จังหวะที่ 2

2849 Words
“นะ...นายถามว่าอะไรนะ” ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วถามเขาอีกครั้ง “ฉันถามว่าทำไมถึงมาอยู่คนเดียวมืดค่ำตรงนี้ บ้านเธออยู่แถวนี้รึไง” ฉันนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยหน่ายทันที จากนั้นก็ตอบเขาไปโดยที่ส่งยิ้มบางไปให้แต่สายตากลับก้มลงมองที่ขนมปังของตัวเองที่กินไปได้นิดหน่อย “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน” พวกเขาทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันอย่างมึนงงกับคำตอบของฉัน ก็จะให้ฉันตอบว่าอะไรล่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ หนิว่าที่นี่คือที่ไหน ขึ้นรถเมล์มาก็ไม่รู้สายด้วยซ้ำ “เธอหมายความว่าไง เธอไม่มีบ้านอยู่เหรอ” ติณห์หันมาถามฉันด้วยสีหน้าสงสัยไม่ต่างจากเพื่อนเขาที่ชื่อซันเท่าไร ฉันถอนหายใจอีกครั้ง ยกกล่องนมขึ้นดูดแล้วส่งยิ้มไปให้พวกเขา “ฉันมีบ้าน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ก็ไม่เชิงว่าไม่มีหรอก มันถูกไฟไหม้ไปแล้วน่ะ” ฉันพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาตะกุกตะกักจนควบคุมไม่ได้ แขนทั้งสองข้างขยับเข้าหากันเพื่อกอดกระเป๋าเป้ของตัวเองมากขึ้นเล็กน้อย แล้วสักพักก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พอเงยหน้ามองทั้งสองคนที่เงียบอยู่นานก็เห็นว่าพวกเขากำลังจ้องหน้าฉันนิ่ง เหมือนกับไม่รู้จะพูดอะไรกับฉันต่อดี ฉันเลยยิ้มกว้างออกมาแล้วหัวเราะเล็กน้อย “เธอพูดจริงเหรอ” ติณห์ถามฉันด้วยสีหน้าเคร่งเคลียดจริงจังขึ้น ฉันเลยพยักหน้าแล้วส่งยิ้มบางไปให้อีกครั้ง “ฉันไปก่อนนะ” หมับ! “เดี๋ยวๆ เธอจะไปไหนน่ะ” มือหนาของติณห์จับต้นแขนฉันเอาไว้ก่อนที่จะได้ก้าวขาเดินออกไป ฉันหันไปมองเขาคิ้วขมวดมุ่นด้วยความมึนงงทันที “ฉันก็จะไปหาที่พักน่ะสิ” ติณห์หันไปมองหน้าซันเหมือนกำลังคุยกันทางสายตาอยู่ จนฉันมองเขาสองคนสลับกันไปมาอย่างไม่เข้าใจ “ฉันชื่ออาซันนะ ส่วนไอ้นี่ชื่อติณห์” ติณห์น่ะฉันพอจะรู้แล้วล่ะ แต่เขาชื่ออาซันหรอกเหรอ สงสัยเพื่อนในกลุ่มคงเรียกเขาแค่ซันเฉยๆสินะ ว่าแต่พวกเขาจะมาบอกฉันทำไมกัน “เอ่อ...ฉันชื่อฟอง” ถึงจะไม่เข้าใจว่าเขาสองคนบอกฉันทำไม แต่มีคนมาแนะนำตัวก่อนเราก็ต้องแนะนำตัวกลับตามมารยาทที่ดีสินะ “บ้านเธอโดนไฟไหม้ ตอนนี้ไม่มีที่อยู่ใช่มั้ยฟอง” อาซันถามฉันอีกครั้ง ฉันเลยทำได้แค่พยักหน้ากลับไปอย่างงงๆ “วงดนตรีฉันมีบ้านพักอยู่นะ ห้องว่างก็มีอีกหลายห้อง เธอจะมาอยู่ด้วยมั้ยล่ะ” ฉันขยับตัวหลุดออกจากฝ่ามือหนาของติณห์เล็กน้อย เดี๋ยวนะ...