ไร่ศิวะรักษ์คีรี
ไร่ศิวะรักษ์คีรีเป็นไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดของทางภาคเหนือไร่แห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลและปกครองของพ่อเลี้ยงหนุ่มวัยสามสิบห้าปีอย่างคีรี ลูกชายคนโตของนายท่านศักดิ์ดาและคุณหญิงรตีผู้ทรงอิทธิพลทางภาคเหนือที่ใครต่างก็พากันเกรงขามและเกรงกลัว
ไร่แห่งนี้ขึ้นชื่อความสวยงามและบรรยากาศรบรื่นชวนให้จิตใจสดใสและสดชื่นทุกครั้งที่ได้มองหรือยามได้สูดดมกลิ่นอายธรรมชาติเข้าปอด
บรรยากาศภายนอกที่ชวนให้หลงใหลและผ่อนคลายไม่อาจสู้บรรยากาศมาคุภายในบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ภายในไร่แห่งนี้ได้เลยสักนิด
บรรยากาศภายในห้องรับรองบ้านใหญ่ปกคลุมไปด้วยความอึมครึมเมื่อประมุขใหญ่อันดับหนึ่งของบ้านประกาศเสียงแข็งกร้าวบังคับให้บุตรชายคนโตแต่งงานกับลูกสาวคนรู้จักที่เธอเอ็นดูและอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้จนตัวสั่นจนไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีประจวบเหมาะกับลูกชายคนโตที่อายุอานามของชายหนุ่มปาเข้าไปสามสิบห้าปีแต่ทว่ายังไม่มีเมียเป็นตัวเป็นตน ในฐานะแม่ที่อยากมีหลานให้อุ้มชูก่อนตายจาก อยากเห็นลูกชายคนโตเป็นฝั่งเป็นฝาได้คิดหาวิธีต่าง ๆ นานาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ สุดท้ายแผนการของเธอก็กระจ่างออกอุบายให้ฝ่ายผู้หญิงมาอุ้มบุญให้กับลูกชายรบล้างหนี้สินที่พ่อและแม่มากู้ยืมเธอไว้ จากนั้นก็มาบังคับลูกชายที่ต่อให้หัวรั้นแค่ไหนแต่ไม่เคยปฏิเสธความต้องการของคนเป็นแม่อย่างเธอได้เลยสักครั้ง
"ผมไม่แต่ง" แต่ทว่าดูท่าแล้วครั้งนี้มันอาจจะไม่ง่ายเหมือนที่คิด เมื่อพ่อเลี้ยงหนุ่มคีรีปฏิเสธเสียงแข็งไม่ยอมทำตามคำสั่งแม่ท่าเดียว
"ลูกไม่เคยปฏิเสธแม่เลยนะคีรี" คุณหญิงรตีที่เห็นว่าครั้งนี้บุตรชายคนโตไม่ยอมอ่อนข้อให้เธอง่าย ๆ ก็แสร้งบีบน้ำตาออกมาด้วยความเสียใจก่อนจะเอนศีรษะซบอกสามีที่นั่งมองเหตุการณ์ระหว่างภรรยากับลูกเงียบ ๆ อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวตามประสาคนกลัวเมีย
"ก็เพราะว่าผมไม่เคยปฏิเสธแม่เลยคิดว่าจะบังคับผมยังไงก็ได้เหรอครับ" คีรีเลิกคิ้วถามผู้เป็นแม่อย่างสะกดกลั้นอารมณ์เดือดดาลไม่ให้มันประทุออกมา ที่ผ่านมาไม่ว่าผู้เป็นแม่เอ่ยปากขอให้เขาทำอะไรให้เขาไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้ดูเหมือนว่าความต้องการของผู้เป็นแม่จะเกินไปมากเลยทีเดียว เกินลิมิตในสิ่งที่เขาจะทำให้ได้
ให้เขาแต่งงาน
ให้ผู้หญิงคนนั้นมาอุ้มลูกให้เขา
เหอะ เกินไป แม่คิดว่าใครจะมาเป็นแม่ของลูกเขาก็ได้หรือยังไงกัน
แล้วยิ่งได้ฟังว่าผู้หญิงคนนั้นยอมแต่งงานกับเขา ยอมอุ้มบุญให้เพราะอยากปลดหนี้ให้ครอบครัว เขาก็ยิ่งสะอิดสะเอียนและรู้สึกเกลียดชังผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาทันทีทั้งที่ยังไม่ได้พบหน้า
"แล้วรอแกมีเมีย มีลูกเอง ฉันไม่ต้องนอนรออยู่ในโลงศพเหรอ" บรรยากาศภายในบ้านเริ่มแย่ลงเมื่อต่างคนต่างไม่ยอมกัน
คุณหญิงยืนหยัดที่จะให้ลูกชายแต่งงานให้ได้ ในขณะที่ลูกชายก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว
"ผมยอมแม่ได้ทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้ผมคงยอมแม่ไม่ได้" เมื่อได้ยินในสิ่งที่ลูกชายพูดคุณหญิงรตีก็เชิดหน้าขึ้นมองอย่างคนเหนือกว่าก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาที่ทำเอาชายหนุ่มถึงกับชะงัก
"ยอมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไร่แห่งนี้แม่ก็คงต้องให้ตาคีรันเข้ามาดูแลแทน" คุณหญิงรตีแสยะยิ้มร้ายมองบุตรชายคนโตที่กำลังจ้องหน้าเธอตาเขม็ง
"ไม่ได้" และแน่นอนว่าคีรีไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นกว่าเขาจะดูแลไร่ให้เติบใหญ่ขนาดนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ไหนจะคนงานนับพันที่เขาดูแลมาเนิ่นนานหลายปี ถ้าไร่แห่งนี้้มีคนอื่นที่ไม่ใช่เขามาดูแลมันจะเป็นยังไง ถึงคนคนนั้นที่แม่พูดถึงจะเป็นน้องชายของเขาก็เถอะ แต่ยังไงเขาก็ยอมไม่ได้คีรันไม่ได้มีหัวด้านนี้เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่น้องชายของเขาจะดูแลไร่แห่งนี้ได้เหมือนเขาแน่นอน
"ไม่ได้ ก็ยอมทำตามคำสั่งของแม่ซะแต่งงานกับหนูเพียงจันทร์ มีลูกกับเธอ เรื่องแค่นี้คีรีทำให้แม่ได้ไหม" สายตากดดันจ้องมองหน้าชายหนุ่มไม่ละไปไหน
เมื่อถึงทางตัน เมื่อหนทางมืดหม่นไร้ซึ่งทางออก มีทางเดียวที่คีรีจะอยู่รอดนั่นก็คือ
"ก็ได้ ผมจะยอมทำตามคำสั่งของแม่"
"ดีมาก ลูกรัก" คุณหญิงรตีที่ได้ยินคำตอบที่พึงพอใจก็ฉีกยิ้มร่าก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นยืนเดินมาสวมกอดบุตรชายพร้อมทั้งหอมแก้มสากของบุตรชายฟอดใหญ่อย่างรักใคร่ "คีรีของแม่น่ารักที่สุด"
เป็นคำชมของแม่ที่ตัวพ่อเลี้ยงหนุ่มอย่างคีรีไม่ได้ปลื้มปิติเลยสักนิด เขานั่งขบกรามแน่นขบอารมณ์คุกรุ่นที่สุ่มอยู่ในอกไม่ให้ประทุออกมา
เจ็บใจเหลือเกินที่เขาไม่อาจปฏิเสธคนเป็นแม่ได้เลยสักครั้ง เขาพ่ายให้กับผู้หญิงที่ชื่อว่ารตีเสมอ
"งั้นแม่ขอตัวไปโทรหาแม่หนูเพียงจันทรฺ์ก่อนนะ" คุณหญิงรตีพูดพลางหัวเราะคิกคักเดินออกไปพร้อมกับผู้เป็นสามี
ปล่อยทิ้งให้พ่อเลี้ยงคีรีนั่งไม่สบอารมณ์อยู่ตรงนี้เพียงลำพัง
'เพียงจันทร์'
เขาจะจดจำชื่อนี้ไปจนวันตาย
อีกฟากหนึ่ง
"หนูไม่แต่ง" ฉันตะโกนปฏิเสธพ่อกับแม่เสียงดังลั่นเมื่อท่านมาบังคับให้ฉันแต่งงานกับเศรษฐีใหญ่เจ้าของไร่ชาที่มีนามว่า คีรี เพื่อปลดหนี้ให้กับครอบครัวที่พ่อกับแม่ฉันไปกู้ยืมแม่พ่อเลี้ยงมาส่งฉันเรียนจนจบมหา'ลัย
"ทำเพื่อพ่อกับแม่สักครั้งไม่ได้เลยหรือไง ทุกวันนี้ที่ครอบครัวเราเป็นหนี้ก้อนโตไม่มีปัญญาหามาคืนเขาก็เพราะใคร ไม่ใช่เพราะเราเหรอเพียงจันทร์" พ่อฉันที่เงียบอยู่นานโพล่งขึ้นมาเล่นเอาซะฉันถึงกับชะงักไปเลยทันทีกับคำพูดของพ่อ รู้สึกโหวง ๆ ในใจขึ้นมาแปลก ๆ ความรู้สึกผิดก่อเกิดขึ้นมาภายในจิตใจกระทันหันพลางคิดว่าถ้าฉันไม่ดันทุรังเรียนต่อมหา'ลัยทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าฐานะของตัวเองเป็นเช่นไร ป่านนี้ครอบครัวเราจะเป็นหนี้ก้อนโตแบบวันนี้ไหม
"มีหนทางให้เราใช้หนี้คืนเขาได้ เราควรคว้าไว้ไม่ดีกว่าเหรอ อีกอย่างพ่อกับแม่ก็แก่เต็มทีไม่รู้ว่าจะทำงานได้อีกนานแค่ไหน ถ้าเราหมดหนี้ไปคราวนี้พ่อกับแม่ก็จะสบายมากขึ้นนะเพียงจันทร์" แม่ฉันเอ่ยหว่านล้อมฉันอีกคน ฉันมองหน้าพ่อกับแม่สลับกันไปมาด้วยความรู้สึกที่มันหลากหลาก ตอนนี้ความคิดของฉันมันตีวุ่นกันไปหมดจนไม่รู้ว่าฉันควรจะตัดสินใจยังไง
อยากหมดหนี้ก็อยาก
อยากให้พ่อกับแม่สบายก็อยาก
แต่จะให้ไปฉันแต่งงาน ไปอุ้มลูกให้คนอื่นเขา อันนี้ฉันว่าฉันไม่ไหว มีหนทางมากมายให้ฉันหาเงินมาใช้หนี้คืนเขาได้
"เราเป็นหนี้เขาอยู่เท่าไหร่เหรอจ๊ะแม่" ฉันแสร้งถามออกไปเพราะถ้าเกิดว่าหนี้สินที่แม่ไปยืมเขามามันไม่เยอะเท่าไหร่ฉันคิดว่าฉันจะไปทำงานอยู่ประเทศเกาหลีหาเงินมาจ่ายหนี้เอา
"สามล้านไม่รวมกับที่ดินที่แม่เอาไปจำนอง" แต่คำตอบที่ได้รับจากแม่ทำเอาฉันล้มทั้งยืน แสงสว่างที่เคยมีก็ค่อย ๆ ดับลงจนมลายหายไป "ถ้าลูกไม่ยอมแต่งงาน คุณหญิงเขามีข้อเสนอให้นะ"
"ข้อเสนออะไรเหรอจ๊ะ" ฉันถามอย่างคนลนลานต้องการจะรู้คำตอบให้ได้เสียเดี๋ยวนั้น
"ถ้าเราไม่ยอมรับข้อเสนอก็ให้หาเงินมาคืนท่านภายในเวลาหนึ่งเดือน แต่ถ้าเราหาไม่ได้และไม่ยอมรับข้อเสนอก็เตรียมย้ายไปอยู่ที่อื่น"
คุณหญิงรตีที่ฉันรักทำไมถึงได้ใจร้ายใจดำกับฉันถึงเพียงนี้กัน
เงินสามล้านไม่รวมที่ดินที่เอาไปจำนองกับเวลาหนึ่งเดือนฉันไม่มีปัญญามากพอที่จะหามาคืนหรอกนะ ให้เวลาฉันสิบปีฉันก็คิดว่าฉันไม่มีปัญญา
"โว้ยยย" ฉันร้องออกมาอย่างคนคิดไม่ตกเหตุอันใดเหล่าฉันถึงได้ไร้ทางออกขนาดนี้กัน
แล้วทางออกเดียวที่จะทำให้ครอบครัวฉันมีที่ซุกหัวนอนต่อไปนั่นก็คือ
"หนูยอมแต่งก็ได้"