บทที่ 8

2020 Words
ตอน ทำไมยังเจอ “ไหน! เธออยู่ไหน!” “แม่ครับ ใจเย็นก่อน บางทีผมอาจจะตาฝาด คงเป็นคนที่หน้าตาเหมือนกันเท่านั้น” “แต่แม่อยากแน่ใจ ว่านั่นคือผิงผิงหรือไม่ แม่อยากเห็นเธอ!” “เมื่อครู่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งรถสามล้อลาก แต่ตอนนี้หายไปแล้วครับ” “น่าเสียดาย! บางทีน้องสาวแกอาจเหมือนพวกเรา ที่ได้มีโอกาสกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง” “ถึงเราไม่รู้ว่าเธอจะได้เกิดใหม่หรือเปล่า ปัญหาคือหยงเจินยังคงเป็นลูกสาวของครอบครัวเรา แม้จะรู้ว่าเธอซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถจัดการเธอออกไปได้” “คงต้องรอให้เด็กคนนั้นเผยธาตุแท้ออกมา ถึงจะสามารถจัดการกับเธอได้ จำไว้ว่าทุกคนต้องอดทน อย่าเผลอลงมือ มันจะกระทบถึงชื่อเสียงของพวกเรา” “คุณคะ! ไม่คิดว่าควรให้โอกาสเธออีกสักครั้ง ไม่แน่ว่าหยงเจินในตอนนี้อาจเป็นเด็กดี ไม่ได้ร้ายกาจเหมือนชาติก่อนแล้ว” “คุณยังจำตอนที่เด็กคนนั้น ใช้มีดปาดคอเราทีละคนไม่ได้หรือ ผมไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอีก ถ้าไม่เพราะเรารักเธอไว้ใจเธอ ผิงผิงจะต้องพบเจอความเจ็บปวดมากมาย จนสิ้นหวังกับพ่อแม่แท้ๆ อย่างเรา และยังต้องถูกฆ่าตายอย่างทรมาน” “ฉัน! ฉันเพียงยังรักหยงเจินเหมือนลูก” ถึงจะรู้ว่าชาติก่อนมีจุดจบอนาถอย่างไร แต่ความรักความผูกพันยังคงอยู่ และลึกๆ ยังหวังว่าหยงเจินจะไม่ทำผิดซ้ำรอยเดิม ในตอนนี้เธอเป็นเด็กที่น่ารักน่าทะนุถนอม บุตรชายเห็นแววตาไม่มั่นคงของมารดา แต่เขาไม่ได้ทักท้วง เพราะรู้ดีว่าแม่รักหยงเจินมากขนาดไหน เช่นเดียวกับที่ครั้งหนึ่งเขาเคยรักน้องสาวคนนี้อย่างหมดใจ กระทั่งทอดทิ้งทารุณน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง ผู้เป็นพ่อเป็นสามีเพียงถอนหายใจ ลองถ้าภรรยาใจอ่อนคิดว่าชีวิตที่ได้เกิดใหม่คงไม่ราบรื่นนัก “ถึงแล้ว” “ขอบคุณ” “นี่สาวน้อย เธอไหวแน่นะ สีหน้าของเธอดูไม่ดีเอามากๆ” “ไม่เป็นอะไร ฉันเพียงเจ็บแผลนิดหน่อยเท่านั้น” ความจริงเธอไม่ได้เจ็บ แค่ตกใจจนหน้าซีด “ไม่เป็นก็ดีแล้ว ไปทางนั้นตรอกที่หก มีคลินิกของหมอใจดีคนหนึ่ง เขารักษาคนก่อนเก็บเงินทีหลัง หากรู้สึกแย่ลงสามารถไปหาเขาได้” “มีเรื่องดีแบบนี้ด้วย คลินิกชื่อว่าอะไรคะ” “คลินิกความหวัง” “ความหวังหรือ? เป็นชื่อที่ดีจริงๆ” แค่ได้ยินชื่อคลินิก ก็สามารถเข้าใจปณิธานของหมอคนดังกล่าวแล้ว เธอเดินขึ้นชั้นสองเข้าบ้าน ช่วงนี้เป็นช่วงบ่ายจึงไม่มีคนอยู่มากนัก ประตูบ้านหลังที่มีคนอยู่มีเปิดแง้มระบายอากาศบ้าง แต่บ้างห้องก็ปิดสนิท คิดว่าน่าจะเพราะมุมแดด หากโดนแดดตรงๆ ในห้องคงจะอบร้อนน่าดู การเปิดประตูจึงเป็นทางเลือกหนึ่ง เธอเดินผ่านขึ้นไปชั้นสอง ตอนนี้ปลายเท้าเริ่มประท้วงส่งสัญญาณเตือน ว่าเธอใช้งานหนักเกินไป จนรู้สึกเจ็บระบมไปหมด “อ่าเจ็บแล้ว เจ็บแล้ว จะรีบกลับบ้านล้างแผลกินยาเดี๋ยวนี้ อู๊ย!” “เธอร้องอะไรน่าเกลียด!” ชายวัยรุ่นคนหนึ่งเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าเดือดดาล ห้องของเขาอยู่ชั้นเดียวกับเธอ ยังห่างกันไม่มาก ก่อนเขาจะชะงักไป เมื่อเห็นเธอเดินกะเผลกทำปากจู๋ดูเจ็บปวด “ขอโทษที่รบกวนค่ะ ฉันจะรีบเดินให้เร็วขึ้น” เธอคิดว่าเขาคงเป็นคนที่นอนหลับยาก จึงไม่ได้ถือสากับความหยาบคายของเขา แต่ก็ไม่มีความรู้สึกดีให้เช่นกัน “ต่อไปก็อย่าเดินแล้วครางแบบนั้น มันทำให้คนอื่นรู้สึกรำคาญ!” “อะไรกัน? ทำไมต้องโกรธขนาดนั้น” พูดจบก็ปิดประตูเสียงดังใส่เธอ ผิงผิงมองว่าเขาไร้มารยาท แต่ความจริงแล้วเขาเพียงไม่รู้จะทำตัวยังไง เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเธอหิ้วแขกเข้าบ้าน ในตึกนี้มีผู้หญิงหลายคนที่หาเงินด้วยวิธีนี้ตอนกลางวัน นั่นจึงทำให้เขาหงุดหงิด ยังขยะแขยงการกระทำอันไร้ยางอาย ถึงจะรู้ว่าบางคนทำไปเพราะจำเป็น แต่ก็มีบางคนทำเพราะความสนุก ไม่ใช่หาเลี้ยงปากท้อง แต่ต้องการหาคนเลี้ยงดู “ฮาไม่มีที่ไหน จะสุขใจเท่าบ้านตัวเอง!” ผิงผิงทิ้งกายลงบนที่นอน ผ่านไปลมหายใจหนึ่งจึงนอนมองเพดานเงียบๆ แล้วเรื่องที่ทำให้หวั่นไหวก็รบกวนความคิดเธออีกครั้ง “ทำไมมาไกลขนาดนี้ ถึงยังได้เจอกับพวกเขาอีก จะตามจองเวรกันไม่จบไม่สิ้นจริงๆ หรือ” ตอนนั่งสามล้อกลับบ้าน เพราะรู้สึกถึงการจ้องมองจึงหันไปดูและได้พบกับคนที่คิดว่าชาตินี้ไม่มีทางได้พบ พี่ชายใจร้าย พ่อแม่แท้ๆ ที่ทอดทิ้งเธอ รักเพียงลูกสาวจอมเสแสร้งคนนั้น เป็นต้นเหตุแห่งทะเลน้ำตาความทุกข์ทรมานในชีวิตของเธอ ยอมให้เขาทำร้ายขนาดนั้นทำไมยังต้องหมุนมาเจอกันอีกได้ ดูเหมือนพวกเขาก็เกิดใหม่ด้วย ยังร่ำรวยมั่งคั่งเหมือนเดิม เช่นเดียวกับเธอที่เกิดใหม่แต่ยากจน ต้องอยู่ลำพังโดดเดี่ยว หากไม่เพราะได้รับงานจากระบบ เธอคงยังต้องจนและอดอยากต่อไป “นี่โชคชะตากำลังทำอะไรกับฉันกันแน่ ในเมื่อพวกเขาได้เกิดใหม่ เช่นนั้นหยงเจินก็อาจมาด้วยเช่นกัน แล้วพ่อบุญธรรมของฉันล่ะ ทำไมฉันจึงไม่ได้เจอท่านอีกครั้งบ้าง” “อย่างน้อย... ฉันจะไม่ต้องอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวแบบนี้” ผิงผิงนั่งกอดเข่าด้วยความเศร้า เธอคิดถึงพ่อบุญธรรมมาก อยากแบ่งปันความสุขสบายที่จะเพิ่มขึ้นแก่ท่าน เธอไม่รู้ว่าต่อไปจะประสบกับปัญหาใดบ้างแต่รู้ว่าต้องเกิดขึ้นแน่ เพราะการได้พบครอบครัวใจร้ายกับหยงเจิน นิสัยเอาแต่ใจของพวกเขาต้องทำความลำบากแกเธอ คิดว่านี่คือสัญญาณแห่งอุปสรรค “พ่อคะ หนูคิดถึงพ่อเหลือเกิน” เธอคิดมากจึงปวดหัว แต่เดิมก็ปวดแผลอยู่ก่อน จึงรีบทำแผลแล้วกินยา ว่าจะนอนพักสักตื่น แต่พอได้หลับดันหลับลึก จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู จึงพยายามถ่างตาขึ้นงัวเงียหาวหวอด มองดูด้านนอกที่ฟ้าใกล้มืด แต่เสียงเคาะยังดังไม่หยุด เธอคิดว่าเป็นเสียงของห้องข้างๆ แต่พอฟังดีๆ มันคือห้องของเธอเอง “ใครกัน?” ถึงจะหวาดกลัวเพราะมั่นใจว่าไม่รู้จักคนในตึก แต่หากไม่ทำอะไรคงจะเคาะต่อไป มันไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะอาจทำให้คนอื่นที่ไม่รู้เกลียดเอาได้ “นั่นใคร! ทำไมมาเคาะห้องฉันแบบนี้” เพราะเกรงว่าจะเป็นคนร้าย เธอจึงยังไม่เปิดประตู แต่ร้องตะโกนถามออกไปแทน “บ้านเธอมีเทียนสักเล่มไหม ฉันขอยืมหน่อย” เสียงจากด้านนอกคือเสียงของผู้ชาย มันค่อนข้างแหบฟังแล้วคงอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบ แต่ถึงอย่างนั้นผิงผิงยังต้องระวังตัว เธอเป็นผู้หญิงที่อาศัยเพียงลำพัง หากใจดีเกินไปอาจนำความโชคร้ายมาสู่ตัวเองได้ “ฉันไม่มี คุณไปถามห้องอื่นเถอะ” “อย่างนั้นหรือ สักนิดก็ไม่มีเลย ตอนนี้ฟ้าจะมืดแล้วในบ้านฉันมันเริ่มมองไม่เห็น ฉันรู้ว่าเธอเพิ่งย้ายมา แต่เธอช่วยมีน้ำใจหน่อย” “นี่แม่หนู เราอยู่ตึกเดียวกันถือว่าคือเพื่อนบ้านนะ จะคุยกันควรเปิดประตูสิ” “ไม่ได้หรอก ตอนนี้มันเย็นมาก ฉันไม่สะดวกจะต้อนรับแขกจริงๆ และฉันไม่มีสิ่งที่คุณต้องการ หากคุณอยากได้เทียนล่ะก็ มีร้านชำข้างล่างที่เปิดอยู่” “ฉันไม่มีเงิน ถ้ามีฉันคงไม่มาเคาะห้องเธอหรอก หรือเธอจะให้ฉันเพื่อนำไปซื้อมัน” “ฉันไม่ได้ร่ำรวย ยังทำงานอย่างหนัก ได้เงินเพียงพอกินแค่วันต่อวัน ไม่มีให้คุณหรอก กรุณาไปเถอะ ฉันป่วยและต้องการพักผ่อน” “ถุย! คนแล้งน้ำใจ คนใจร้ายอย่างเธอ สักวันต้องถูกฟ้าดินลงโทษแน่” “....” ผิงผิงที่อยู่หลังประตูใบ้กินไปชั่วขณะ เธอว่าเธอคิดถูกมากที่ไม่เปิดประตูคุยกับเขา ชายคนนี้คือพวกเห็นแก่ตัวเที่ยวขอน้ำใจจากคนอื่น หากไม่ได้ก็ร้องโวยวายประหนึ่งคนเขาติดหนี้ คนแบบนี้สมควรช่วยหรือ อยู่ใกล้คงได้ทะเลาะกันสักวัน “ไปซะก็ดี! สงสัยเราต้องหาวันย้ายไปที่อื่นเสียแล้ว” “สวัสดี คุณทำภารกิจสำเร็จ รางวัลคืออะพาร์ตเมนต์ใหม่ที่มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์ มีไฟฟ้าน้ำประปา เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์จะปรากฏใน ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง” โฉนดบ้านใหม่อยู่ตรงหน้า ผิงผิงดีใจมากรีบเอามาดู นี่คืออะพาร์ตเมนต์ที่น่าอยู่ ตามแผนที่ที่แสดงผล ยังคงอยู่ในย่านชุมชนแต่ไม่แออัด ยังมีร้านค้าร้านอาหารตลาดสินค้า รวมถึงใกล้ถนนสายหลัก เรียกได้ว่าการเดินทางค่อนข้างสะดวก ยังอยู่ห่างจากแม่น้ำสี่กิโลเมตร เธอสามารถขึ้นเรือโดยสารข้ามฟากไปย่านโรงงานหรือย่านการค้าได้ง่าย แบบนั้นมันจะยิ่งทำให้เธอทำภารกิจได้ง่ายขึ้นเพื่อรับรางวัล ตอนนี้เธอสามารถแลกคูปองเพื่อใช้ซื้อของ ไม่ต้องกลัวถูกจับอีก “ดี! ดีมากๆ” “คุณมีคำถามไหม” เหมือนระบบจะรู้ความคิดเธอ คำถามนี้ตรงกับความกังวลที่เธอมี “ฉันอยากรู้ว่า การใช้เงินมีข้อจำกัดใดบ้าง มีสิ่งไหนที่ฉันใช้จ่ายไม่ได้” “เงินสามารถซื้อสินค้าได้ทุกชนิด แต่ไม่สามารถนำจ่ายนอกเหนือจากเงื่อนไขนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารถ ค่ารักษาพยาบาล ใช้หนี้” “พูดง่ายๆ ก็คือต้องซื้อเป็นสิ่งของเท่านั้น ใช้อย่างอื่นหรือให้เงินใครก็ไม่ได้สินะ” “ถูกต้อง นี่คือระบบกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นจะใช้เพื่อการแลกเปลี่ยนอย่างเดียว หากคุณมีความต้องการต่างจากที่แนะนำ คุณจะต้องใช้เงินตัวเองเท่านั้น” “เข้าใจแล้ว” ผิงผิงรู้เงื่อนไขของระบบ เธอไม่ได้รู้สึกว่าไม่แฟร์เลย ตรงกันข้ามการที่เธอสามารถใช้เงินครั้งละมากๆ โดยที่ไม่กระทบเงินตัวเอง มันคือโชคใหญ่ที่สุดแล้ว ยังสามารถขายของที่ซื้อมา เอาเงินเข้าบัญชีส่วนตัวได้อีก เงินจำนวนมากจากการขายรองเท้ากับโสม ทำให้ผิงผิงลืมเรื่องกลัดกลุ้มไปชั่วขณะ เธอสบายใจมากจึงนอนต่อไปถึงเช้าอีกวัน “ที่นี่เอง” เพราะเมื่อวานนอนเร็วจึงตื่นเร็ว รีบออกจากบ้านเพื่อไปดูอะพาร์ตเมนต์ใหม่ ระบบช่วยอำนวยความสะดวกให้ จึงไม่มีคนมาวุ่นวายกับเธอ ผิงผิงต้องการดูว่าเธอต้องซื้อหรือเพิ่มสิ่งใดในบ้านหลังนี้ แม้จะมีเฟอร์นิเจอร์ แต่ก็ยังมีของที่ต้องซื้อเพิ่มอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะเสื้อผ้ากับเครื่องครัวและตู้เก็บของ จัดให้เป็นระเบียบจะได้ไม่รก ในหัวคิดคำนวณอย่างคร่าวๆ ดูเหมือนวันนี้เธอต้องให้คนขนมาส่ง “วันนี้ฉันมีเงินสามพันหยวน น่าจะซื้อของได้ทั้งหมด รวมถึงทีวีวิทยุกับโคมไฟหัวเตียง” เดินชื่นชมรอบบ้านอย่างไม่เร็วไม่ช้า พอสมควรแก่เวลาจึงไปทำงาน ที่บ้านลุงชวนมีคนสองสามคนเหมือนช่าง พวกเขากำลังทำการรื้อถอนนั่นทำให้เธอตกใจมาก “หรือว่าลุงเขาจะเสียไพ่จนหมดตัว ไม่นะ พวกคุณทำอะไร!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD