จังหวะที่ 3

2394 Words
หลังจากที่ฉันอาบน้ำ และแต่งตัวด้วยชุดของตัวเองที่ซักตากเอาไว้ที่ระเบียงห้องเสร็จ ฉันก็ออกไปที่ห้างสรรพสินค้าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักมากเท่าไหร่ ตอนที่ฉันกำลังออกมาก็ยังไม่มีใครตื่นเลยสักคนเดียว เมื่อคืนสงสัยพวกเขาไปเล่นดนตรีที่ผับแน่ๆ เลย เพราะฉันได้ยินเสียงเหมือนทุกคนเพิ่งเข้าห้องของตัวเองประมาณตีสี่แหน่ะ ครืด ๆ ฉันสะดุ้งและวางเต้าหู้ลงในตะกร้าจากนั้นก็รีบล้วงโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงทันที “ว่าไงครีม” [แกเป็นไงบ้างฟอง ทำไมไม่บอกฉันเลยล่ะ!] ฉันรีบดึงโทรศัพท์มือถืออกจากใบหูของตัวเองเล็กน้อยเมื่อครีมมันตะโกนออกมาเสียงดังอย่างตื่นตกใจ “ฉันไม่เป็นไร สบายดีน่า” [สบายดี? แกแน่ใจนะฟอง ก็บ้านแก…] ครีมเงียบไปจนฉันต้องยิ้มออกมาแล้วมองหาของที่จะซื้อไปทำกับข้าวต่อ ฉันรู้ว่าครีมมันเป็นห่วง แต่ฉันไม่ได้อยากทำให้ใครต้องมาเป็นห่วงขนาดนั้นสักหน่อย “อือ ฉันสบายดีจริงๆ ตอนนี้ก็หาที่พักได้พอดี แกหายห่วงได้เลย” [แกทำไมไม่โทรหาฉันหรือมาอยู่กับฉันก็ได้ จะได้ไม่เปลือง] ครีมถอนหายใจออกมาเสียงดังจนฉันยังแอบได้ยินเลย “ฉันไม่อยากรบกวนแกน่ะสิ เรื่องแค่นี้เอง ฉันไม่เป็นไรหรอก” ฉันบอกครีมแล้วหันไปหยิบผักกาดขาวมาใส่ลงในตะกร้าที่กำลังถืออยู่ จะพอมั้ยนะ… [แกก็เป็นแต่แบบนี้ไง บ้านไฟไหม้ยังบอกว่าเรื่องแค่นี้ ได้เหรอ] ฉันหัวเราะออกมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินครีมมันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกครั้ง “มันไม่ได้ไหม้ทั้งหลังสักหน่อย ฉันก็ค่อยเก็บเงินซ่อมเอาได้หนิ” [ถ้าแกมีอะไรให้ช่วยรีบบอกฉันได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจหรือคิดว่ามันรบกวนหรอกฟอง] “อือ ขอบใจแกมากนะครีม” ฉันยิ้มกว้างอยู่คนเดียวและคุยกับครีมอีกสองสามนาที จากนั้นฉันก็วางสายแล้วเดินเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นของตัวเองต่อ ยังดีหน่อยที่วันนี้มีโปรโมชั่นเสื้อผ้าลดราคา ฉันเลยได้เสื้อยืด กางเกงขาสั้นและชุดชั้นในเอาไว้ใส่เพิ่มขึ้นมาหน่อย ฉันเดินหอบถุงของสดและของใช้ของตัวเองลงมาจากรถเมล์อย่างทุลักทุเลเล็กน้อย เพราะตอนออกมาจากห้างสรรพสินค้าก็ช่วงเกือบสายพอดี คนก็เลยแน่นจนฉันต้องโหนรถเมล์เหมือนลูกลิงหัวยุ่งไปหมดแล้ว ตุบ “เฮ้อ เกือบตาย” พอเข้ามาในบ้านพักฉันก็วางของทุกอย่างลงบนเคาน์เตอร์ที่อยู่ภายในห้องครัวจากนั้นก็ลงมือหุงข้าวและทำกับข้าวทันที “เธอทำอะไรน่ะ” ฉันหันไปมองติณห์ที่เดินหาวลงมาจากบันไดชั้นสอง แล้วมองลงมายังฉันด้วยสีหน้าสงสัย “ทำกับข้าว พวกนายจะกินด้วยมั้ย ฉันทำเผื่อไว้ด้วย” “จริงดิ เธอนี่ขยันชะมัด แล้วออกไปซื้อของพวกนั้นมาคนเดียวเลยเหรอ” ติณห์เดินมามองถุงของสดที่ฉันวางอยู่ที่เคาน์เตอร์แล้วหันมามองหน้าฉันอย่างไม่อย่างเชื่อทันที “อือ ฉันจะไปซื้อของใช้ของตัวเองพอดี แล้งซื้อของสดเข้ามาด้วย เห็นในตู้เย็นไม่มีอะไรเลยน่ะ” “ทำไรวะไอ้ติณห์” อาซันเดินเข้ามาถามติณห์แล้วมองหน้าฉันอย่างมึนงงทันทีที่เห็นว่าฉันกำลังใส่เครื่องปรุงลงในหม้อต้มจืด “กูแค่เข้ามาดู เห็นฟองทำอาหาร ทำเผื่อพวกเราด้วยว่ะ” พอติณห์พูดจบทั้งสองคนก็มองหน้ากันแล้วหันมามองฉันคิ้วขมวดมุ่นเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ พวกเขาจะมองฉันแบบนั้นทำไมกันน่ะ ฉันทำอะไรผิดไปเหรอ… “เธอคิดค่าของสดมาให้ฉันด้วยนะ เดี๋ยวพวกเราจ่ายเอง” อาซันหันมาบอกฉันพร้อมกับส่งยิ้มบางมาให้ ฉันกะพริบตาปริบๆ มองอาซันและติณห์ที่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูก “คือ… ไม่เป็นไรหรอก ฉันมาอาศัยบ้านพักของพวกนายอยู่ อีกอย่างฉันก็อยากถามเรื่องค่าเช่าด้วยเหมือนกัน” “เรื่องนั้นพวกฉันจะเรียกมาคุยกันก่อนว่าจะเอายังไง เธอก็อยู่ไปไม่ต้องคิดมากก็พอ แล้วก็อย่าลืมคิดค่าของสดที่ซื้อมาให้ไอ้ซันด้วยล่ะ” ติณห์ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยกมือปิดปากหาวอีกครั้งพร้อมกับเกาพุงตัวเองไปด้วย เอ่อ… ฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้นะเผื่อเขาจะลืม “แบบที่ไอ้ติณห์บอกแหละ เธอไม่ต้องคิดมากเรื่องที่มาพักที่นี่หรอก” ฉันหันไปมองอาซันอีกครั้งแล้วก็ต้องพยักหน้ากลับไปให้เขาอย่างเข้าใจ งั้นฉันจะทำแบบที่พวกเขาบอกก็แล้วกัน แต่ยังไงฉันก็ยังอยากจายค่าเช่าบ้านให้พวกเขาอยู่ดีเนี่ยสิ… “กูไปดูดบุหรี่แปบ” ติณห์ชูมวนบุหรี่ให้อาซันดูแล้วเดินออกไปทางหลังบ้านตรงสนามบาสทันที “อะไรติดน่ะฟอง” ฉันหันไปมองอาซันด้วยความสงสัยทันทีที่เข้าเดินเข้ามาใกล้แล้วจ้องไปที่หัวของฉันคิ้วขมวดมุ่น “อะไรเหรอ” “แปบ เดี๋ยวเอาออกให้” ฉันพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นอาวันก็ยกมือขึ้นไปหยิบเศษผักที่ติดอยู่บนหัวของฉันออกให้ ให้ตายเถอะ ฉันหั่นผักแบบไหนมันถึงไปติดอยู่บนนั้นได้เนี่ย พรึบ! “ถอยหน่อย กูจะเอากาแฟ” ฉันและอาซันต่างก็ถอยหลังออกห่างจากกันทันทีที่ครามเดินเข้ามาแทรกแล้วหยิบกระปุกกาแฟออกมาจากชั้นบนเคาน์เตอร์ครัว ฉันเงยหน้ามองครามที่ก้มลงมามองหน้าฉันด้วยสายตาคมดุดันอย่างมึนงง จากนั้นก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อคิ้วเข้มของเขาขมวดมุ่นอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ อะไรอีกล่ะเนี่ย นี่ครามไม่ชอบฉันมากเลยหรือไงกัน “กาแฟตรงเครื่องก็มี” อาซันเลิกคิ้วขึ้นแล้วบอกครามพร้อมกับยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ก็กูอยากกินอันนี้” ครามหันไปบอกอาซันด้วยเสียงเข้มต่ำเรียบนิ่ง จากนั้นก็ถือกระปุกกาแฟไปที่เครื่องชงทันที “หึ งั้นกูไปเช็กเครื่องดนตรีหน่อยดีกว่า” อาซันยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินไปที่ห้องซ้อมดนตรีเมื่อเห็นว่าครามทำท่าทางนิ่งเฉยตามปกติและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกตามเคย “นายกินต้มจืดได้มั้ย แพ้อะไรรึเปล่า” ฉันยืนทำกับข้าวโดยที่ครามก็ยังคงทำกาแฟของตัวเองไปเงียบๆ จนฉันทนรู้สึกกดดันจากเขาไม่ไหวถึงได้ถามครามออกไปเพื่อไม่ให้บรรยากาศภายในห้องครัวมันอึดอัดไปมากกว่าเดิม “ไม่แพ้ กินได้หมด เธอจะทำอาหารเหรอ” ครามหันมามองฉันพร้อมกับขมวดคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อยอย่างสงสัย “อือ นายอยากกินอะไรอีกมั้ย ฉันทำแค่ต้มจืด ผัดผักแล้วก็หมูทอด” ฉันหันไปพยักหน้าให้ครามแล้วหันกลับมาทำกับข้าวต่อ เขามองฉันนิ่งๆ สักพักครามก็เดินถือแก้วกาแฟดำของตัวเองมานั่งที่เก้าอยู่ใกล้ๆ กับที่ฉันกำลังยืนทำอาหารอยู่อย่างเงียบๆ จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ “แค่นั้นก็พอ” “อือ” ฉันหันไปยิ้มบางให้ครามเพื่อไม่ให้บรรยากาศระหว่างเราที่อยู่ภายในห้องครัวต้องอึดอัดไปมากกว่านี้ เขาดูเป็นคนเข้าถึงยากชะมัดเลย ผ่านไปหลายนาทีฉันก็ทำกับข้าวทุกอย่างเสร็จ แล้วหยิบของสดที่อยู่บนเคาน์เตอร์ไปแช่ตู้เย็นเอาไว้ให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปหาจานและชามมาใส่อาหาร ตลอดเวลาที่ฉันขยับตัวก็จะมีสายตาคมดุดันของครามที่ยังคงนั่งดื่มกาแฟดำของตัวเองอยู่ที่เก้าอี้ใกล้ๆ มองมาจนฉันทำตัวไม่ค่อยถูก ทำไมเขาต้องมองฉันด้วยก็ไม่รู้… หมับ! ฉันกะพริบตาปริบๆ มองแผงอกกำยำตรงหน้าด้วยความมึนงงทันทีที่ฉันกำลังจะหันไปเอื้อมมือหยิบจานที่อยู่บนเคาน์เตอร์ แต่กลับถูกมือใหญ่จับต้นแขนแล้วดึงเข้าไปหาเขาด้วยความรวดเร็วจนใบหน้าของฉันทิ่มลงมาที่แผงอกกำยำของครามแล้วเนี่ย อะไรกันน่ะ “ซุ่มซ่าม” เสียงเข้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับมือใหญ่อีกข้างยังคงจับที่เอวบางของฉันเอาไว้แน่น ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองครามที่ส่งสายตาคมดุดันมาให้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งทันที “นายว่าไงนะ” “ซุ่มซ่าม” สายตาคมเหลือบไปมองด้านหลังของฉันจนฉันต้องหันไปมองตามพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย แล้วก็รับรู้ว่าตัวเองเกือบจะโดนหม้อต้มจืดที่ทำเอาไว้ตกลงมาบนพื้นซะแล้ว ให้ตายสิ ยังดีนะที่ครามดึงตัวฉันเอาไว้ได้ก่อน ไม่งั้นคงอดกินเพราะเทราดตัวเองแน่ๆ ฉันมันก็ซุ่มซ่ามอย่างที่เขาบอกจริงๆ นั้นแหล่ะ “เอ่อ ขะ…ขอบคุณนะ” ฉันส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปให้คราม แล้วค่อยๆ ขยับตัวออกห่างจากแผงอกกำยำของเขา แต่มือใหญ่กลับจับต้นแขนของฉันเอาไว้อีกครั้งจนฉันต้องเงยหน้ามองครามด้วยความไม่เข้าใจ “จะหยิบอะไร” ครามมองหน้าฉันนิ่ง แล้วสักพักเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็เลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อยอย่างรอฟังคำตอบเมื่อเห็นว่าฉันยังคงยืนกะพริบตาปริบๆ มองเขาไม่เลิก “เอาจานน่ะ จะใส่กับข้าว” ฉันกระแอมแล้วสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่เมื่อตั้งสติได้อีกครั้ง จากนั้นก็รีบหันหน้าหนีสายตาคมดุดันของครามที่มองลงมาสบสายตากับฉันอย่างประหม่า ประหม่าเหรอ…ฉันจะรู้สึกประหม่ากับครามทำไมกันเนี่ย “อือ” ครามปล่อยมือใหญ่ออกจากต้นแขนของฉันแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์ครัว เขาเปิดชั้นหยิบจานและชามมาให้ฉันสองสามใบ ฉันเลยรีบหยิบจานชามมาจากมือใหญ่แล้วตักกับข้าวที่ทำไว้ จากนั้นก็เดินเอาไปวางที่โต๊ะอาหารตัวยาวที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องครัวด้วยความรวดเร็ว ให้ตายเถอะ เมื่อกี้ที่เผลอเหลือบสายตากับสาบกับสายตาคมดุดันของครามมันทำให้ฉันหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างทำตัวไม่ถูกทันทีเลย “หอมจังวะ” ฉันกำลังจะหันไปถามครามที่ยืนพิงเคาน์เตอร์ครัวมองฉันนิ่งๆ ว่าพวกเขาทุกคนจะกินข้าวเช้าเลยหรือเปล่า แต่นักรบก็เดินเข้ามาแล้วพูดขึ้นเสียงดังซะก่อน ตามมาด้วยวายุที่หันมายิ้มบางให้ฉันแล้วมองไปทางกับข้าวที่อยู่บนโต๊ะอาหารด้วยสีหน้าสงสัย “เธอทำเหรอ” “อือ พวกนายจะกินกันเลยมั้ย ฉันจะได้ตักข้าวเลย” ฉันพยักหน้าหงึกหงักแล้วส่งยิ้มบางกลับไปให้วายุทันที “กินเลยๆ หมูทอดนี่อร่อยดีนะ” “มึงหยิบแดกก่อนได้ไงเนี่ยไอ้รบ” ติณห์เดินเข้ามาเห็นนักรบหยิบหมูทอดขึ้นมากินหน้าตาเฉยจึงหันไปด่าแล้วก้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยหน่าย “ก็กูหิว เมื่อคืนแม่งก็ได้แดกแต่เหล้า” นักรบยักไหล่อย่างไม่ใส้ใจกับคำด่าของติณห์แล้วนั่งกินหมูทอดในมือของตัวเองต่อ “แล้วนี่ไอ้ซันมันหายหัวไปไหนวะ” ติณห์ไม่สนใจนักรบแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร จากนั้นก็หันไปถามวายุที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่ด้วยความสงสัย “กูก็ไม่รู้ สงสัยอยู่ห้องซ้อม เดี๋ยวกูไปตามเอง” ติณห์พยัหน้าให้วายุเล้กน้อย จากนั้นวายุก็เดินไปตามอาซันที่ห้องซ้อมดนตรีของพวกเขา ส่วนฉันที่ตักข้าวให้ครบทุกคนแล้วก็เดินถือจานข้าวสวยไปวางไว้ให้ทุกคนที่โต๊ะอาหารทันที เห็นนักรบนั่งแทะหมูทอดไปสองสามชิ้นแล้วรู้สึกว่าพวกเขาคงจะไม่ได้กินอะไรกันตั้งแต่เมื่อคืนสินะ ท่าทางจะหิวจัดโดยเฉพาะนักรบเนี่ย “ไม่ต้องเอามาให้ก็ได้ เดี๋ยวพวกฉันไปตักข้าวเอง” ฉันหันไปยิ้มบางให้ติณห์ที่นั่งอยู่ข้างๆ กับนักรบแล้วส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย “ไม่เป็นไรๆ แค่นี้เอง ถ้าพวกนายไม่อิ่มยังมีกับข้าวอยู่อีกนะ ตักเพิ่มได้เลย” ติณห์กับนักรบหันหน้ามามองฉันแล้วทั้งสองคนก็พยักหน้าพร้อมกับด้วยความพร้อมเพรียง จนฉันอดขำกับท่าทางของพวกเขาสองคนไม่ได้ “ท่าทางน่าอร่อยดีนะฟอง” อาซันที่เดินมาพร้อมกับวายุหันมาบอกฉัน แล้วพวกเขาก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร พรึบ ฉันที่กำลังหยิบจานข้าวสวยอีกสองจานที่เหลือไปที่โต๊ะอาหารต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อครามเดินมาหยิบมันไปถือไว้แทนฉัน แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่เหลืออีกสองตัวข้างๆ กันด้วยท่าทางปรกติ จนฉันต้องยืนมองเขาตาปริบๆ อย่างมึนงงอีกครั้ง “มากินข้าวดิ” เสียงเข้มต่ำพูดขึ้น ฉันหันไปเหลือบมองเก้าอี้อีกตัวข้างๆ ครามแล้วเม้มริมฝีปากเอาไว้เล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักและเดินไปนั่งลงข้างๆ เขาด้วยความรวดเร็ว “อะ…อือๆ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD