แค่ก! แค่ก! แค่ก!
“พ่อจ้าแม่จ้าช่วยลูกด้วย” ฉันร้องออกมาเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
“ไม่สิ! อยู่นี่มาตั้งนานไม่เคยเจอเลย” ฉันค่อยลืมตาขึ้นพร้อมกับส่องไฟฉายไปรอบๆ บริเวณที่ฉันอยู่เพื่อให้แน่ใจบางทีฉันอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้นี่นา
“ผีจะมีได้ไง” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนที่สายตาของฉันจะไปสะดุดเข้ากลับอะไรบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้กับโขดหิน ลักษณะมันเหมือนกับมือของคนกำลังจับกิ่งไม่อยู่ยังไงยังงั้น
“ถ้าเป็นผีก็คงขึ้นมาหลอกเราแล้วล่ะ น้ำไหลแรงขนาดนี้ผีก็ผีเถอะ” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนจะเดินไปเรือนนอนของตัวเอง ไวกว่าความคิดมือบางของฉันก็หันไฟฉายไปยังบริเวณที่มีสิ่งผิดปกติอีกครั้งเพื่อให้มั่นว่าฉันตาฝาดไปจริงๆ แต่แล้ว...
“ฮึ่ย! คนนี่หว่า” ด้วยความตกใจฉันจึงรีบวิ่งไปยังลำห้วยด้านล่างทันที ฉันไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ เค้าต้องเป็นคนอย่างแน่นอนและที่สำคัญมือหนาที่จับกิ่งไม้อยู่นั้นแทบจะหมดแรงลงไปทุกทีแล้ว
“นายๆ ได้ยินฉันไหม” ฉันตะโกนเรียกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง ในขณะที่ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งสายฟ้าที่พาดผ่านลงมาเป็นแสงวูบวาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
“จับมือฉันไว้” ฉันเอื้อมมือไปยังร่างหนาตรงหน้า ส่วนอีกข้างยังคงจับกิ่งไม้ไว้แน่น มือหนาของเขาเอื้อมมาคว้ามือบางของฉันไว้แน่นฉันใช่แรงทั้งหมดที่ตัวเองมีออกแรงดึงร่างสูงตรงหน้า
“ช่วยดันตัวขึ้นมาด้วยสินายตัวหนักมากเลย อึบ!” ฉันค่อยๆ ดึงร่างหนาขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับร่างสูงเองก็พยายามดันร่างของตัวเองขึ้นมาด้วยอีกแรง เราทั้งสองช่วงกันดึงดันอย่างทุลักทุเล ทำให้ฉันรู้ว่าร่างสูงตรงหน้าตัวใหญ่และสูงมากแค่ไหน
“อีกนิด อึบ...ว๊าย!” ฉันร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเนื่องจากฉันใช้แรงทั้งหมดที่ตัวเองมีดึงร่างของเขาขึ้นมาบวกกับเขาเองก็ออกแรงทั้งหมดที่ตัวเองมี ทำให้ฉันเสียหลักหงายหลังลงไปนอนกองกับพื้นก่อนที่ร่างสูงตรงหน้าจะเสียหลักลงมาทับอยู่เหนือร่างของฉัน
“นาย!” ฉันค่อยๆดันอกแกร่งของเขาออกเบาๆ ร่างสูงตรงหน้าก็ทำตามอย่างว่าง่าย เค้าค่อยๆทิ้งตัวลงไปนอนข้างๆ ฉันอย่างหมดแรง
“นายเดินไหวไหม ออกแรงช่วยฉันด้วยนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างหนาตรงหน้า พร้อมกับค่อยๆเข้าไปพยุงร่างนั้นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพราะร่างหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ความสูงที่ดูยังไงก็เกิน 180 ในขณะที่ฉันส่วนสูงเพียง 160 เซนติเมตรเท่านั้นมันทำให้การช่วยเหลือของฉันเต็มไปด้วยความทุลักทุเล
แขนแกร่งพาดลงบนบ่าบางของฉันก่อนที่ฉันจะพาเค้าเดินเข้ามายังเรือนของฉันที่อยู่ไม่ไกล ยิ่งเข้าใกล้แสงไฟก็ยิ่งเห็นใบหน้าของเขาชัดขึ้น รอยเขียวคล้ำบนใบหน้าของเขาจนบวมช้ำแทบจะดูไม่ได้เลย ฉันไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าชายคนนี้เขาต้องเจออะไรมาบ้าง
ฉันพยุงเขาให้นั่งลงยังบันไดเรือน ก่อนที่ฉันจะรีบเดินออกไปตามคนมาช่วย แต่แล้ว...
“ปะ ไป” มือหนาของร่างสูงคว้ามือบางของฉันไว้แน่น ฉันก้มลงมองมือหนาของเขาอีกครั้ง ก่อนจะสังเกตเห็นรอยสักลวดลายที่ประหลายคลายกับตะขาบอยู่บนหลังมือขวาของเขา
“ฉันจะไปตามคนมาช่วย”
“มะ ไม่ ดะ...”
“ไม่ได้หรอ? ทำไมละ?” ฉันเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าออกไปด้วยความสงสัยทั้งๆ ที่เขาเจ็บขนาดนี้
“ชะ เชื่อฉัน” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงสั่น
“…”
“นะ...”
“งั้นนายช่วยฉันพาตัวเองขึ้นไปด้านบนทีนะ” ฉันช่างใจอยู่สักแป๊บก่อนจะเอ่ยบอกกับร่างหนาตรงหน้า เราทั้งสองพากันขึ้นไปบนเรือนอย่างทุลักทุเล ‘ตัวหนักชะมัด’
“อีกนิดนะ...”
ฟุบ!!
ร่างหนาหมดสติก่อนจะฟุบลงไปที่พื้นดึงให้ร่างบางของฉันล้มลงไปนั่งคลุกเข่าลงข้างๆ เค้าตามแรงฉุดของร่างสูง
“อ๊ะ!”
“เอาน่ะ ช่วยแล้วก็ช่วยให้สุดๆ ไปเลยสิบัว”
ฉันค่อยๆ ลากร่างสูงที่หลับไหลไม่ได้สติของเค้าจากทางด้านหลังเข้าไปด้านใน อุณหภูมิที่สูงขึ้นของร่างหนาตรงหน้าทำให้ฉันรับรู้ได้ทันทีว่าเขามีไข้ ฉันค่อยๆ ยกร่างหนาขึ้นไปนอนบนฟูกอย่างเบามือ
“เรานี่ก็แข็งแกร่งเหมือนกันนะเนี่ย ผู้ชายตัวหนักกว่าช้างฉันยังยกขึ้นมาได้”
“ขออนุญาตแล้วกันนะปล่อยไว้แบบนี้นายได้เป็นปอดบวมก่อนแน่ๆ” ฉันเอ่ยบอกกับชายตรงหน้าที่นอนหลับใหลไม่ได้สติเพราะพิษไข้ มือบางของฉันค่อยๆบรรจงถอดชุดให้ฉันเค้าออกจากร่างหนาทีละตัวอย่างช้าๆ เผยให้เห็นมัดกล้ามแน่นๆ ซิกแพคได้รูปของเขา เค้าดูเป็นผู้ชายที่ดูแลตัวเองดีมากๆเลยคนนึง
“หุ่นดีจัง...ฮึ่ย บัวชมพูพูดอะไรบ้าๆ”
ฉันเอาผ้าขาวม้าของพ่อออกมาคลุมส่วนล่างของเค้าเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมือบางของตัวเองมาปลดกระดุมกางเกงยีนส์ตัวหนาของเขา พร้อมกับดึงมันออกอย่างยากลำบาก เนื่องจากกางเกงยีนส์ของเค้าเปียกน้ำจนชุ่มยิ่งทำให้น้ำหนักของมันเพิ่มขึ้นบวกกับมันแนบกับขาแกร่งของเขาทำให้มันไม่ง่ายเลยที่ฉันจะดึงมันออกมา
“เฮ้ย!!...การถอดเสื้อผ้าผู้ชายมันยากขนาดนี้เลยเลอะ”
ฉันบรรจงเช็ดตัวให้กับร่างหนาตรงหน้าก่อนจะเอาเสื้อและกางเกงของพ่อฉันใส่ให้กับร่างสูงตรงหน้าไปก่อน ซึ่งมันดูเล็กลงไปเลยเมื่ออยู่บนตัวของผู้ชายคนนี้ หลังจากแต่งตัวให้กับร่างสูงเสร็จฉันจึงนำผ้าห่มผืนขนาดไม่หนาและไม่บางจนเกินไปมาห่มให้กับเขา
“สองผืนเลยละกันอากาศหนาวเกินไป”
“นาย นาย ได้ยินฉันไหม” ฉันเรียกร่างสูงที่ยังคงหลับไหลไม่ได้สติเบาๆที่ข้างหูของเขา
“อือ” เค้าครางออกมาเบาๆ เปลือกตาบางของร่างสูงตรงหน้าขยับช้าๆ ถึงเขาจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองฉันแต่เขาก็ทำให้ฉันรู้ว่าเขารู้สึกตัวแล้ว
“กินยาลดไข้หน่อยนะ” ฉันเอ่ยขึ้นพร้อมกับจะพยุงร่างสูงตรงหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะป้อนยาลดไข้ให้กับเขาไปสองเม็ดตามด้วยน้ำเปล่าล้างคอ
“ค่อยๆนะ” ฉันว่างเขาลงนอนตามเดิมก่อนจะบิดผ้าที่ชุบน้ำวางลงบนหน้าผากหนาของเขา
“เสร็จสักที...ไปอาบน้ำอีกสักรอบแล้วกัน” คิดได้ดังนั้นฉันก็เดินออกไปจัดการกับตัวเองอีกครั้ง
หลังจากที่ฉันอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่จนเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงกลับเข้ามาปูที่นอนของตัวเองข้างๆเขา เนื่องจากฟูกหนาของฉันถูกร่างสูงยึดไปแล้ว ทำให้ฉันต้องใช้ผ้าห่มผืนบางที่เหลือปูนอนแทน
ถึงคืนนี้จะเป็นคืนแรกที่ฉันต้องนอนกับผู้ชายสองต่อสอง แต่ฉันว่าฉันมั่นใจได้ในระดับหนึ่งเลยนะ คืนนี้ฉันน่าจะนอนหลับได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไร เพราะดูจากสภาพของชายข้างๆฉันแล้ว เขาน่าจะไม่มีแรงมากพอที่จะลืมตาด้วยซ้ำ
“นอนๆไปเถอะ” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนยังที่นอนของตัวเอง ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็วด้วยความเหนื่อยล้า
2.00 น.
“ปวดหลังชะมัด”
เสียงสายฝนจางๆที่เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งหลังจากหยุดไปได้ไม่นานปลุกให้ฉันตื่นจากฝัน ฉันค่อยๆลุกขึ้นจากที่นอนอย่างยากลำบากหลังของฉันปวดร้าวไปหมดเพราะที่นอนของฉันแข็งมาก
ฉันลุกออกจากที่นอนก่อนจะเดินไปจุดตะเกียงที่อยู่มุมของห้อง หลังจากนั้นจึงเดินมานั่งข้างๆ ร่างสูงที่ยังคงนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนฟูกหนา
“ไข้ไม่ลด”
หลังมือบางของฉันวางลงบนหน้าผากหนาอย่างเบามือ จากนั้นฉันค่อยๆบิดผ้าเช็ดตัวผืนบางของเขา พร้อมกับเริ่มเช็ดตัวให้กับเขาอีกครั้งหลังจากที่สัมผัสดูแล้วไข้เขายังไม่ลดลงเลย
ฉันเช็ดตัวให้กับเขาอย่างช้าๆจนกระทั่งสายตาของฉันสบเข้ากับดวงตาบวมช้ำจากการที่ถูกทำร้ายมาอย่างหนักของร่างสูงที่จ้องมายังฉัน ฉันไม่มั่นใจว่าเขาตื่นมาตั้งแต่ตอนไหนรู้ตัวอีกทีสายตาคู่นั้นก็จ้องฉันอยู่ก่อนแล้ว
“กินยาลดไข้อีกสักเม็ดดีไหมนะ” ฉันพูดขึ้นก่อนจะพยุงเขาลงนั่งเพื่อจะได้ทานยาได้ถนัด
“อือ” ร่างสูงครางออกมาเบาๆ ฉันเลือนไปสบตากับเขาเล็กน้อย
“เจ็บหรอนายโดนมาหนักมากเลยนี่น่า อดทนหน่อยนะ”
“ฉันทำแผลให้นายไปบ้างแล้ว เดี๋ยวก็หายเชื่อมือฉัน” ฉันก้มมองดูผ้าพันแผลที่ตัวเองทำไว้เมื่อตอนหัวค่ำที่ยังคงมีเลือดสีแดงสดซึมออกมาเล็กน้อย
“…”
“นอนต่อเถอะ” ฉันบรรจงห่มผ้าให้กับร่างสูงตรงหน้าอย่าเบามือเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่เขา
“...”
“นอนสิหลับตา” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าอีกครั้ง เขายังคงมองมาที่ฉันอยู่อย่างนั้น
ฉันทิ้งตัวลงนอนยังที่นอนของตัวเองอีกครั้งก่อนจะหันไปมองยังร่างสูงที่นอนอยู่ข้างๆ
“หลับ...ตา นายต้องนอนพักเยอะๆนะรู้ไหม มีอะไรก็เรียกฉันนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงใส ก่อนที่ดวงตาของฉันจะปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า...
6.00 น.
“อือ”
“ฉันทำนายตื่นรึป่าว...ไข้ลดลงบ้างแล้วแต่ยังต้องเช็ดตัวอยู่” ฉันเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าออกไปด้วยเสียงสดใส พร้อมกับเช็ดตัวให้กับเค้าไปด้วย
“…”
“หิวไหม?”
“…” ร่างสูงส่ายหัวเบาๆเพื่อเป็นคำตอบให้กับฉัน
“ได้ไง อย่างน้อยก็ต้องกินสักหน่อยจะได้กินยา” ฉันเอ่ยบอกกับเขาเบาๆ ก่อนจะช่วยพยุงร่างสูงให้นั่งลง พร้อมยืนขันน้ำให้เขาล้างปาก
“เหมือนฉันซ้อมป้อนข้าวคนแก่เลยอ่ะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ฉันรู้สึกว่าดวงตาของร่างสูงตรงหน้าที่กำลังจ้องมาที่ฉันมันดูแปลกๆยังไงก็ไม่รู้
“อิ่มแล้วหรอ?”
“…”
“งั้นนายนั่งแบบนี้สักแป๊บนะให้อาหารย่อยก่อน” ฉันนำข้าวและยาแก้ปวดให้เขาทานจนเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะออกมาเตรียมลูกประคบเพื่อประคบตามรอยฟกช้ำตามตัวของเขา
ถึงจะไม่เคยทำลูกประคบเองมาก่อนแต่ฉันเคยเห็นยายของฉันทำ ฉันเป็นคนที่มีความจำที่ดีน่ะเลยนำมาทำเองได้ไม่ยาก
หลายคนอาจสงสัยทำไมฉันถึงช่วยเขาทั้งๆ ที่ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ฉันเองก็หาเหตุผลให้กับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปไม่ได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ฉันไม่สามารถมองข้ามเขาไปได้จริงๆ น้องหมาน้องแมวที่เดือดร้อนฉันยังไม่เคยปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเลยสักครั้ง นี่เขาเป็นคนทั้งคนเลยนะฉันจะใจร้ายทิ้งเขาไว้แบบนั้นได้ไงกัน
“นายชื่ออะไรหรอ?” ฉันถามร่างสูงตรงหน้าในขณะที่สายตายังคงจ้องมองไปยังรอยช้ำตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
“…”
“ยังเจ็บแผลที่ปากอยู่ใช่ไหม?”
“...ดะ...”
“ไม่เป็นไรยังไม่ต้องฝืน” ฉันเอ่ยบอกกับเขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะประคบรอยช้ำบริเวณมุมปากอย่างเบามือ
“ดะ ดีน” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงสั่น
“นายชื่อดีน…ส่วนฉันชื่อบัว”
“ฉันมีเรื่องอยากสอบสวนนายเยอะเลย แต่รอให้นายหายดีกว่านี้ก่อนแล้วกัน”