ตอน เด็กสาวคนนั้นแซ่หนาน
ผิงผิงยิ้ม เดินเข้าไปด้านในแต่ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเขาปิดประตู สองมือเธอกำตะกร้าบนบ่าแน่น
“คิดอะไรของเธอ ฉันปิดร้านเวลานี้ทุกวัน ขืนยังเปิดคนได้สงสัยหมดสิ”
“แบบนี้เอง”
“เข้ามา แล้วบอกว่าสามพันหยวนนี้จะเอาอะไรบ้าง”
“เอ่อ ฉันมีอีกคำถาม พี่สามารถนำไปส่งให้ที่อะพาร์ตเมนต์ได้ไหมคะ บวกค่าขนมาได้เลย”
“อืม ถ้าเงินถึงได้หมดนั่นแหละ”
คำตอบของเขาทำให้ผิงโล่งใจ แต่กว่าจะเลือกของเสร็จก็ปาไปเกือบหกโมง เธอแจ้งที่อยู่พร้อมจ่ายค่าขนส่งเรียบร้อย ในร้านยังมีคนงานสองสามคน พวกเขาบอกว่าจะนำไปส่งตอนสามทุ่ม เนื่องจากตอนนั้นเป็นเวลาที่คนน้อยที่สุด ยังมอบใบเสร็จให้เธอตามที่ขอ ไว้อ้างอิงกับเจ้านาย แต่ในความเป็นจริงเธอกลัวถูกโกง ถึงขนาดบวกราคาของสองเท่าคงเป็นคนดีหรอก
เมื่อออกจากร้านมาในใจจึงหมดกังวล หากว่าไปช้ากว่านี้ร้านคงปิด และเงินสามพันหยวนจะกลายเป็นหายนะของเธอ ขณะที่เดินเพื่อไปยังอะพาร์ตเมนต์ เสียงแตรรถข้างหลังทำให้เธอตกใจ
“มาทำอะไรแถวนี้อีกแล้ว” เป็นเขาที่มากับเพื่อนตำรวจด้วยกัน ซึ่งคือนายตำรวจหน้านิ่งเสียงดุ คนที่ชอบแกล้งเธอคนนั้น
“เจ้านายใช้ฉันมาซื้อของค่ะ เขาต้องการของไปตกแต่งบ้าน แต่ฉันดันลืม จึงมาหลังปิดร้านรองเท้า”
“ช่างเป็นสาวรับใช้ที่บกพร่องเก่ง”
“เอ๋? สาวรับใช้หรือ ฉันเป็นคนดูแลบ้านต่างหาก ไม่ใช่คนใช้สักหน่อย”
“มันต่างกันตรงไหน แล้วขาเธอหายดีแล้ว”
“อืม มันไม่ค่อยเจ็บ แล้วฉันก็ได้กินยา จึงทำให้ดีเร็ว”
“อะพาร์ตเมนต์ที่ว่า อยู่ไกลหรือไม่”
“ไม่มากค่ะ เดินไปอีกสี่ตรอกถนนเท่านั้น”
“ขึ้นมา ข้างหลังยังมีที่ว่างให้เธอเกาะยืน”
“อ๋อค่ะ แต่คุณตำรวจจะไม่พาฉันไปที่สถานีอีกใช่มั้ย”
“ห้องขังหญิงยังว่าง ถ้าเธออยากนอนเล่น”
“ไม่ดีกว่า เจ้านายได้เล่นงานฉันตาย” เธอกระชับตะกร้าแล้วปีนขึ้นเกาะข้างหลังรถตามที่เทียนหลี่บอก พวกเขาจึงขับออกไป
“สหาย นายดูใส่ใจเธอมาก ถึงกับบอกให้ขึ้นรถมาด้วย”
“ฉันแค่มองแล้วสมเพช ยังไงเราก็ผ่านไปทางนั้น ติดรถมาไม่ได้เสียหายอะไร”
“ไม่เสียแน่หรือ? แต่ฉันร้อนๆ หนาวๆ นายกำลังทำให้ฉันจะซวยไปด้วย นี่มันรถที่ใช้ในงานราชการนะ”
“ฟ้ากำลังมืด ผู้คนไม่ได้สนใจ นายไม่พูดฉันไม่พูดใครจะไปรู้”
“ขนาดนี้แล้วนายยังปากแข็งอยู่อีก ฉันว่านายหลงเสน่ห์เธอเข้ามากกว่า ถึงละสายตาไม่ได้ ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องสอดแนม”
“ฉันเพียงสงสัยการกระทำของเธอ อยากรู้ว่าเจ้านายคนที่ว่าเป็นใคร ทำไมถึงได้ใจดีต่างหาก”
“ใช่แล้ว นายแค่สงสัย เลยไปที่บ้านเธอ ป่าวประกาศห้ามไม่ให้ใครสร้างความลำบากให้เธอ ยังรู้ด้วยว่ามีตาแก่เพื่อนบ้านไปเคาะประตูข่มขู่ขอเงินจากเธอ สมที่เป็นกองกำลังพลเรือนผู้บังคับใช้กฎหมายแห่งชาติ จากกระทรวงความมั่นคง”
“มันคือหน้าที่ ไม่คิดว่าฉันทำถูกหรือ”
“อืม ฉันยอมแพ้นายแล้ว สหายเทียน”
เธอไม่รู้ว่าตำรวจสองคนคุยอะไรกัน รู้แค่กำลังยืนชมวิวสบาย กระทั่งถึงจุดหมายจึงลงมาขอบคุณพวกเขา
“วันหลังอย่าออกจากบ้านมืดค่ำ คนร้ายไม่ได้มีน้อยๆ เธออาจไม่โชคดีทุกครั้ง”
“เข้าใจแล้วค่ะ ต่อไปฉันจะพยายามเลี่ยง”
“อืม”
ผิงผิงคิดว่ามันจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นบ่อยครั้ง เพราะหมู่นี้เธอเจอตำรวจบ่อยมาก ดังนั้นเขาไม่ได้ขู่แต่เตือนเพราะหวังดี
“ดูเหมือนคืนนี้เราควรนอนที่นี่ ไม่ต้องกลับไปที่ตึกแล้ว”
ผิงผิงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน มันอาจไม่ร้ายแรงแต่ก็น่าหงุดหงิด กับคนบางคนที่เห็นแก่ตัว พวกเขาไม่รู้จักคำว่าเกรงใจหรือไร้ยางอาย แต่เธอยังเสียดายถ้าจะขายที่นั่นไป
ในที่สุดความลังเลก็เปลี่ยนเป็นตัดสินใจเด็ดขาด หลังจากที่ระบบได้มอบบ้านในเขตชานเมืองสำหรับภารกิจของวันนี้ ในเมื่อเธอมีบ้านสามหลัง ขายออกไปหนึ่งที่ยังต้องกลัวหรือ
เรื่องปล่อยให้เช่าลืมไปได้เลย ที่นั่นเป็นแหล่งอาศัยของคนยากจน สามารถทำนายได้เลยถึงความยุ่งยาก หากให้ไปทวงค่าเช่าทุกเดือนมันเหนื่อยและน่าหนักใจเกินไป ขายเถอะ เพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ติ๊ง!
“ยอดเงินจากการบ้าน ได้ถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวเรียบร้อย”
“เนื่องจากคุณทำผลงานได้ดี จึงอนุญาตหยุดงานได้สองวัน ไม่ต้องกังวลเรื่องทำภารกิจ และหลีกเลี่ยงการถูกจับตามอง”
“แสดงว่ามีคนสงสัยแล้ว ก็ดี แบบนี้ไม่ต้องรีบใช้เงินของระบบ ไหนดูซิว่าตอนนี้มีเงินเก็บเท่าไหร่”
“หกหมื่น!”
แค่สามวันมีเงินเยอะได้ขนาดนี้ หากเป็นชาติที่แล้วอาจไม่น่าตื่นเต้น แต่ถ้าเป็นยุคนี้สามารถเรียกว่าคนมีเงินได้เต็มปาก แต่เธอยังไม่คิดเปิดเผยตัวเอง มันยังคงเร็วเกินไป โดยเฉพาะผู้หมวดคนนั้น คนที่เหมือนมองเห็นทุกอย่าง
ผิงผิงสบายใจครางฮึมเป็นทำนอง ขณะนอนเอกเขนกบนโซฟา มองพัดลมเพดานที่ไม่ได้เปิด เพราะอากาศกำลังดี เธอกำลังใช้ความคิดหาทางรับมือกับครอบครัวแสนวุ่นวาย บางอย่างบอกว่ามันจะเกิดขึ้นแน่
ก๊อก! ก๊อก!
“หือ! อะไรอีกล่ะทีนี้” เธอรู้สึกไม่ดีตอนได้ยินเสียงเคาะประตู เหตุการณ์เมื่อวานยังวนเวียนอยู่ แต่ก็ยังลุกขึ้นมาหน้าประตูเพื่อถาม
“นั่นใคร!”
“สวัสดี ฉันฉีหลินอยู่บ้านข้างๆ อยากจะมาทักทายคุณ เห็นว่ามีคนย้ายมาอยู่”
ไม่รู้ว่าจริงมั้ยหรือต้องการอะไร แต่ในเมื่อเขาพูดมาแบบสุภาพเธอจึงไม่อาจปล่อยให้คนมายืนหน้าประตูโดยไม่สนใจ
“เอ่อสวัสดีค่ะ”
“โอ้เธอยังดูเด็กมาก! ไม่แปลกเลยที่เธอมีความระวังตัวสูง แล้วพ่อแม่ของเธอไม่อยู่หรือ”
“ฉันไม่มีพ่อแม่ค่ะ พอดีว่าบ้านหลังนี้เป็นของผู้อุปถัมภ์ เขาคือคนที่เลี้ยงดูฉัน”
“เธอโชคร้ายนะ แต่ยังมีโชคดีด้วย จริงสิมัวแต่พูด ฉันทำบะหมี่มาให้เธอ ถือเป็นการทักทายจากเพื่อนบ้าน ห้องของฉันอยู่ติดกับเธอ”
“ขอบคุณมากค่ะคุณน้า เดี๋ยวฉันจะเอาชามไปคืนนะคะ”
“ไม่ต้องรีบ! ว่างตอนไหนค่อยเอามาให้ กลางวันฉันกับสามีไปทำงาน เย็นถึงกลับ ดังนั้นไม่มีคนอยู่บ้าน ลูกชายฉันเขาไปพักที่บ้านสวัสดิการ นานจะกลับมาสักครั้ง ทั้งที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เขาคงรำคาญฉันที่พูดถึงการแต่งงาน”
คุณน้าเพื่อนบ้านดูอยากระบายมากกว่ามาทักทาย ยิ่งพอเห็นว่าเธอเป็นเด็กสาวจึงเป็นกันเอง
ผิงผิงทำได้เพียงพยักหน้าหงึกๆ เออออคล้อยตามไม่ขัดเลย จวบจนคนกลับไปบะหมี่ในมือเกือบเย็นจนชืด
“ยังดีที่มีเตาให้อุ่นอาหาร”
ตอนนี้เพิ่งทุ่มกว่าๆ ของที่สั่งยังไม่มาส่ง เธอจึงยังไม่อาบน้ำรอให้พวกเขาเอาของมาก่อน เมื่อกินบะหมี่แล้วจึงคิดถึงสิ่งที่ต้องนำไปตอบแทน เดินได้รอบหนึ่งไม่มีของถูกใจ จนเห็นตะกร้ารองเท้า
เท่าที่มองดูขนาดเท้าของคุณน้าน่าจะพอๆ กับเธอ ดังนั้นจึงหยิบมาคู่หนึ่งเพื่อนำไปให้เป็นของขวัญ เลือกสีที่ดูสุภาพไม่ฉูดฉาดเหมาะสมกับช่วงวัย เธอไม่อาจรับน้ำใจมาฝ่ายเดียว ไม่รู้ในอนาคตจะถูกขอร้องให้ช่วยอะไร ต้องรีบตอบแทนกลับไปให้เร็ว
“อ้าวเธอเองหรือ บอกแล้วว่าไม่ต้องรีบ ทำไมถึงไม่ฟังกันบ้าง”
“หนูเพียงคิดว่าจะมาบอกคุณน้าสักคำ คือว่าอีกสักครู่จะมีคนนำของขึ้นมาส่ง มันอาจมีเสียงรบกวน ส่วนนี่คือรองเท้าร้านที่หนูทำงานอยู่ ถือว่าเป็นของขวัญตอบแทนการรู้จักกันของเรา”
“เธอทำให้ฉันอึดอัดนะ ฉันเพียงมอบบะหมี่ให้เธอเพื่อผูกมิตร แต่เธอกับมอบรองเท้าคู่นี้ให้ฉัน จะว่าไปรองเท้านี่สวยมาก รูปแบบทันสมัยกว่าที่วางขายในห้างอีก”
“เธอบอกว่ามาจากร้านที่เธอทำงานอยู่หรือ”
“ค่ะ เป็นร้านแผงลอยข้างทางเท่านั้น ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงปรับปรุง เถ้าแก่บอกว่าในอนาคตร้านจะขยายการผลิต เพียงแต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป”
“ฉันชอบนะ ทั้งแบบและสี นี่ผิงผิง เธอรู้ขนาดเท้าฉันได้อย่างไร”
“หนูแค่กะเอาค่ะ ดูเหมือนเราจะใส่เบอร์เดียวกัน”
