บทนำ
อาการวิงเวียนที่เกิดขึ้นฉับพลัน พลอยทำ ให้หญิงสาวที่กำลังนั่งเหม่อมองด้วยสีหน้าครุ่นคิดในก่อนหน้านี้ ระหว่างคิ้วมุ่นหากันเล็กน้อย พลันคิดไปเอาเองว่า อาจเป็นเพราะช่วงนี้เธอทำงานหนัก พักผ่อนน้อยจึงทำให้รู้สึกวิงเวียนคล้ายจะบ้านหมุน
พลันเสียงเอะอะจากคนรอบตัว รวมไปถึง เสียงเคลื่อนไหวบางอย่าง พลอยทำให้หญิงสาวเริ่มกวาดสายตามองรอบๆตัว ภายในห้องอาหารหรูบนตึกสูงเสียดฟ้าที่มองเห็นโค้งน้ำเจ้าพระยาทอดยาว และ ทิวทัศน์ กรุงเทพมหานคร ฯ ได้โดยรอบ
หล่อนรอคนที่เธอรักมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มาปรากฏตัว แรงสั่นสะเทือนจนโคมไฟระย้าทำด้วยคริสตัลราคาแพงไหวตัวไปมาราวกับว่ามีใครมาจับแกว่ง น้ำในแก้วทรงสูงบนโต๊ะที่มีอาหารวางอยู่สั่นไหวไปมาดึงดูดสายตาให้หล่อนจ้องมองนิ่งด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเริ่มกวาดสายมองสิ่งรอบตัว อากัปกิริยาคล้ายกับมึนงง แปลกใจกับสภาวการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้
เสียงหวีดร้องของผู้คนเริ่มดังแว่วมาให้ได้ยิน ขณะที่หล่อนนั้นพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกสติตนเอง หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ขึ้นมากดหมายเลขโทรหาใครบางคน ที่ปล่อยให้เธอต้องนั่งรออยู่นานด้วยหัวใจเต้นแรง
ทุกอย่างรอบตัว ไหวโยกรุนแรง ข้าวของต่างๆสั่นกึง กระตุกไหวราวกับมีชีวิต
หล่อนรู้แล้วว่าเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ หัวใจหล่อนเต้นถี่รัว กอปรกับความกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำในความรู้สึก สายตากวาดมองดูรอบๆด้วยความสับสน
เสียงใครคนหนึ่งที่ร้องบอกว่า แผ่นดินไหว...ให้ซุกตัวลงใต้โต๊ะ พลอยทำให้หญิงสาวในชุดเดรสสวย ราคาแพงรีบหยอบตัวลงนั่งกับพื้น
ขณะที่ในมือยังถือโทรศัพท์ค้าง...
วินาทีนี้...หล่อนกลัวจับขั้วหัวใจ...อยากให้คนที่เธอรัก อยู่กับเธอในเวลานี้...กอดปลอบขวัญให้หายกังวล หรือแม้แต่ได้ยินเสียง...ทว่า...ปลายสายไม่กดรับสายเธอเช่นเคย มิหนำซ้ำยังกดตัดสายทิ้ง
หัวใจหล่อนหล่นวูบ
ไม่กี่วินาทีต่อมา...กลับมีข้อความส่งตอบกลับมาว่า
‘ติดธุระอยู่ยังไม่ว่าง’ หยดน้ำตาเอ่อคลอ เมื่อได้เห็นข้อความนั้น หล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเหตุการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่คืออะไร...จะใช่แผ่นดินไหวอย่างที่ใครตะโกนบอก หรือ...ตึกสูงเสียดฟ้าที่เธออยู่ในเวลานี้กำลังจะพังทลาย
หล่อนกลัวสุดหัวใจ อยากได้ยินเสียงของเขาในเวลานี้...ความเคว้งคว้าง ความหวาดกลัวกับสิ่งที่เจอผสมปนเปจนแทบทำอะไรไม่ถูก
เสียงเปรี้ยงปร้างราวกับฟ้าผ่า ฟ้าร้อง ดังโครมครามคล้ายกับมีของหนักร่วงหล่นยิ่งทำให้หล่อนผวาหนัก อาการไหวโยกรุนแรงของทุกสรรพสิ่งรอบตัว แม้กระทั่งหล่อนเอง ก็แทบจะทรงตัวไว้ไม่ไหว
กระทั่ง เสียงใครสักคนในเวลานี้เอ่ยดังขึ้นว่า
“เราต้องไปนะ...อยู่ตรงนี้ไม่ได้หรอก” เสียงรีบร้อนนั้นร้องบอกกับคนใกล้ตัวของเขา อย่างร้อนรนเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ ก่อนที่จะพากันประคองและจับจูงมือเดินผ่านหน้าเธอออกไปจากห้องอาหารหรูดังกล่าวที่เริ่มมีคนขยับก้าวตาม
เสียงกระจกสั่นกราวจนกลัวจะแตกร้าว ยิ่งทำให้สองขาแทบขยับไม่ออก ก้าวขาแทบไม่ได้
กระทั่ง
“ไปกับผม” เสียงทุ้มนุ่ม ดังใกล้ราวกับกระซิบ ขณะโอบประคองตัวหล่อนที่กำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวพาเดินลัดเลาะ มายังทางเดินที่มีผู้คนกำลังวิ่งไปมาขวักไขว่ด้วยความสับสน ปนอลหม่าน
สองข้างทางประดับด้วยม่านคริสตัลหรู ราคาแพง ห้อยระย้ากวัดแกว่งไปมา พร้อมกับเสียงลั่น ๆ ของตัวอาคาร คล้ายกับปริแตก
ชั่วจังหวะนั้นที่สายตาเจ้าหล่อนเหลือบมองไปเห็นสายน้ำจากอาคารใกล้เคียง ที่กำลังไหลลงมาราวกับน้ำตก อาคารใกล้เคียงไหวโยกรุนแรง ราวกับถูกใครจับเขย่า ยิ่งทำให้เจ้าหล่อนแทบลืมหายใจ สองขาอ่อนแรง
“ไม่ต้องกลัว สูดหายใจเข้าลึก ๆ ผมจะพาคุณออกไปเอง” สุ้มเสียงหนักแน่น พลอยทำให้หัวใจที่กำลังสั่นไหวด้วยความความหวั่นกลัว อุ่นวาบขึ้นมา นิ่งสงบกับถ้อยคำของเขาได้อย่างแปลกประหลาด
สองเท้าขยับก้าวตามเขาอย่างช้าๆ
“เราคงลงลิฟต์ไม่ได้ตอนนี้ คุณลงบันไดไหวไหม” ถามเสียงเข้มด้วยใบหน้าเคร่งเครียด แววตาครุ่นคิดหนักขณะจ้องมองหน้าหญิงสาวที่กำลังก้มหน้าลงเล็กน้อย ร่างบอบบางในชุดเดรสยาวสีขาว สวมรองเท้าส้นสูงราคาแพง คงจะเป็นอุปสรรคอยู่ไม่น้อย
เนื้อตัวเจ้าหล่อนสั่นเทา สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดวิตก
ตึกสูงเสียดฟ้าที่มีจำนวนชั้นมากกว่าเจ็ดสิบชั้น แม้ในตอนนี้ชั้นที่เธอและเขาอยู่จะไม่ใช่ที่อยู่บนสุด แต่ความสูงและจำนวนชั้นที่ค่อนข้างมากก็ทำให้หญิงสาว ชะงักนิ่งไปเล็กน้อย
ทว่า...
หนทางเดียวที่จะนำพาเธอรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ คือการต้องเดินลงบันไดจากตึกสูงชั้นห้าสิบกว่า ผ่านบันไดหนีไฟ ที่เริ่มมีคนวิ่งนำลงไปก่อนหน้านี้แล้ว
“นายครับ” เสียงเรียกของชายในชุดสูท ที่ยืนอยู่ใกล้เอ่ยเรียก คล้ายกับต้องการกระตุ้น
ชายหนุ่มเพียงหันไปพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะประคองเธอให้ก้าวเดิน แต่เจ้าหล่อน กลับหยุดชะงักสีหน้าคล้ายกับลังเล
“มีอะไร”
“ฉัน...ขอถอดรองเท้าก่อนได้ไหมคะ” ชายหนุ่มปริศนาตอบรับด้วยเสียงในลำคอ
“อืม”
หญิงสาวที่มีใบหน้าสวยเด่นสะดุดตาใครต่อใคร เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้าลงถอดรองเท้าราคาแพงที่ตัวเองสวมใส่อยู่มาถือไว้ ขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลา คมคาย คิ้วเข้มหนากับดวงตาเรียวรี เจ้าของนัยน์ตาสีนิลคู่นั้น จมูกโด่งเป็นสัน รับรูปหน้าอย่างเหมาะเจาะ ถือวิสาสะเอื้อมมาจับมือเธอคว้าพาเดินไปทันที
ยิ่งก้าวลงเดินบันได ที่เริ่มมีผู้คนต่างทยอยวิ่งตามลงมาจากแต่ละชั้น ท่ามกลางเสียงหวีดร้องดังเป็นระยะ กับชิ้นส่วนบางอย่างจากตัวอาคาร ทั้งฝ้าเพดาน แผ่นปูน ร่วงหล่น ถึงอย่างนั้น กลับไม่มีความวุ่นวายชุลมุน ทุกคนต่างก้าวเดินเร็วๆอย่างเร่งรีบเพราะอยากออกไปจากตัวอาคารนี้ให้เร็วที่สุด
“ระวัง!” เสียงร้องดังขึ้นขณะที่หญิงสาวถูกดึงเข้าไปกอดแนบอก พร้อมกับเสียงดังโครมใหญ่ ฝุ่นขาวตลบคละคลุ้ง จนแทบหายใจไม่ออก
หญิงสาวร่างบางเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความตกใจ หล่อนหลับตาปี๋ หอบหายใจแรง รับรู้ถึงอันตรายที่มีอยู่รอบตัว หากไม่ได้เขาเข้ามาช่วยหล่อนในเวลาเช่นนี้...ก็ไม่รู้ว่าเธอจะทำอย่างไรดีกับสถานการณ์เช่นนี้
“ไปต่อ! ช้าไม่ได้แล้ว” เอ่ยเร่งเมื่อเสียงเคลื่อนไหวตัวของอาคารสั่นแรงขึ้น ทั้งฝุ่นปูนโรยร่วงหล่นราวกับผงแป้ง เศษ หิน ดิน ทราย ร่วงกราวลงมา เตือนสติว่าหล่อนไม่ควรรำไร ชักช้า สองเท้าขยับตามแรงจูงของเขา ทว่า กลับรู้สึกเจ็บแปลบ บริเวณข้อเท้าถึงกับนิ่วหน้า แต่หล่อนก็ต้องกัดฟัน ฝืนเดินต่อโดยไม่คิดปริปากบ่น เดินตามแรงจูงเขาลงมาเรื่อยๆ แม้จะปวดเจ็บ ทุกครั้งที่หล่อนลงน้ำหนักเท้า หรือเหนื่อยหอบ อ่อนแรงแค่ไหนแต่หล่อนก็พยายามกัดฟันสู้
จนกระทั่งมาถึงบริเวณชั้นหนึ่ง แสงสว่างจากตัวนอกอาคารกับผู้คนที่ต่างกรูกันออกไปด้วยความดีใจ พลอยทำให้เธอใจชื่นขึ้นมาได้บ้าง
ทว่า ระหว่างนั้นเสียงหวีดร้องกับความโกลาหล เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อตัวอาคารจากภายนอก ทั้งเศษ หิน ดิน ทราย ร่วงกราวลงมาพร้อมกับชิ้นส่วนอาคาร ที่ดูแตกร้าว ดังกัมปนาท สนั่นหวั่นไหว ราวกับอาคารจะพังทลาย สายน้ำที่ไหลร่วงหล่นมาราวกับน้ำตกจากอาคารสูงด้านนอก พลอยทำให้ผู้คนบริเวณนั้นต่างแตกตื่น วิ่งวุ่น อลหม่าน
“นายครับ...ทางนั้นครับ”
“เกิดอะไรขึ้น” เขาหันไปถามคนสนิทอีกคนที่วิ่งมาอีกด้านของอาคารราวกับว่ารั้งรอที่จะเจอเขาอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แผ่นดินไหวครับนาย”
“อืม”
“ไปหลบทางนั้นก่อนดีกว่าครับ” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ หวีผมเรียบร้อยท่าทางสุภาพ ผายมือ พร้อมกับก้าวเท้านำไปยังทิศทางที่บอก ขณะที่เขานั้นกลับไม่คิดปล่อยมือเธอ พาจูงเดินฝ่ากลุ่มคนที่เดินกรูกันออกไปยังประตูทางเขาเพื่อไปหลบตามที่โล่งแจ้งต่างๆบริเวณด้านหน้าอาคาร
“มีคนติดในลิฟต์นะ...อ้าวเห้ย มีคนติดในลิฟต์” เสียงดังจากพนักงานโหวกเหวก พลอยทำให้สองเท้าชะงักเล็กน้อย สายตามองตามกลุ่มคนที่พากันกรูไปยังทิศทางดังกล่าวด้วยสีหน้ารีบเร่ง ร้อนใจ
“มีอะไร”
“ฉันขอโทรศัพท์หน่อยได้ไหมคะ” หล่อนก้มหน้าลงเล็กน้อยตอบเขาด้วยเสียงสั่นเครือ ยังไม่หายตื่นกลัว แต่เพราะห่วงใครบางคน...และเธออยากรู้ว่าเขานั้นอยู่ที่ไหนในเวลานี้
“ไปโทรทางโน้น” บอกเสียงเข้มพร้อมกับจับมือเธอก้าววิ่งไปยังทิศทางที่บอดี้การ์ดของเขานำพาไป ด้วยความรีบร้อน
แม้จะเหนื่อยหอบ หายใจถี่ กระชั้น แต่เพราะความเป็นห่วงคนที่เธอรัก พลอยคิดคาดเดาว่าเขาอาจจะพลัดหลงกับเธอก่อนหน้านี้
หล่อนพยายามเพียรโทรหาเขา...เขาคนนั้น...คนที่เธอรัก ด้วยใจกระวนกระวายเป็นห่วง ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ทำอะไร...จะอยู่บนอาคาร หรือติดอยู่ตรงไหน...เธอก็อยากรับรู้ว่าเขาปลอดภัยดี...แต่ปลายสายกลับไม่คิดรับสายเธอ ยิ่งนาน ใจคอยิ่งไม่ดี
‘ไม่สะดวกรับสาย มีอะไรพิมพ์มา’
“อยู่ไหนคะ”
อ่านแต่ไม่ตอบ หัวใจหล่อนยิ่งหวาดกลัวหนัก สมองนั้นคิดไปต่าง ๆ นานา ว่าเขาอาจจะเป็นอันตรายอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“จะไปไหน” เสียงเข้มเอ่ยดังขึ้น สองเท้าที่กำลังจะก้าวเดินกลับเข้าในตัวอาคารด้วยความเป็นห่วงคนรัก ถึงกับหยุดชะงัก หันมามองหน้าเขา
“ข้างในอันตราย”
คำนั้นเอ่ยเตือนสติให้เธอฉุกคิดได้ หันสายตากลับไปมองในตัวอาคาร ที่ยังมีผู้คนวิ่งไปมาขวักไขว่ ด้วยความแตกตื่น สับสนอลหม่าน เพื่อให้ได้ออกห่างจากตัวอาคาร
ชั่วจังหวะนั้นที่สายตากำลังจ้องมองความสับสนวุ่นวายตรงหน้า กลับเห็นร่างสูงคุ้นตาสวมใส่เสื้อเชิ้ตขาว พับแขนเพียงครึ่งกับกางเกง สแล็คสีดำ กำลังเดินเท้าเปล่าโอบประคองใครบางคนที่สวมใส่เพียงชุดคลุมอาบน้ำ ผมเปียกลู่ เนื้อตัวยังคงเปียกชื้น ใบหน้าสวยอยู่ในอาการตื่นตระหนก เสียขวัญไม่ต่างจากเธอ เดินน้ำตาไหลรินในอ้อมกอดของชายคนนั้น
ลิญาณาหยุดยืนค้าง สองขาแทบไร้เรี่ยวแรง แทบลืมวิธีหายใจ เพราะผู้หญิงคนนั้น...เธอจำได้ดีว่าหล่อนเป็นใคร
เพื่อนสนิทเธอเอง!