จุดเริ่มต้น (1)
บ้านเด็กกำพร้าพิมพ์ดาว
“ ซัน มาหาแม่ที่ห้องหน่อยลูก" เสียงเรียกจากนางน้อยหรือที่เด็กๆเรียกกันว่าแม่น้อยผู้ดูแลเด็กๆในบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ พาให้คนถูกเรียกที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็ดทำความสะอาดชั้นหนังสือหันกลับไปขานรับและเดินไปหาเสียงเรียกนั้นทันที
“ ค่ะ แม่ เดี๋ยวซันไปค่ะ” เสียงหวานจากสาวน้อยนัยน์ตาเศร้าตอบกลับไป ซันหรือพราวตะวันถูกส่งตัวมาอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จนตอนนี้เรียนจบและมีงานทำ มีอนาคตที่ดีได้ก็เพราะที่แห่งนี้ เธอระลึกอยู่เสมอว่าใครที่ทำให้เธอได้มีชีวิตที่ดีอย่างทุกวันนี้ ไม่ต้องไปเป็นเด็กเร่ร่อนไม่มีบ้านอยู่ แค่นี้ชีวิตเด็กกำพร้าอย่างเธอก็ถือว่าดีมากแล้วจริงๆ
“ นั่งก่อนสิลูก แม่มีเรื่องอยากจะคุยกับหนูหน่อยหนะ" นางน้อยบอกกับคนที่เพิ่งเดินเข้ามาถึง
“ ค่ะ แม่ แม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับซันเหรอคะ”
“ หนูคิดว่ายังไงถ้าแม่จะให้หนูแต่งงาน" สิ้นเสียงคนถาม คนนั่งฟังอย่างพราวตะวันถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน พราวตะวันต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาลิ้นตัวเองเจอแล้วตอบกลับไป
“เอ่อ... แม่พูดเล่นรึเปล่าคะ หนูยังไม่คิดเรื่องแต่งงานตอนนี้หรอกค่ะ” พราวตะวันถามออกไปด้วยความแปลกใจเพราะเธอก็ยังไม่มีแฟนและไม่คิดว่าจะมีคนมาสนใจเด็กกำพร้าอย่างเธอ
“ แม่ก็ลำบากใจนะที่จะพูดเรื่องนี้กับหนู แต่คุณพิมพ์แพรขอร้องแม่ให้มาคุยกับหนูดูก่อน ท่านอยากให้หนูแต่งงานกับลูกชายของท่าน แต่ถ้าไม่อยากแต่งก็ไม่เป็นไรนะลูก แม่เข้าใจ แม่จะบอกท่านให้เอง”
นางน้อยบอกกับพราวตะวันอย่างลำบากใจ คนหนึ่งก็ผู้มีพระคุณอีกคนก็ลูกสาวที่เธอดูแลมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เธอรู้ดีว่าการแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตและควรเกิดจากความรัก แต่เมื่อพิมพ์แพรขอความช่วยเหลือให้ช่วยเกลี้ยกล่อมพราวตะวันให้ยอมแต่งงานกับลูกชายของเธอเพราะคิดว่าความอ่อนหวาน อ่อนโยนของพราวตะวันจะสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยเจ้าชู้ เพลบอย เห็นผู้หญิงเป็นของเล่นของผู้ชายอย่างวินเซนต์ เวสเนียร์ได้ อีกอย่างพิมพ์แพรก็ไม่ได้รังเกียจพราวตะวันเพราะเธอไม่ได้ตีค่าคนจากเงินทองหรือสถานะทางสังคมและคิดว่าพราวตะวันจะช่วยเปลี่ยนแปลงวินเซนต์ได้ แต่นางน้อยไม่ได้คิดอย่างนั้นเธอรู้ดีว่านิสัยเหล่านี้มันยากที่จะแก้และรังแต่จะทำให้ลูกสาวของเธอเสียใจ
“ ทำไมท่านถึงเลือกคนอย่างหนูคะแม่ หนูไม่มีอะไรคู่ควรหรือเหมาะสมกับลูกชายท่านแม้แต่นิดเดียว” พราวตะวันถามด้วยความสงสัย เธอเคยเห็นลูกชายของผู้มีพระคุณเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลา ดูมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจและเย็นชา ยากที่คนอย่างเธอจะเอื้อมถึง
“ ท่านบอกว่าความน่ารักอ่อนโยนของหนูจะช่วยเปลี่ยนแปลงเขาได้และท่านไม่ได้รังเกียจอะไรหนูเลยนะลูก”
“หนูรู้ค่ะว่าท่านให้ความเมตตาและเอ็นดูหนู แต่หนูคงไม่สามารถเปลี่ยนใครได้หรอกค่ะแม่ เรื่องนี้หนูขออนุญาตปฏิเสธนะคะ” พราวตะวันบอกเหตุผลและแสดงเจตนำนงที่จะปฏิเสธอย่างชัดเจน คนเป็นแม่ก็พยักหน้าตอบรับคำตอบจากลูกสาวอย่างยอมรับกับการตัดสินใจของเธอ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาสนามหญ้าหน้าบ้านเด็กกำพร้าพิมพ์ดาวถูกเนรมิตรให้เต็มไปด้วยดอกไม้ราวกับจะมีงานเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่าง พราวตะวันเอ่ยถามผู้เป็นแม่ด้วยความสงสัย
“แม่คะ เขาจะจัดงานอะไรกันเหรอคะ”
“ งานเลี้ยงของคุณพิมพ์ดาวหนะ แม่ขอไปดูแลความเรียบร้อยตรงโน้นหน่อยนะ” ว่าแล้วนางก็เดินจากไปเพราะไม่อยากตอบคำถามพราวตะวันไปมากกว่านี้ อันที่จริงนางรู้ดีแก่ใจว่างานนี้ถูกจัดขึ้นมาเพื่ออะไร...
เช้าวันรุ่งขึ้นพิมพ์แพรมาที่บ้านเด็กกำพร้าพิมพ์ดาวตั้งแต่เช้าเพื่อมาดูความเรียบร้อยของงาน เธอยิ้มออกมาด้วยความสุขที่เอ่อล้นเมื่อคิดว่าต่อจากนี้เธอจะได้เห็นลูกชายทำตัวเป็นหลักแหล่ง ไม่มีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิงอีกต่อไป ว่าแล้วเธอก็นึกย้อนกลับไปถึงการพูดคุยระหว่างเธอกับลูกชาย
‘ นี่แม่บ้าไปแล้วเหรอ จะให้ผมแต่งงานกับเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีทาง ผมไม่แต่งแน่ๆแม่เลิกคิดไปได้เลย’ วินเซนต์ตอบกลับมารดาด้วยความหัวเสียเมื่อมารดาขอแกมบังคับให้เขาแต่งงานเนื่องด้วยข่าวกับผู้หญิงที่เห็นได้ตามกอซซิปของเหล่าดาราเซเลปในเว็บไซต์ออนไลน์ต่างๆ และด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้นของเขา ซึ่งในหัวเขาไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเลยสักนิดเพราะไม่คิดจะหาห่วงมาผูกคอ ไม่อยากให้ใครแสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ผู้หญิงก็เหมือนเสื้อผ้าใช้เบื่อแล้วก็โยนทิ้ง แต่มาวันนี้แม่บอกให้เขาแต่งงานและผู้หญิงที่ว่านั่นยังเป็นเด็กกำพร้าที่แม่อุปการะไว้อีกด้วย นี่แม่เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
‘ แม่เชิญแขกไว้หมดแล้ว แกจะหักหน้าแม่เหรอวินเซนต์’ พิมพ์แพรบอกอย่างเป็นต่อ ลูกชายที่ว่าร้ายกาจแต่จะสู้กับคนเป็นแม่อย่างเธอได้อย่างไรกัน
‘ แม่คิดเองเออเองทั้งนั้น ผมไม่ได้ตอบตกลงแม่เลยนะครับ ยังไงผมก็ไม่แต่ง’ วินเซนต์บอกเสียงแข็ง
‘ หึ งั้นมรดกทั้งหมดฉันจะยกให้กับการกุศล แม้แต่แดงเดียวแกก็จะไม่ได้ อย่าลืมว่ากิจการทุกอย่างแม้ว่าจะมีชื่อแกเป็นประธานบริษัทแต่ทุกอย่างก็ยังเป็นชื่อฉันอยู่ ฉันจะยกให้ก็ต่อเมื่อแกแต่งงานเท่านั้น ตอนนี้พูดง่ายๆแกก็เป็นเหมือนลูกจ้างของฉันอยู่’ พิมพ์แพรยิ้มให้ลูกชายอย่างผู้มีชัย จนคนเป็นลูกอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้กับรอยยิ้มที่แสนจะร้ายกาจนั้น
‘นี่มันมัดมือชกกันนี่ครับ แล้วผมมีทางเลือกอื่นเหรอ แต่แม่อย่าหวังเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีความสุข’ วินเซนต์กัดฟันแน่นบอกมารดาอย่างเคียดแค้น เขาตั้งปนิธานต่อตนเองไว้ตรงนี้เลยว่า เขาจะไม่มีทางรักผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนั้นอย่างแน่นอน
‘ ถ้าภายในหนึ่งปีแกไม่รักเขา แม่จะยอมให้แกหย่ากับเขา’ พิมพ์แพรบอกอย่างมั่นใจทั้งที่ในใจก็ยังลังเลอยู่ว่าลูกชายที่แสนร้ายกาจของตนเองจะเปลี่ยนแปลงได้เพราะสาวน้อยว่าที่ลูกสะใภ้อย่างพราวตะวันหรือไม่
‘ ไม่แน่นอนครับแม่ คนอย่างผมไม่เคยหลงใครง่ายๆ ต่อให้สวยเป็นดารานางแบบผมก็ผ่านมานักต่อนักแล้ว ไม่มีผู้หญิงคนไหนเป็นได้มากกว่าแค่คู่นอน แม่คอยดูก็แล้วกัน’ วินเซนต์ยิ้มเย็นส่งให้มารดา
‘ จ้ะ แม่จะคอยดู’ พิมพ์ตอบอย่างมั่นใจแต่ข้างในก็รู้สึกหวั่นๆกับความร้ายกาจของลูกชาย
แต่พิมพ์แพรก็ต้องตื่นจากภวังค์เมื่อเมื่อคนมาใหม่เอ่ยทักทาย
“ สวัสดีค่ะท่าน มาถึงนานแล้วเหรอคะ “
“สวัสดีจ้ะน้อย งานเป็นยังไงบ้างเรียบร้อยดีนะ”
“ ท่านจะบอกซันเองหรือจะให้ดิฉันบอกคะ” นางน้อยบอกด้วยสีหน้ากังวลใจ ความจริงเธอไม่อยากทำแบบนี้เลยแต่เพราะเห็นแก่บุญคุณและคำขอร้องจากพิมพ์แพรทำให้เธอจำต้องยอมทำตามอย่างปฏิเสธไม่ได้แม้มันจะเป็นการทำร้ายหัวใจของพราวตะวันก็ตามที
“ เดี๋ยวฉันบอกหนูซันเอง แต่แม่น้อยต้องช่วยอะไรฉันอย่างนะ....” พิมพ์แพรบอกด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ งานนี้เธอขอทุ่มสุดตัว
“ นี่น้อย!! เรื่องแค่นี้เธอทำให้ฉันไม่ได้เหรอ แค่ขอให้ยัยเด็กนั่นแต่งงานกับลูกชายฉันหนะ แล้วงานที่ฉันจัดขึ้นมาวันนี้ แล้วไหนจะแขกที่ฉันเชิญมาอีกหละใครจะรับผิดชอบ” พิมพ์แพรตะคอกใส่นางน้อยเสียงดังด้วยรู้ว่ามีใครบางคนแอบฟังอยู่
“ ฉันขอโทษค่ะท่านแต่ฉันทำไม่ได้จริงๆ ฉันไม่อยากทำร้ายหัวใจของพราวตะวัน “ นางน้อยยกมือไหว้และบอกด้วยเสียงสั่นเครือน้ำตาคลอเบ้า
“ หึ คงจะลืมหมดแล้วสิท่าบุญคุณที่ฉันช่วยเหลือพวกแกมา ตอนที่พวกแกไม่มีที่ซุกหัวนอน ใครเป็นคนช่วย แล้วมาวันนี้ฉํนต้องการความช่วยเหลือบ้างแค่นี้ทำให้ไม่ได้หรือไง อกตัญญูจริงๆ” พิมพ์แพรพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ ฉันขอร้องละค่ะคุณท่าน ฉันทำไม่ได้จริงๆเห็นใจฉันด้วยหละค่ะ ให้กราบฉันก็ยอม” ตอนที่นางน้อยบอกด้วยน้ำตานองหน้าและกำลังจะก้มกราบนั้นพราวตะวันก็ปรากฏตัวขึ้นและเดินเข้ามาหาคนทั้งคู่ทันที
“ พอเถอะค่ะแม่ ซันยอมแต่งก้อได้ค่ะ จะได้ทดแทนบุญคุณเขาสักที หนูไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้ที่ผ่านมาสิ่งที่คุณแสดงออกมาว่าเป็นคนดีมันก็แค่หน้ากากสินะ แล้วคุณอยากให้หนูแต่งงานกับลูกชายคุณเพื่ออะไร คุณก็เห็นอยู่ว่าถ้าเทียบกับพวกคุณแล้วหนูมันก็เป็นแค่เศษทรายที่ติดเท้าพวกคุณเท่านั้น ไม่มีค่าและไม่คู่ควรเลยสักนิด ” พราวตะวันน้ำตาคลอเบ้า ไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้หญิงใจร้ายคนนั้นเห็น แต่คำตอบที่ได้กลับมาทำเธอจุกจนพูดไม่ออก
“ ใช่ เธอมันไม่คู่ควรก็จริงแต่ในระหว่างที่ฉันกำลังหาผู้หญิงที่คู่ควรให้กับเขาอยู่เนี่ย ฉันก็จะให้เธอคอยมาเป็นไม้กันหมาให้ลูกชายฉันไปก่อน ผู้หญิงโสโครกพวกนั้นจะได้เลิกดูดเลือดลูกชายฉันอย่างกับปลิงซักที” พิมพ์แพรบอกด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันและเห็นแก่ตัว คนฟังแทบจะหันหน้าหนีกับความคิดที่เห็นแก่ตัวของผู้หญิงร้ายกาจตรงหน้า
“ ขอโทษนะคะ แล้วคุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าลูกชายคุณจะไม่ไปยุ่งกับผู้หญิงพวกนั้นอีก แล้วลูกชายคุณจะไม่มีตำหนิที่เคยแต่งงานมาแล้วเหรอ” พราวตะวันตอกกลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เป็นต่อกว่า
“ เธอเคยได้ยินประโยคนี้ไหม ‘คนมีเมียแล้วจะพูดยังไงก็ได้’ ลูกชายฉันมันฉลาดต่อให้มันมีข่าวกับผู้หญิงคนไหนแค่บอกว่ามีเมียแล้วไม่คิดมองผู้หญิงคนไหนอีก แค่นี้ก็จบ แล้วอีกอย่างสมัยนี้เค้าก็ไม่แคร์กันแล้วว่าเคยแต่งงานมีครอบครัวมาก่อน มีเงินซะอย่างใครก็พร้อมจะวิ่งเข้าหา” พราวตะวันถึงกับแสยะยิ้มกับคำตอบที่ได้ยิน
“ ค่ะ ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้วค่ะ ครั้งนี้ก็ถือว่าฉันทดแทนบุญคุณของคุณหมดแล้วนะคะ หลังจากหย่าจากลูกชายคุณฉันจะไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป จะไม่เป็นหนี้บุญคุณคุณอีกต่อไป ไปค่ะแม่น้อย”
ว่าแล้วพราวตะวันก็จูงมือนางน้อยเดินออกไป เมื่อทั้งสองเดินออกไปพิมพ์แพรก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ที่ละครฉากนี้จบลงซักที จากนี้ไปเธอยอมเป็นแม่ผัวตัวร้ายเพื่อให้ได้พราวตะวันมาเป็นลูกสะใภ้ แต่โล่งใจได้ไม่ทันไรร่างสูงของลูกชายก็ปรากฏตัวขึ้น...