“เธอช่างสังเกตนะ เอาเป็นว่าของขวัญชิ้นนี้ประทับใจมาก แต่วันหลังไม่ต้องลำบาก”
“ถ้าอย่างนั้นไม่รบกวนแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
“ไปเถอะ”
เธอรู้สึกโล่งใจที่คุณน้าชอบของขวัญ และยังยินดีที่จะรับไว้ หากถูกปฏิเสธแน่นอนว่ามันจะทำให้เธออึดอัด หากถูกไหว้วานงานบางเรื่องในอนาคต เธอไม่อยากคิดค้างน้ำใจใครอีก
“มีอะไรหรือที่รัก”
“เด็กสาวข้างบ้านเราเอาชามมาคืน เธอยังนำรองเท้าที่ร้านมามอบให้ฉัน คุณดูสิคะ มันสวยมาก แบบค่อนข้างเรียบง่ายแต่กลับหรูหราโดยไม่ต้องสาธยาย”
“ผมก็รู้สึกแบบนั้น มันเข้ากับคุณตอนใส่ชุดทำงาน หากออกงานสังคมก็ดูไม่น่าเกลียด”
“ใช่แล้ว สีของรองเท้าคู่นี้เหมาะกับทุกโอกาส ฉันไม่ต้องทำเหมือนเพื่อนที่ทำงาน ใส่ชุดไหนต้องเลือกรองเท้าให้เข้ากัน”
“โธ่ที่รัก! ถึงคุณจะสร้างห้องเก็บรองเท้า ผมก็สามารถซื้อให้คุณได้นะ”
“ไม่ได้ แบบนั้นมันสิ้นเปลือง เราตกลงกันแล้วว่าจะอยู่อย่างเรียบง่าย ฉันเบื่อหน่ายหากคนอื่นเห็นเราร่ำรวย พวกเขาจะประจบแล้วสุดท้ายกลับร้องขอเงิน ถ้ามีสำนึกจะไม่พูดเลย แต่นี่อะไรยัง เอาพวกเราไปว่าให้เสียหาย ให้ไปไม่เคยจะได้คืนมา”
“เอาน่า เรื่องนั้นอย่าเก็บมาใส่ใจ พวกเขาอยู่ไกลจากที่นี่มาก ต่อให้มีโอกาสเจอคงไม่กล้ามาขออีก”
“แล้วถ้าคนมันหน้าด้านมากล่ะคะ อันเก่าไม่คืนแต่อยากจะได้ของใหม่เพิ่ม”
“เช่นนั้นคุณลองทวงเงินเขาสิ รับรองว่าจะไม่ยุ่งกับเราอีก”
“คุณก็พูดได้สิ ฉันเห็นมากับตา หน้าพวกเขาหนายิ่งกว่าอะไร พูดไปมีแต่จะทะเลาะ แบบนั้นต้องกระทบกับชื่อเสียงคุณแน่ มีแต่ญาติตัวดีทั้งนั้น”
“ผมต้องกลัวหรือ หากว่าผมคิดจะใช้อำนาจจริง เขาต่างหากที่จะไม่เหลืออะไรเลย แต่ที่ผมไม่ทำเพราะคุณขอไว้”
“มันยังไม่ถึงขั้นนั้นค่ะ ช่างเถอะ ฉันไม่สนเรื่องนั้นแล้ว ที่ฉันสนคือแม่หนูข้างบ้านเรา ฉันชอบเธอมาก”
“คุณคิดจะจับคู่ให้ลูกเราหรือ นี่ที่รัก ผมว่าอย่าเลย เท่านี้อาหลี่ก็แทบจะไม่กลับมาบ้านแล้ว”
“น่าเสียดาย เด็กคนนั้นดูไม่เลว”
“แล้วเธอชื่ออะไรหรือ บางที เธออาจมีครอบครัวแต่พลัดพรากกัน”
“ผิงผิงค่ะ หนานผิงผิง”
“นามสกุลหนานหรือ?”
“ทำไมหรือคะ”
“ไม่มีอะไร ผมคงคิดมากไปเอง เพียงได้ยินว่ามีเศรษฐีตระกูลหนานเข้ามาก่อตั้งบริษัทยาสูบ กับโรงงานกลั่นสุรา ค่อนข้างมีอิทธิพลพอตัว”
“แต่ที่ฉันได้ยินมา พวกเขามีลูกสาวอยู่แล้วนะคะ”
“ไม่ใช่ลูกแท้ๆ เด็กคนนั้นคือลูกบุญธรรม คุณนายเธอคิดถึงลูกสาวที่หายไป จึงไปรับเด็กผู้หญิงมาเลี้ยงเป็นตัวแทน”
“ฉันว่าคุณคิดมากไปจริงๆ เรื่องมันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น”