สมองฉันมันไม่ค่อยคงที่เท่าไร บางทีอาจจะฟังอะไรผิดไป “นายให้ฉันไปอยู่ด้วยได้เหรอ” ฉันถามติณห์และอาซันพร้อมกับมองตาโตด้วยความตกใจเล็กน้อย พวกเขาชวนคนไม่รู้จักไปพักอยู่บ้านหลังเดียวกันง่ายๆแบบนี้น่ะนะ “ถ้าเธอไม่ใช่แฟนคลับ ที่คอยสร้างความวุ่นวายกับการใช้ชีวิตส่วนตัว…” “ฉันสาบานได้ว่าได้ยินชื่อวงดนตรีพวกนาย จากปากเพื่อนวันนี้เอง” ติณห์ยังพูดไม่ทันจบประโยคฉันก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน จะมาหาว่าฉันเป็นแฟนคลับที่คลั่งพวกนายจนตามแอบถ่ายเวลาเข้าห้องน้ำไม่ได้นะ ฉันไม่รู้จักชื่อพวกนายครบทุกคนเลยด้วยซ้ำ อาซันหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วหันไปพยักหน้าให้ติณห์ที่หันไปมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อเท่าไรที่ไม่มีคนรู้จักวงพอยซันของพวกเขา “งั้นเธอรอตรงนี้ก่อน ฉันกับไอ้ติณห์ขอไปซื้อของแปบ” พอฉันพยักหน้าให้อย่างเข้าใจอาซันกับติณห์ก็เข้าไปซื้อของในมินิมาร์ท ฉันยกยิ้มขึ้นมาทันทีที่หาที่ซุกหัวนอนได้แล้ว หวังว่าพวกเขาคงไม่คิดค่าห้องพักฉันแพงมากเกินไปหรอกนะ ฉันก้าวขาลงจากรถเปิดประทุนราคาแพงสีเทาของอาซันด้วยความมึนเบลอเล็กน้อย ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยนั่งรถยนต์แพงที่สุดก็วันนี้แหละ รถอะไรไม่รู้แพงแต่ทำไมมันมีที่นั่งน้อยแบบนี้กันล่ะเนี่ย นี่ฉันเหมือนนั่งอยู่ตรงซอกด้านหลังคนขับเลยนะ และไม่กี่นาที่ต่อมาอาซันก็เลี้ยวรถเข้าไปจอดภายในตัวบ้านหลังใหญ่สวยงามน่าอยู่ ติณห์หิ้วถุงที่เพิ่งซื้อมาเดินลงจากรถไปพร้อมอาซัน จากนั้นเขาก็เปิดประตูบ้าน ฉันที่ยืนมึนงงอยู่ข้างรถยนต์ราคาแพงเลยรีบเดินตามหลังเขาทั้งสองคนไปอย่างทำตัวไม่ถูก “พวกมึงไปนานจังวะ แค่ไปซื้อเหล้า” ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออกเสียงทุ้มเข้มของคนในบ้านก็ดังขึ้น พอฉันหันไปมองก็เห็นว่าสมาชิกของวงพอยซันนั่งอยู่บนโซฟาหน้าห้องรับแขกกันครบทุกคนเลย “แล้วนั่นมึงพาใครมาด้วยน่ะ” ฉันยกยิ้มบางส่งไปให้พวกเขาทันที ไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหนเลยขยับไปยืนข้างๆอาซันแทน “กูจะขอคุยอะไรกับพวกมึงหน่อย นี่ฟอง จะมาพักกับเราที่นี่ด้วย” อาซันไม่รอให้ใครถามอะไร เขาก็บอกออกมา ฉันฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิมอย่างเป็นมิตรทันที “ไอ้นั่นชื่อวายุ ส่วนนี่ไอ้นักรบ แล้วก็ไอ้คราม” ติณห์ชี้นิ้วแนะนำเพื่อนตัวเองให้ฉันรู้จัก วายุที่กำลังเล่มเกมส่งยิ้มบางมาให้ฉันเล็กน้อย นักรบก็ทำแค่พยักหน้าให้แล้วหันไปชงเหล้าของตัวเองต่อ ส่วนครามพอเราสองคนสบสายตากัน เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เหมือนกำลังรำคาญแล้วหันไปดูทีวีต่อทันที เขายังโกรธฉันเรื่องที่ทำไอศกรีมกระเด็นไปโดนอยู่อีกหรือไงน่ะ “ที่จริงจะมีอีกสองคนที่อยู่ด้วย ไอ้จอมทัพกับไอ้โอดิน แต่ไอ้จอมนาน ๆ ทีมันจะมาพักที่นี่น่ะ” ฉันหันไปพยักหน้าอย่างเข้าใจให้กับอาซันที่อธิบายสมาชิกภายในบ้านให้ฟัง “แล้วนี่ทำไมมึงสองคนถึงพาฟองมาพักได้ล่ะ เรื่องมันเป็นไง ถ้ากูจำไม่ผิดใช่คนที่ทำไอติมเปื้อนใส่ไอ้ครามใช่มั้ย” นักรบหันมาถามติณห์และอาซันด้วยสีหน้าสงสัยจนคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “เออ พวกกูไปเจอหน้ามินิมาร์ทพอดี” ติณห์พูดแค่นั้นก็เดินไปนั่งชงเหล้าดื่มบ้าง “แล้ว? มึงเลยพามาพักที่นี่ง่ายๆแค่นั้นเหรอวะ” นักรบยังคงถามต่อ โดยมีวายุหันมารอฟังคำตอบด้วยเหมือนกัน ฉันกำลังจะอ้าปากบอกพวกเขาแต่อาซันก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน “บ้านฟองไฟไหม้ กูกับไอ้ติณห์เห็นไม่มีที่พักพอดีเลยชวนมาพักที่นี่ ไหน ๆ ก็มีห้องว่างอีกเยอะ” นักรบชะงักมือที่กำลังเทเหล้าใส่แก้วของตัวเองเล็กน้อย วายุหันมามองหน้าฉันนิ่งฉันเลยได้แต่ส่งยิ้มบางไปให้ ส่วนครามก็หันมาจ้องหน้าฉันไม่ต่างกับวายุเท่าไร แต่สักพักเขาก็หันไปสนใจฟุตบอลที่ฉายในทีวีเหมือนเดิม “เอ่อ...คือฉันต้องจ่ายค่าห้องพักเท่าไรเหรอ” ฉันเห็นบรรยากาศดูน่าอึดอัดแปลกๆเลยหันไปถามอาซันที่เดินไปหยิบที่พวงกุญแจตรงลิ้นชักบนตู้โชว์ทรงสวยแปลกตา จากนั้นเขาก็เดินกลับมายื่นพวงกุญแจดอกนั้นให้ฉัน “เธอขึ้นไปพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาคุยเรื่องนี้อีกที ห้องเธออยู่ฝั่งซ้ายริมสุดเลยนะ” ฉันรับพวงกุญแจจากอาซันมาถือไว้แล้วพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดชั้นสองมองหาห้องที่มีหมายเลยเดียวกับพวงกุญแจที่ถืออยู่ รู้สึกล้าและปวดเมื่อยร่างกายไปหมดแล้วเนี่ย พอเข้ามาในห้องก็รับรู้ได้ว่าห้องพักที่นี่มันดูสะดวกสบายอย่างกับอยู่คอนโด มีห้องน้ำภายในห้อง เตียงก็ใหญ่แถมนุ่มนิ่มน่านอนมากอีกต่างหาก ห้องที่ฉันอยู่ไม่มีการตกแต่งอะไรมากมาย ของใช้ทุกอย่างยังดูเป็นระเบียบเหมือนได้รับการทำความสะอาดอย่างดี แล้วฉันก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่คิดได้ว่าค่าเช่าห้องพักนี้มันต้องแพงมากแน่เลย แล้วฉันจะมีปัญญาหาเงินมาจ่ายพวกเขาไหมเนี่ย ช่างมัน ขอพักคืนนี้ไปก่อนแล้วกัน “น้ำอุ่นนี่ดีจัง” ฉันนอนแช่น้ำอุ่นอยู่หลายนาทีจนตัวแทบเปื่อย ก็ที่บ้านฉันไม่มีอ่างอาบน้ำดูดีแบบนี้หนิ พอได้ลองแช่แล้วมันทำให้สบายตัวขึ้นเยอะเลย “เฮ้ย ไม่มีชุด…” แล้วฉันก็ตระหนักได้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่กระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้วยเพียงใบเดียว แล้วในนั้นยังมีแค่รูปแม่ กระเป๋าสตางค์ แล้วก็ของใช้อีกเล็กน้อย เสื้อผ้าก็มีเท่าที่ใส่ติดตัวอยู่ชุดเดียวนั่นแหละ ให้ตายเถอะ ทำยังไงดีล่ะ ฉันตั้งสติแล้วลองเปิดตู้เสื้อผ้าที่อยู่กับห้องพักนี้ดูแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า แหงสิ ก็ห้องนี้มันว่างจะไปมีเสื้อผ้าแขวนอยู่ได้ยังไงกัน ฉันเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างคิดไม่ตก จะใส่เสื้อผ้าชุดเดิมมันก็สกปรกไปหมดแล้ว ทั้งควันและฝุ่นอะไรอีกเยอะแยะ ขืนใส่ได้นอนคันทั้งคืนแน่ ๆ ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายให้กับตัวเองที่ซื่อบื้อแบบนี้ หรือจะไปขอยืมเสื้อผ้าอาซันใส่ก่อนดี ดูเขาเป็นคนใจดีมีเมตตาที่สุดในกลุ่มแล้วด้วย คิดดังนั้นฉันเลยไม่รอช้าค่อยๆเปิดประตูห้องนอนของตัวเองทั้ง ๆ ที่นุ่งผ้าขนหนูเพียงผืนเดียว ผมก็รวบขึ้นอย่างลวกๆ เอาน่า แค่แปบเดียวเอง อีกอย่าง อาซันคงไม่ถือหรอกมั้ง ฉันไม่ได้ล่อนจ้อนไปสักหน่อย ผ้าขนหนูนี่ก็ผืนใหญ่จะตายพันตัวฉันได้สองรอบแล้วเนี่ย “ทำอะไรของเธอ…” ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาออกจากห้องไปถึงไหนด้วยซ้ำ คนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามก็เปิดประตูออกมาแล้วยืนจ้องหน้าฉันด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไร เมื่อเห็นว่าฉันแต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย ฉันเงยหน้าพร้อมกับกะพริบตาปริบ ๆ มองครามที่ยังคงยืนจ้องฉันด้วยสายตาคมดุดัน คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิดทันทีที่ฉันส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้ “คือฉันลืมว่าไม่มีเสื้อผ้าติดตัวมา เลยจะไปขอยืมอาซันน่ะ เอ่อ... ฉันไปก่อนนะ” หมับ! ฉันกำลังจะเดินผ่านร่างกายสูงใหญ่ของครามไป แต่มือหนาก็จับต้นแขนฉันเอาไว้แน่นทันที พอฉันหันไปมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย เขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “คิดจะไปอ่อยไอ้ซันมันรึไง” ทันทีที่เสียงเข้มต่ำพูดจบ คิ้วฉันก็กระตุกด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นไปสบสายตาคมของครามนิ่งทันที “ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไงนายน่ะ ฉันบอกว่าจะไปยืมเสื้อผ้าอาซัน ฉันไม่มีเสื้อผ้าใส่เนี่ย จะให้ใส่ชุดเปื้อนฝุ่นควันนั่นหรือไง คันตายสิ” ครามนิ่งไปเล็กน้อย มือหนาปล่อยต้นแขนฉันออก แต่เสียงคนกำลังเดินขึ้นมาที่ชั้นสองดังขึ้น ฉันเลยหันไปมองเผื่อว่าเป็นอาซันจะได้ขอยืมเสื้อผ้าของเขาแล้วรีบเข้าไปนอน หมับ! ปึง “ทำอะไรของนายอีกล่ะเนี่ย จะพาฉันเข้ามาด้วยทำไม” มือหนาของครามจับต้นแขนฉันแล้วดึงเข้าไปในห้องนอนเขาพร้อมกัน ฉันที่ยืนมึนงงในตอนแรก พอตั้งสติได้ก็หันไปถามครามที่เดินไปทางตู้เสื้อผ้าของตัวเองด้วยความสงสัย “เอาไปใส่ก่อน” ฉันรีบยกมือรับเสื้อยืดตัวใหญ่สีขาวของครามที่เขาโยนมาให้อย่างตกใจ คิดจะโยนให้ก็บอกกันก่อนสิ เดี๋ยวฉันรับไว้ไม่ได้ เสื้อเขาตกพื้นแล้วเปื้อนก็จะมาโมโหใส่ฉันอีก “นายให้ฉันยืมก่อนเหรอ” ฉันกางเสื้อยืดของครามดู แล้วหันไปถามเขาด้วยสีหน้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ครามถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วพยักหน้าให้เล็กน้อย “แต่ฉันไม่มีชั้นในผู้หญิงให้ยืมหรอกนะ” เสียงเข้มต่ำพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ฉันขมวดคิ้วมุ่นมองเขาเล็กน้อย ถ้าเขามีนี่สิฉันจะว่าแปลก แต่ถ้ามีจริง ๆ บางทีอาจจะเป็นของแฟนเขาก็ได้ หรือบางทีเขาอาจจะมีรสนิยมชอบแต่งหญิงก็ได้ใครจะไปรู้ล่ะ คนเราก็มีรสนิยมไม่เหมือนกันสักหน่อย ฉันยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดนั้นของครามเท่าไรนัก เพราะยังไงตอนนอนฉันก็ไม่ชอบใส่ชุดชั้นในอยู่แล้วน่ะสิ “ยังไงก็ขอบคุณนะที่ให้ยืม เดี๋ยวฉันซักแล้วจะเอามาคืนทีหลังแล้วกันนะ” ครามยังคงยืนมองหน้าฉันนิ่ง มองอะไรนักหนาล่ะเนี่ย ในเมื่อเขาไม่พูดอะไรฉันเลยหันหลังไปเปิดประตูห้องพักของเขา ก่อนจะออกมาก็แอบมองซ้ายมองขวา เผื่อมีคนผ่านมาเจอฉันอยู่ในห้องของครามเดี๋ยวจะเข้าใจฉันผิดแบบเขาอีกน่ะสิ “เดี๋ยว…” หมับ “อะไร…” เสียงเข้มต่ำเรียกไว้ก่อนที่ฉันจะเดินออกไปจากห้องของเขา ฉันหมุนตัวไปมองทางคราม แต่ก็ต้องชะงักและอ้าปากที่กำลังจะถามเขาค้างไว้ ทันทีที่หน้าอกรับรู้ถึงฝ่ามือหนาอุ่นร้อนที่กำลังจับหน้าอกของฉันเอาไว้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว... ทั้งฉันและครามเราสบสายตากันนิ่งไปหลายนาที แต่เหมือนครามจะได้สติก่อนเขาเลยดึงมือหนาออกแล้วบอกด้วยเสียงเรียบนิ่งทันที “ฉันจะจับแขน แต่เธอดันหันมาซะก่อน” ฉันที่กะพริบตาปริบๆ มองครามอยู่พยักหน้าหงึกหงัก เม้มริมฝีปากเล็กน้อย แล้วรีบหันไปมองอย่างอื่นในห้องเขาแทน มันเป็นอุบัติเหตุสินะ... เอาเถอะ ฉันไม่อยากโวยวายอะไรหรอก เขาก็ไม่ได้ตั้งใจด้วย แต่ทำไมหัวใจถึงเต้นระรัวและรู้สึกหน้าร้อนผ่าวแบบนี้ล่ะ “แล้วที่นายเรียกฉันไว้มีอะไรอีกล่ะ” ฉันตั้งสติแล้วถามเขาไปอีกครั้ง ครามเดินเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นจนฉันรู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไร “อย่าแต่งตัวแบบนี้เดินไปเดินมาในบ้านอีก” ฉันขมวดคิ้วมุ่นมองครามด้วยสายตาติดจะขุ่นเคืองเล็กน้อย นี่เขาคิดว่าฉันอยากเดินเล่นในบ้านด้วยสภาพมีแค่ผ้าขนหนูพันรอบตัวแบบนี้มากหรือไงถ้ามันไม่จำเป็นอย่างตอนนี้น่ะ “ฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้บ่อยนักหรอก แต่ครั้งนี้มันช่วยไม่ได้หนิ” ฉันพูดอย่างไม่ค่อยใส่ใจอะไรมาก แล้วหันหลังไปเปิดประตูที่แง้มเอาไว้เล็กน้อยให้กว้างขึ้นอีก เพื่อที่จะได้เดินไปเข้าห้องของตัวเองสักที เสื้อยืดสีขาวของครามตัวใหญ่มากจนมันคลุมเกือบจะถึงหัวเข่าฉันได้แหน่ะ พอแต่งตัวเสร็จฉันก็ไปซักเสื้อผ้าของตัวเองแล้วเอาไปตากไว้ที่ระเบียง จากนั้นก็มานั่งที่เตียงนอนแล้วหันไปมองรูปแม่ตรงโต๊ะข้างเตียงที่ส่งยิ้มสดใสมาให้เหมือนเคย ฉันยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ฟองดูแลตัวเองได้ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงฟองหรอกนะ” บอกแม่จบฉันก็เอนตัวนอนลงบนเตียงแสนนุ่มนิ่ม พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดงานของฉันพอดีด้วย ค่อยออกไปหาซื้อของใช้พรุ่งนี้แล้วกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD