จังหวะที่ 1

3530 Words
“ฟองไปทำงานก่อนนะแม่” ฉันใส่รองเท้าผ้าใบคู่โปรด แล้วหันไปบอกแม่ที่กำลังยิ้มกว้างอยู่ในกรอบรูปอย่างสดใส จากนั้นก็รีบสะพายกระเป๋าออกจากบ้านเพื่อไปทำงานทันทีจะไม่ให้รีบได้ยังไง สายแล้วด้วยเดี๋ยวไม่ทันรถเมล์กันพอดีสิ ตั้งแต่แม่เสียไปเมื่อสองปีก่อน เพราะอุบัติเหตุรถชนฉันก็อาศัยอยู่ตัวคนเดียวที่บ้านหลังเล็กที่แม่ทิ้งไว้ให้มันเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ฉันมีอยู่ ถึงสภาพจะเก่าหน่อยแต่มันก็เต็มไปด้วยความทรงจำที่อบอุ่นสำหรับฉัน ส่วนพ่อฉันก็จำหน้าไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ พ่อทิ้งแม่ไปตั้งแต่ฉันอายุได้เพียงสองขวบ รูปถ่ายก็ไม่มีสักใบเพราะแม่บอกว่าพ่อขี้เมาแบบนั้นไม่ต้องไปสนใจหรอก อีกอย่างพ่อก็มีครอบครัวใหม่ไปแล้ว ฉันก็ไม่ได้สนใจเท่าไร ตอนนี้เรียนจบทำงานพอเลี้ยงตัวเองได้อยู่นี่นา ถึงเงินเดือนจะไม่มากมายอะไรก็ตาม “ร้อนชะมัด” พอมาถึงร้านไอศกรีมที่อยู่ภายในสวนสนุกที่ฉันทำงานอยู่ก็ต้องบ่นออกมาเบาๆยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลตามไรผมของตัวเองออกอย่างลวกๆ “ในร้านมีแอร์น่าแกไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว” ฉันหันไปพยักหน้าให้ครีมที่เปลี่ยนเป็นชุดทำงานประจำร้านเรียบร้อยแล้ว ครีมเป็นเพื่อนกับฉันตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยน่ะ เมื่อปีที่แล้วพอเรียนจบแล้วเห็นสวนสนุกเปิดใหม่เราก็เลยลองมาสมัครงานที่ร้านนี้พร้อมกัน เพราะเงินเดือนที่ได้ก็เยอะกว่าที่อื่น แถมทิปจากนักท่องเที่ยวยังได้เยอะมากจนน่าตกใจอีกต่างหาก “รับอะไรดีคะ” หลังจากที่เปลี่ยนเป็นชุดทำงานเสร็จ ฉันก็ออกมารับออเดอร์ลูกค้าตามปกติ แต่รู้สึกว่าวันนี้มันร้อนกว่าทุกวันจริง ๆ นะเนี่ย “หือ ชื่อฟองเหรอครับ” ลูกค้าผู้ชายที่ใส่ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยใกล้ๆหันมามองหน้าฉันแล้วเหลือบไปมองป้ายชื่อที่ติดอยู่บนเสื้อพนักงาน ฉันพยักหน้าเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มบางไปให้อีกครั้ง “ใช่ค่ะจะรับอะไรดีคะ” “พีท มองอะไรคะ” ผู้หญิงคนที่นั่งข้างๆกับลูกค้าผู้ชายที่ชื่อพีทพูดขึ้นมาเสียงแหลมแถมยังหันมาตวัดสายตามองฉันอย่างไม่เป็นมิตรอีก “ไม่ได้มองอะไร น้องด้าอยากกินไอติมไม่ใช่เหรอสั่งสิครับ” ลูกค้าที่ชื่อพีทหันไปมองน้องด้าอะไรของเขา แล้วสักพักก็หันมามองฉันอีกครั้ง มากับแฟนก็อย่ามาส่งสายตาแพรวพราวใส่ฉันสิ ฉันไม่อยากมีปัญหากับลูกค้าหรอกนะ พอพวกเขาสองคนสั่งไอศกรีมเสร็จ ฉันก็เดินเอาออเดอร์ไปให้พี่แทนคุณทันทีลูกค้าที่ชื่อด้าก็ยังคงมองตามจิกหลังฉันไม่เลิก ให้ตายเถอะ “เดี๋ยวพี่ไปเสิร์ฟแทนแล้วกันนะฟอง” พี่ตะวันเดินมาบอกฉันพร้อมกับตบลงมาที่ไหล่ของฉันเบาๆสองสามที สงสัยพี่ตะวันจะดูออกสินะว่าถ้าฉันยังโดนลูกค้าที่ชื่อพีทอะไรนั่นส่งสายตาไม่เลิกคงได้มีปัญหากับแฟนของเขาแน่ ๆ ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเซ็งๆ “ขอบคุณมากนะพี่ตะวัน” “เอาน่า ฟองน่ารักเกินไปไง เลยเจอแบบนี้บ่อย” พี่ตะวันพูดแซวยิ้มๆ “น่ารักอะไรล่ะพี่ ทำงานจนหัวฟูหมดแล้วเนี่ย” พี่ตะวันหัวเราะเบาๆแล้วเอาไอศกรีมที่พี่แทนคุณทำตามออเดอร์เสร็จแล้วไปเสิร์ฟ “ฟองๆ ๆ ” ฉันหันไปมองครีมที่เดินเข้ามาหาพร้อมกับทำสีหน้าตื่นเต้นด้วยความสงสัย “เป็นอะไรของแก” “นั่นใช่วงพอยซันมั้ย” ครีมชี้ไปทางหน้าประตูร้านที่มีผู้ชายประมาณสี่ห้าคนกำลังเดินเข้ามา แถมคนที่อยู่บริเวณนั้นยังหันไปมองทางพวกเขาด้วยความตื่นเต้นตกใจไม่ต่างจากครีมเลย “พอยซันไหนอ่ะ” ฉันขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ครีมหันขวับมามองหน้าฉันเหมือนเป็นตัวประหลาดที่เพิ่งลงมาจากต่างดาว “นี่แกไม่รู้จักวงพอยซันเหรอ” “หน้าฉันเหมือนคนที่รู้จักมากมั้ง” ครีมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายทันทีที่ฉันพูดจบ “ลืมไปแกไม่ค่อยได้ไปเที่ยวผับนี่นะ” แล้วมันเกี่ยวอะไรกับไปเที่ยวผับด้วยล่ะเนี่ย ตกลงวันนี้ฉันจะรู้ไหมว่าวงพอยซันนี่มันคืออะไร “ก็ฉันไม่ค่อยมีเงินหนิ” “ฉันจะบอกแกไว้ก็ได้ ว่าวงพอยซันเป็นวงดนตรีดังที่เล่นที่ผับฟอกซ์ชื่อดังน่ะ แล้วสมาชิกของวงแต่ละคนนะแกเอ๊ย ไม่ธรรมดาทั้งนั้น ไม่ใช่แค่หน้าตาที่หล่อเกินมนุษย์เดินดินนะ แต่บ้านยังรวยมากอีกต่างหาก” ครีมอธิบายยาวเหยียดอยู่ข้างใบหูฉันอย่างใส่อารมณ์แล้วหันไปมองทางพวกเขาอีกครั้ง แถมมันยังดูดี๊ด๊ากว่าปกติอีก อะไรมันจะขนาดนั้น “เหรอ” ฉันพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ปล่อยให้ครีมมันยืนยิ้มหน้าบานอยู่คนเดียวแล้วไปเสิร์ฟไอศกรีมให้ลูกค้าแทน พรึ่บ! เคร้ง! แปะ! “เหวอ” ฉันรีบจับแก้วไอศกรีมบนถาดที่กำลังไปเสิร์ฟ ส่วนมืออีกข้างก็รีบคว้าขอบโต๊ะเคาน์เตอร์คิดเงินไว้ด้วยความรวดเร็ว สะดุดอะไรเนี่ยตกอกตกใจหมด พอก้มลงดูที่ปลายเท้าก็เจอกับสายไฟเจ้าปัญหาที่เกือบทำให้ฉันหน้าทิ่มพื้น แล้วใครเอาสายไฟมาวางไว้ตรงนี้กัน “ไอ้ฟอง!” ฉันสะดุ้งกับเสียงแหลมๆของครีม หันไปมองก็เห็นว่ามันกำลังอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง “อะไรของแก...” ฉันขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย กำลังจะอ้าปากถามว่าใครเอาสายไฟมาไว้ตรงนี้แต่ครีมก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน “นะ...นั่นนั่น” ฉันหันไปมองตามนิ้วชี้ทางที่ครีมกำลังชี้บอกพร้อมกับสีหน้าของมันที่เริ่มซีดลง “เธอ” ร่างกายสูงใหญ่ของผู้ชายหน้าตาดี ดีมาก คนอะไรวะทำไมมันต้องดูดีขนาดนี้เลยหรือไง แต่ก่อนจะได้ตกตะลึงกับความหล่อแบบเท่ๆของเขา สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกตกตะลึงมากกว่าคือก้อนไอศกรีมที่มันปลิวกระเด็นไปอยู่บนเสื้อของผู้ชายตรงหน้าฉันเนี่ยแหละ และพอก้มลงมองที่แก้วไอศกรีมในมือที่จะเอาไปเสิร์ฟให้ลูกค้าก็พบว่ามันหายไปไหนไม่รู้ ไม่ต้องเดาสินะว่ามันหายไปไหน “เอ่อ...ขอโทษนะคะ” ฉันหันขวับไปมองเขาอีกครั้ง แล้วรีบพูดด้วยเสียงตะกุกตะกักพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่อย่างประหม่า เพราะตอนนี้หน้าตาของคนตรงหน้าเหมือนกำลังอยากจะบีบคอฉันเลย “...” พูดอะไรบ้างสิ ไม่ใช่มายืนจ้องหน้าเหมือนจะฆ่ากันแบบนี้ ฉันก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันนะ “เดี๋ยวฉันเช็ดให้นะคะ...” ฉันรีบหันไปคว้าผ้าเช็ดโต๊ะที่วางอยู่ตรงเคาน์เตอร์คิดเงินมาเช็ดไอศกรีมที่เปื้อนอยู่บนเสื้อยืดตรงแผงอกกำยำของเขา พร้อมกับโกยก้อนไอศกรีมมาใส่ไว้ที่แก้วตามเดิมด้วยความรวดเร็ว เอาน่า เขาคงไม่รู้หรอกมั้งว่ามันเป็นผ้าเช็ดโต๊ะ มันก็เช็ดได้เหมือนกันนี่นา หมับ! “ไม่ต้อง” มือหนาของเขาจับมือฉันไว้แน่นทันที ฉันเงยหน้ามองด้วยความไม่เข้าใจ คนอุตส่าห์จะเช็ดให้ อะไรของเขา “ไอ้ครามใจเย็นมึง” เพื่อนของคนที่ชื่อคราม คนที่ฉันทำไอศกรีมกระเด็นใส่ตบบ่าเขาเอาไว้เบาๆ “ที่รถกูมีเสื้ออยู่ เดี๋ยวไปเอาให้” ผู้ชายอีกคนที่ท่าทางใจดีบอกคราม แล้วหันมายิ้มบางให้ฉัน จากนั้นก็เดินออกไปจากร้าน สงสัยจะไปเอาเสื้อที่รถยนต์ของตัวให้เพื่อนเขาตามที่บอกนั่นแหละ “มึงไปล้างตัวก่อนดีมั้ย” อีกคนที่หล่อไม่ต่างกัน แต่ท่าทางห่ามๆหันไปบอกครามแล้วเดินไปสั่งไอศกรีมกินเฉยเลย “เออ อะไรนักหนาวะ” ครามสบถออกมาเบาๆอย่างหงุดหงิด แต่ฉันที่ยืนอยู่ใกล้ๆเขาก็ได้ยินอยู่ดี “ไม่เป็นไรหรอกน่า เธอไม่ต้องคิดมากหรอกนะ” หลังจากที่ครามเดินไปเข้าห้องน้ำ อีกคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมทั้ง ๆ ที่เพื่อนเขาคนอื่น ๆ ก็ไปนั่งสั่งไอศกรีมกินกันหมดแล้วพูดขึ้นอย่างชิล ๆ เขาน่ะบอกว่าไม่เป็นไร แต่คนที่ชื่อครามท่าทางจะเป็นอยู่นะ ก็ดูจะหงุดหงิดฉันขนาดนั้น “ขอโทษจริง ๆ นะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ฉันบอกเขาอีกครั้ง ถึงคนที่โดนจะไม่อยู่ตรงนี้แต่บอกเพื่อนเขาไว้ก็ไม่เสียหายอะไร “ฉันรู้ ใครจะอยากโยนไอติมใส่คนอื่นล่ะจริงมั้ย” พูดจบเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะเดียวกับเพื่อนของเขาทันที วันนี้นอกจากอากาศจะร้อนสุดๆแล้ว มันยังเป็นวันซวยของฉันอีกหรือไงกันเนี่ย... “พักก่อนมั้ยแก” ครีมบอกฉันที่กำลังยื่นออเดอร์ให้พี่แทนคุณทำไอศกรีมตามเมนูที่ลูกค้าสั่ง ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ทำไมวันนี้มันดูเหนื่อยกว่าทุกวันได้ล่ะเนี่ย ไหนจะต้องมาคอยรู้สึกกดดันเพราะสายตาคมดุดันของครามที่เอาแต่จ้องฉันอย่างกับจะฆ่าแกงกัน ฉันแค่ทำไอศกรีมเปื้อนเสื้อเขานิดหน่อยเองนะ ให้ตายเถอะ “พักก่อนเถอะฟอง ใกล้จะปิดร้านแล้ว ลูกค้าไม่ค่อยมีแล้วด้วย” ฉันพยักหน้าให้ครีมกับพี่แทนคุณที่ส่งยิ้มบางมาให้ ทุกคนคงเห็นสภาพฉันแล้วเห็นใจสินะ เป็นใครโดนจ้องแถมยังส่งสายตากดดันมาให้แบบนั้นก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน นี่ดีนะที่พวกวงพอยซันอะไรนั่นกลับไปได้สักพักใหญ่ๆแล้วน่ะ ฉันถึงรู้สึกหายใจหายคอได้สะดวกหน่อย หลังจากเก็บร้านและเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว ฉันก็มายืนรอรถเมล์เพื่อกลับบ้าน ท้องฟ้าเริ่มมืดแต่ยังดีที่หายร้อนและอากาศเย็นกว่าตอนกลางวันมาก ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ วันนี้จะกินข้าวเย็นกับอะไรดีนะ หรือจะแวะซื้อของสดเข้าตู้เย็นไว้ดี แต่ของสดในตู้เย็นมันเหลืออะไรบ้างล่ะ เผื่อซื้อไปเยอะเกินเดี๋ยวก็หมดอายุก่อนอีก เสียดายเงินแย่เลย ฉันที่กำลังคิดคำนวณค่าใช้จ่ายเรื่องซื้อของใช้ภายในบ้านแล้วรถเมล์ก็มาถึงพอดี เลยรีบกระโดดขึ้นรถแล้วเลือกนั่งติดหน้าต่างรับลมเย็นๆที่พัดผ่านมากระทบผิวหน้า รู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย “ไฟไหม้!” ฉันที่เพิ่งก้าวขาลงจากรถเมล์เมื่อมาถึงหน้าปากซอยบ้านก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนของลุงที่กำลังวิ่งหอบกะละมังใส่น้ำไปอีกทางด้วยความรวดเร็ว เมื่อกี้ลุงแกตะโกนว่าอะไรนะ “ป้าๆ มีอะไรกันเหรอคะ” ฉันเดินไปถามป้าอีกคนที่เดินถือขันใส่น้ำตามไปทางเดียวกันกับลุงคนเมื่อกี้อย่างรีบร้อน ฉันพอจะคุ้นหน้าคุ้นตาลุงกับป้าทั้งสองคนนี้เหมือนกัน เพราะอยู่บ้านซอยเดียวกันน่ะ แต่ไม่ได้สนิทสนมถึงขั้นรู้จักชื่อเท่านั้นเอง “ไฟไหม้น่ะสิหนู บ้านตรงสุดซอยน่ะ ไฟไหม้!” พูดจบป้าแกก็รีบวิ่งถือขันใส่น้ำไปทางสุดซอยทันที ฉันนิ่งคิดสักพัก แล้วหัวใจก็เต้นรัวด้วยความตื่นตกใจ เมื่อคิดขึ้นได้ว่าบ้านสุดซอยมันก็มีบ้านฉันหลังเดียวน่ะสิ ขาทั้งสองข้างวิ่งไปก่อนที่สมองจะคิดได้ด้วยซ้ำ “หนูฟอง!!” ป้าจุ๋มที่อยู่ข้างบ้านฉันวิ่งมาหาด้วยสีหน้าตื่นตกใจไม่ต่างจากฉันเท่าไร ฉันหันไปพูดกับป้าจุ๋มด้วยเสียงที่สั่นจนควบคุมไม่ได้ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเลย ให้ตายสิ มือทั้งสองข้างก็สั่นไปหมด “ปะ...ป้าจุ๋มคะ บ้านฟอง...” ป้าจุ๋มยกมือขึ้นลูบแขนฉันไปมาอย่างปลอบโยน เพราะตอนนี้สมองฉันคิดอะไรไม่ออก เนื้อตัวสั่นไปหมด ได้แต่ยืนมองสภาพบ้านตัวเองที่ชั้นสองโดนไฟไหม้ไปเกือบครึ่งหลัง มันเกิดขึ้นได้ยังไงน่ะ “ใจเย็นๆนะหนูฟอง รถดับเพลิงมาแล้วนั่นไง ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไร” ฉันหันไปมองทางรถดับเพลิงที่ขับมาจอดใกล้ๆ คนในซอยต่างมาช่วยกันสาดน้ำเพื่อดับไฟสีส้มที่กำลังลุกโชนเผาบ้านไม้ชั้นสองของฉัน หัวใจฉันกระตุกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันทีที่ภาพของแม่ฉายเข้ามาในหัว บ้านหลังนี้เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่แม่ทิ้งไว้ให้ฉัน มันเป็นบ้านที่แสนอบอุ่นและมีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับแม่ รูปถ่ายของแม่ที่ยิ้มแย้มสดใสให้ฉันทุกวันยังอยู่ในนั้นอยู่เลย ไม่นะ!! “รูปแม่...” เร็วกว่าความคิดก็ขาทั้งสองข้างของฉันที่วิ่งไปในตัวบ้านด้วยความรวดเร็ว ป้าจุ๋มดูจะตกใจกับการกระทำของฉันจนไม่ทันได้จับตัวไว้ได้ทัน “หนูฟอง อย่าเข้าไปลูก!” ฉันได้ยินป้าจุ๋มตะโกนเรียกตามหลังแต่ฉันก็ไม่สนใจ รีบวิ่งเข้าไปเปิดประตูบ้านแล้วมองหารูปแม่ที่อยู่ชั้นล่างตรงชั้นแถวหน้าทีวีด้วยความรวดเร็ว ยังดีหน่อยที่ไฟยังไม่ลามมาที่ชั้นล่างตรงส่วนนี้ “แค่ก ๆ ๆ…แม่” ฉันรีบวิ่งเข้าไปหยิบรูปแม่มากอดเอาไว้แน่นทันที ถึงไฟจะไม่ลามมาถึงตรงนี้แต่ควันก็เยอะจนฉันสำลักและไอไม่หยุด พอหยิบรูปแม่มาได้ฉันก็รีบหันหลังวิ่งออกมาจากตัวบ้านด้วยความรวดเร็ว ป้าจุ๋มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันทีที่เห็นว่าฉันออกมาอย่างปลอดภัย จะมีก็แต่เนื้อตัวที่เปื้อนเล็กน้อยจากควันไฟและข้อมือที่เผลอไปโดนขอบชั้นขูดเป็นแผลเล็กน้อยเท่านั้น ฉันยืนกอดรูปแม่มองบ้านของตัวเองที่ตอนนี้ไฟมอดลงไปเกือบหมด สาเหตุที่ไฟไหมเกินจากไฟฟ้าลัดวงจรที่ชั้นสองแล้วเกิดระเบิดขึ้น ทุกคนที่เข้ามาช่วยดับไฟต่างแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเองไปหมดแล้ว ฉันขอบคุณทุกคนที่มีน้ำใจมาช่วยเหลือ ลุงๆ ป้าๆ ก็ส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยน ทุกคนให้กำลังใจฉันและปลอบใจกันยกใหญ่ ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กกับแม่แค่สองคน ทุกคนรู้จักแม่ของฉันและเอ็นดูฉันเหมือนกัน เพราะแม่เข้ากับคนอื่นง่าย คุยสนุก ตลก ไปไหนก็ซื้อของฝากมาแบ่งเพื่อนบ้านตลอดจนฉันเองก็ทำตามไปด้วย หลังจากที่แม่เสีย เวลาฉันไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนหรือไปกับทางมหาวิทยาลัยก็จะซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากคนรู้จักที่ซอยนี้เหมือนกัน “หนูฟองมาอยู่บ้านป้าก่อนก็ได้นะ ยังไงหนูก็เหมือนลูกเหมือนหลานป้าคนหนึ่ง” ป้าจุ๋มหันมาบอกฉันพร้อมกับรอยยิ้มใจดี ฉันยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองของตัวเองแล้วยิ้มบางกลับไปให้ป้าจุ๋ม “ไม่เป็นไรค่ะป้า เดี๋ยวฟองไปอยู่กับเพื่อนก่อนค่ะ” ฉันไม่อยากไปรบกวนป้าจุ๋มมากเท่าไร เพราะรู้ว่าที่บ้านของป้าก็มีลูกหลานอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ถ้าฉันไปอยู่อีกคนก็จะลำบากกันไปเปล่าๆ “หนูแน่ใจนะ” ป้าจุ๋มถามฉันเพื่อความแน่ใจอีกครั้งด้วยสีหน้าเป็นห่วง ฉันเลยพยักหน้ากลับไปเบาๆ แล้งส่งยิ้มบางอีกครั้ง “ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะป้าจุ๋ม ขอบคุณมากนะคะที่เอ็นดูฟอง” ป้าจุ๋มลูบแขนฉันไปมาอย่างปลอบโยนอีกครั้ง และชวนฉันไปกินข้าวที่บ้านก่อนแล้วค่อยไปหาเพื่อน แต่ฉันก็บอกว่าไม่เป็นไรเพราะรู้สึกเกรงใจ ป้าจุ๋มช่วยฉันมาเยอะแล้วนี่นา หลังจากบอกลาป้าจุ๋มฉันก็เดินออกไปหน้าปากซอยเพื่อไปรอรถเมล์อีกครั้ง แขนทั้งสองข้างยังคงกอดรูปแม่เอาไว้แน่น มันอยากจะร้องไห้ออกมาแต่ก็รู้สึกจุกจนร้องไม่ออก ถึงเรื่องไฟไหม้บ้านที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องที่ฉันตกใจและคาดไม่ถึงว่าจะเกิดกับตัวเองก็ตาม แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันฉันถึงไม่ร้องไห้ฟูมฟายมากมายนัก ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะเป็นลมโดนหามส่งโรงพยาบาลไปแล้วก็ได้ถ้าโดนไฟไหม้บ้านแบบนี้ “เฮ้อ” ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วขึ้นรถเมล์ทันทีที่รถมาจอด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถเมล์สายไหนและมันจะไปที่ไหน ในหัวฉันตอนนี้รู้สึกว่างเปล่าไปหมด ที่ฉันบอกป้าจุ๋มว่าจะไปอยู่บ้านเพื่อน ตอนแรกก็จะไปหาครีม แต่ระหว่างรอรถเมล์ฉันก็คิดได้ว่าครอบครัวครีมมันก็อยู่ที่อพาร์ทเมนต์ แล้วครอบครัวมันก็มีน้องอีกตั้งสองคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น ฉันจะไปทำให้มันลำบากเดือดร้อนกับเรื่องของฉันอีกหรือไงกัน ฉันไม่อยากไปรบกวนใครเท่าไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง ฉันผ่านมันไปได้น่า ฉันลงจากรถเมล์เพราะเห็นว่ามีมินิมาร์ทพอดี แล้วก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ไหน ยังดีที่ไปล้างหน้าล้างตาที่บ้านป้าจุ๋มก่อนออกมาเนื้อตัวเลยดูสะอาดขึ้นมาหน่อย “ยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงพนักงานประจำมินิมาร์ทดังขึ้นอย่างสดใส ฉันเลยส่งยิ้มบางกลับไปให้เธอเล็กน้อย แล้วเดินไปดูนมกับขนมปัง ยังดีที่ฉันมีกระเป๋าตังอยู่กับตัว รูปแม่ก็เอาใส่กระเป๋าเป้ไว้แล้วเรียบร้อย ที่บ้านก็ไม่มีของมีค่าอะไรมากมายแถมฉันยังล็อคประตูหน้าบ้านไว้แล้วด้วย ถึงข้างบนจะโดนไฟไหม้ไปบางส่วนก็ตาม เอาเถอะ ตอนนี้ก็พอมีเงินอยู่ ไปหาเช่าห้องพักถูกๆ แล้วค่อยเก็บเงินซ่อมบ้านก็ได้ อาจจะใช้เวลานานสักปีหรือสองปีกว่าจะเก็บเงินได้น่ะนะ เพราะดูจากสภาพแล้วน่าจะได้ซ่อมทั้งหลัง ให้ตายเถอะ “อ้าวเธอ” ฉันที่กำลังนั่งอยู่ที่เหล็กกั้นหน้ามินิมาร์ท และกำลังเคี้ยวขนมปังพร้อมกับถือนมอีกหนึ่งกล่องต้องเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียงทุ้มที่ดังอยู่ไม่ไกล นั่นมันสมาชิกจากวงพอยซันยาพิษอะไรนั่นหนิ เขาเรียกใครเหรอ ฉันหันซ้ายหันขวามองรอบตัวเองก็ไม่เห็นจะมีใครอยู่แถวนี้สักคน “ไอ้ตินห์มันเรียกเธอนั่นแหละ” ผู้ชายอีกคนที่เดินมากับคนที่ชื่อติณห์พูดขึ้นยิ้มๆ จะว่าไปเขาทั้งสองคนนี่ก็หน้าตาดีเกินไปจริง ๆ เหมือนมันมีออร่าอะไรบางอย่างออกมาจนแทบจะแสบตาได้ “นายเรียกฉันเหรอ” ฉันชี้หน้าตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย “ก็ใช่น่ะสิ ตรงนี้ก็มีเธออยู่คนเดียวหนิ” ติณห์พูดยิ้มๆแล้วหัวเราะออกมาเบาๆอีกครั้ง “ทำไมมาอยู่คนเดียวมืดค่ำแบบนี้ล่ะ บ้านเธออยู่แถวนี้เหรอ” แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องมาถามฉันด้วยล่ะ ถ้าครีมมันไม่บอกว่าเป็นสมาชิกวงดนตรีดังในผับ ฉันคงคิดว่าพวกเขาสองคนจะหลอกถามฉันไปขายแล้วนะเนี่ย แต่มาคิดดูอีกทีสองคนนี้หน้าตาดีขนาดนี้ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงแถมยังมีชื่อเสียงคงไม่มาถามฉันเพื่อหลอกอะไรหรอกน่า ถึงฉันจะไม่รู้จักเกี่ยวกับวงดนตรีของพวกเขาเลยก็ตาม “เฮ้ย ไอ้ซันมันถามเธออยู่นะ” มือหนาของติณห์โบกผ่านหน้าฉันไปมาเพื่อเรียกสติที่กำลังฟุ้งซ่าน ฉันกะพริบตาปริบๆแล้วหันไปมองพวกเขาสองคนด้วยสีหน้าสงสัยอีกครั้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD