทยแท้ลอยตลบอบอวล ฟาดจมูกคนในครัวราวกับฟ้าผ่าลงกลางกระทะ คนโบราณที่ไม่เคยรู้จักกลิ่นสมุนไพรบ้านเธอถึงกับหันควับเป็นแถบ ตะวัน (ในร่างเหยียนหรง) แอบอมยิ้มขณะวางชิ้นสุดท้าย ‘ข้าวเหนียวไก่ทอดหาดใหญ่... เมนูอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ที่เรากินตั้งแต่ยังใส่กระโปรงนักเรียน’ เธอสูดกลิ่นหอมแล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ‘ถ้าได้ชาเย็นสักแก้วตอนนี้นะ...โอ๊ย ครบสูตร!’ เธอหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ พลางคิดอย่างเงียบ ๆ ‘แต่แค่เห็นคนทั้งค่ายทำตาโตเพราะไก่ทอดแบบไทย ๆ ก็คุ้มแล้วล่ะ’ กลิ่นไก่ทอดยังคงอบอวลไปทั่วลานค่าย แม้เวลาจะผ่านไปแล้วหลายเค่อ ทหารหลายคนยังกระสับกระส่าย แทบจะลืมหน้าที่เฝ้าระวังไปเสียสนิท ใครบางคนเผลอถือทวนกลับหัว อีกคนเผลอลับดาบไปกัดเล็บไป และหลายคน…กำลังแอบเหลียวมองไปทางห้องครัวอย่างกระวนกระวาย ทว่า แม่ทัพซือหยางผู้ครองใจแห่งสนามรบ กลับนั่งสงบนิ่งราวภูเขา แม้ใบหน้าเย็นชาตามแบบฉบับ แต่คิ้วกลับขมวดแน่น เขาวางพู่กันลงบนโต๊ะอย่างช้า ๆ หันไปหาเว่ยหลานที่ยืนประจำการอยู่มุมห้อง “เว่ยหลาน” เขาเอ่ยเสียงเย็น องครักษ์หนุ่มรีบก้าวเข้ามาด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม แม้ในใจจะยังพยายามข่มกลิ่นไก่ทอดที่ติดจมูกอยู่ไม่ไปไหน “ขอรับ ท่านแม่ทัพ” “เจ้าหนุ่มชื่ออาเฟิง คนนั้น…” ซือหยางพูดพลางหยิบจอกชา “เจ้าเห็นอะไรผิดปกติในตัวเขาหรือไม่?” เว่ยหลานนิ่งคิด เขาเคยได้คุยกับ “อาเฟิง” แล้วหลายครั้ง ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้สึก…อะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล “…เขาไม่เหมือนทหารทั่วไปขอรับ ข้าเคยเห็นชายยากไร้มากมาย แต่ไม่มีใครทำอาหารออกมาได้ดีสักคน ยามได้กลิ่นอาหารทำให้คิดถึงบ้านเกิดที่จากมา” เว่ยหลานตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ซือหยางหรี่ตา มองไปยังหน้าต่างที่ลมพัดพาควันจางของกระเทียมทอดปลิวมาแตะจมูก “กลิ่นอาอาหารทำให้คิดถึงบ้านเกิดงั้นหรือ...” เขาพึมพำเบา ๆ ก่อนวางจอกชาลง “บอกให้เขามาส่งอาหารให้ข้าทุกวัน ตั้งแต่พรุ่งนี้” ซือหยางเอ่ยคำสั่งเรียบ ๆ “และ...อย่าให้ใครเข้าใกล้เขาโดยไม่จำเป็น” เว่ยหลานเลิกคิ้วขึ้นทันที “ขอรับท่านแม่ทัพ” “ข้าจะสังเกตเขาเอง” เว่ยหลานพยักหน้า แม้จะไม่เข้าใจว่าท่านแม่ทัพผู้เย็นชาสั่งเช่นนี้ทำไม แต่ไม่กล้าถามซ้ำ ห้องครัวค่ายในเวลาเดียวกัน เหยียนหรงยังไม่รู้เลยว่า “กลิ่นหอมของไก่ทอดหาดใหญ่” ที่เธอเพิ่งปรุงไป กำลังเปลี่ยนสถานะของเธอในค่ายทหารโดยสิ้นเชิง แต่ตอนนี้เธอกำลังยืนเท้าสะเอวมองฝูงทหารชายที่กำลังมุงดูไก่ทอดอยู่ราวกับมันคือสมบัติศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นเหนือ “อย่ามุง! พวกเจ้าจะกินของข้าเป็นอาหารกลางวันก็รอให้ถึงเวลาก่อน!” เธอแผดเสียงใส่ ใช้น้ำเสียงพ่อครัวครึ่งหนึ่ง นางเอกละครไทยอีกครึ่ง ทหารที่เข้าใกล้หยุดทันทีเหมือนถูกตรึงด้วยคาถา “ข้า...แค่ดมเฉย ๆ” คนหนึ่งยกมือสั่น ๆ “ถ้าเข้ามาใกล้อีกข้าจะเอาทัพพีฟาดเลยนะ!” เธอพูดพลางชี้ทัพพีในมือไปข้างหน้า กลุ่มทหารถอยห่างทันทีเหมือนเห็นดาบของแม่ทัพเสียเอง ‘โอเค…นี่แหละอำนาจของอาหาร’ ตะวันในร่างเหยียนหรงยิ้มมุมปากอย่างภูมิใจ เธอเช็ดเหงื่อที่ไหลตามขมับ ก่อนจะหันไปกวาดตามองครัวที่ตอนนี้สะอาดและเป็นระเบียบขึ้นมากเพราะเธอใช้เวลาตั้งแต่เช้า “รื้อระบบการทำงาน” แบบที่เคยทำตอนบริหารร้านกาแฟในโลกเก่า “อาเฟิง” เสียงของพ่อครัวเฒ่าดังขึ้นจากด้านหลัง เธอหันไปทันที “ข้ามีคำสั่งใหม่จากแม่ทัพ” “หา? อีกแล้วเหรอเจ้าคะ เอ๊ย...ขอรับ?” พ่อครัวเฒ่าหรี่ตาเล็กน้อยกับคำหลุดของเธอ แต่ไม่พูดอะไร นอกจากยื่นกระดาษคำสั่งมาให้ คำสั่ง ให้พ่อครัวใหม่ อาเฟิง เป็นผู้รับผิดชอบการจัดเสบียงเฉพาะส่วนตัวของแม่ทัพ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเหยียนหรงเบิกตากว้างสุดขีด ‘ฉัน…ฉันได้เป็นพ่อครัวส่วนตัวของพระเอกแล้วเหรอ!!’ เธอเกือบกรี๊ดออกมาดัง ๆ แต่ต้องยั้งไว้เพราะยังอยู่ในร่างเด็กหนุ่มอาเฟิง เธอกำหมัดแน่นจนมือสั่น “อาเฟิง เจ้าตัวเล็กนั่น...กำลังจะเปลี่ยนชะตาทั้งค่าย!” เธอยิ้มมุมปากอย่างมุ่งมั่น ก่อนจะพึมพำเบา ๆ ราวกับสาบานกับตนเอง “จากนี้ไป...ฉันจะเปลี่ยนใจเขาให้ได้ ไม่ได้ใช้เล่ห์หรือมารยาหญิง...แต่ด้วย ‘กับข้าว’!” และเมื่อทหารคนหนึ่งแอบย่องมาใกล้หม้อไก่ทอดอีกครั้ง... เธอฟาดทัพพีใส่เสียงดัง เพี้ยะ! “อาหารของแม่ทัพ ห้ามแตะ!” เธอพูดเสียงกร้าว ทหารหนุ่มถอยกรูดไปทันที พร้อมเสียงซุบซิบจากรอบด้านว่า “เจ้าหนุ่มคนใหม่คนนี้...ไม่ธรรมดาจริง ๆ!” เธอแค่นเสียงหัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปลูบถาดไก่ทอดอย่างเอ็นดู ‘แม่ทัพซือหยาง…เจ้าจะตกหลุมรักฉันคนนี้...ผ่านหนังไก่ทอดก็แล้วกัน!’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD