📚“ 9 ” ૈ◝✿
เช้าวันศุกร์ หนึ่งวันก่อน “เกมเชิญแขก” ลานหน้าอาคารกีฬาจากเงียบ ๆ เริ่มคึกคักเหมือนเปิดเสียงขึ้นทีละขีด
พิมมาก่อนเก้าโมงครึ่งตามนัด ใส่เสื้อยืดสีครีมตัวเดิม ผูกผมหางม้าเรียบร้อย สะพายถุงผ้าใบหนา ข้างในมีแบตสำรองสองก้อน เทปกระดาษ เทปผ้า และผ้าไมโครไฟเบอร์ที่พับเก็บไว้
เธอผลักประตูยิมเข้าไป กลิ่นพื้นไม้ น้ำยาทำความสะอาด และเทปกาวลอยผสมกัน โต๊ะเทคนิคถูกเลื่อนไปชิดผนัง เวทีกลางคอร์ตกำลังประกอบขาตั้ง กันต์กับพี่จอมยืนถกตำแหน่งสปอตไลต์ ส่วนธันวากำลังก้มจัดกล่องอุปกรณ์หลังเวที
“สวัสดีค่ะ” พิมยกมือทัก แล้วเห็นเสาสแตนด์ไฟสองต้นล้มข้างกันเหมือนโดนสะดุด สายไฟกระจายเต็มพื้นเหมือนเส้นพาสต้า
“โอ๊ย!” เธอรีบวางถุง ก้มลงเก็บทันที “ขอโทษที่ช้า หนูเพิ่งเห็นว่ามันล้ม”
ธันวาเงยหน้าขึ้นจากกล่องอุปกรณ์พอดี มองแวบหนึ่งก่อนพูดสั้น ๆ แบบไม่ตำหนิ
“จับปลายเสาให้ตรง เดี๋ยวผมขัน”
“ค่ะ!” พิมรีบยกเสา พยายามตั้งให้ตรงกับพื้น แขนเกร็งจนเสาอีกต้นที่ยังล้มอยู่เกือบชนขา
ธันวาคุกเข่าลง ใช้ประแจหมุนอย่างคล่อง “อีกนิด…หยุด—โอเค” เขาลองโยก เสานิ่ง “ดี”
พิมถอนหายใจโล่ง เริ่มเก็บสายพ่วงที่กระจาย หยิบทีละเส้น ม้วนเป็นเลขแปด รัดตีนตุ๊กแกเหมือนที่ฝึก “เมื่อเช้ามีใครสะดุดเหรอคะ”
“ลมพัด ผ้าฉากดึง” ธันวาตอบขณะยกเสาอีกต้นขึ้น “ล็อกพื้นสองขา อย่าให้รับข้างเดียว”
“รับทราบค่ะ” พิมหยิบเทปผ้ามาตอกเสริมกับเทปกระดาษตามที่เขาสอน เมื่อจะลุก เหลือบเห็นกล่อง “สแตฟต์คิท” ที่เธอแพ็คไว้ สองกล่องฝาเปิด ของข้างในเลื่อนออกมา
เธอรีบขยับไปหา “โทษทีค่ะ ของหลุด เดี๋ยวหนูจัดใหม่”
ธันวานั่งลงข้าง ๆ กล่อง เขาไม่ได้พูดว่า “อย่าแตะ เดี๋ยวผมทำ” แต่เพียงพับแขนเสื้อขึ้น หยิบของออกทีละชิ้นแล้วจัดเรียงให้ดูเงียบ ๆ
“หลักคืออะไรทราบมั้ย” เขาถามในที่สุด
พิมส่ายหน้า “ให้หยิบง่าย…แต่หนูยังไม่รู้ว่าต้องจัดแบบไหนถึงจะง่ายสุด”
เขาพยักหน้าเหมือนพอใจกับคำตอบ “จัดตามลำดับการใช้งาน”
เขาหยิบเทปผ้าวางซ้ายสุด “นี่ใช้ก่อน—ตอกสาย”
ต่อด้วยเทปกระดาษ “พื้นไม้ ต้องรองชั้นแรก”
แล้วยางรัดสายไว้ขวาสุด “เก็บงาน—จบ”
ของเล็กอย่างปากกาเคมี เขาเสียบไว้ตรงฝาด้านใน หัวปากกาหันออก “จะได้หยิบง่าย”
ผ้าไมโครไฟเบอร์วางตรงกลางด้านบน “อะไหล่เช็ดทุกอย่าง”
ทุกชิ้นเหมือนมีเหตุผลในที่ของมัน เขาขยับไปจัดอีกกล่อง เร็วขึ้นแต่ยังเป๊ะ
“ของคล้ายกันวางชิดกัน” เขาชี้ “อย่ากระจาย เวลาใครมาหยิบ เขาคิดเป็นก้อน ไม่ได้อยากค้นแบบเล่นจับผิดภาพ”
พิมพยักหน้าทันที “ค่ะ”
“อีกอย่าง หันฉลากออกด้านเดียว” เขาแปะสติ๊กเกอร์เล็ก ๆ ที่ปลาย “เปิดฝาก็อ่านได้ ไม่ต้องหมุนหา”
เสียงเขานิ่ง ๆ แต่ฟังเหมือนครูสอนงานมากกว่าหัวหน้าดุ
พิมถาม “ถ้าเร่ง ๆ แล้วทำช้าไปจะเสียเวลาไหมคะ”
ธันวาหยุดนิด “เสียเวลาตอนนี้ ดีกว่าเสียเวลาทุกครั้งที่หา”
เขาวางเทปเส้นสุดท้ายแล้วมองเธอตรง ๆ “งานหลังบ้าน จัดดี คนหน้าเวทีไม่รู้สึก แต่ถ้าจัดแย่ ทุกคนรู้สึกทันที”
คำนี้แทงเข้ากลางใจพิม เธอเผลอยิ้ม “เหมือนงานออกแบบเลยค่ะ ดีแล้วไม่เด่น แต่ชีวิตคนใช้มันง่ายขึ้นเงียบ ๆ”
“เรียนสถาปัตย์ใช่ไหม” เขาถามสั้น ๆ
“ค่ะ ปีหนึ่งสถาปัตย์”
“ทำไมเลือก”
คำถามห้วน ๆ แต่ทำเอานิ้วพิมอุ่น เธอวางกล่องลง ตอบตรง ๆ “หนูชอบ ‘เส้น’ กับ ‘ช่องว่าง’ ค่ะ…ฟังดูเว่อร์มั้ยคะ”
เขาส่ายหน้าเบา ๆ “ต่อ”
“ตอนมัธยม หนูชอบวาดแปลนบ้านเล่น วาดทื่อ ๆ เป็นกล่อง ๆ แต่คิดว่าแสงบ่ายจะเดินเข้าหน้าต่างยังไงบนพื้น ชอบดูแม่จัดครัวแบบพอดีมือ หม้อใบนี้อยู่ซ้ายเพราะแม่ถนัดซ้าย…แล้วทุกอย่าง ‘ลื่น’ โดยที่ไม่มีใครชมว่าจัดสวย”
พิมพูดไปก็ยิ้มตาเป็นประกาย รู้ตัวว่าพูดยาวกว่าปกติ
ธันวาฟังเงียบ ๆ ไม่พยักพร่ำเพรื่อ ไม่ขัดจังหวะ แค่มองเหมือนกำลังดูการสาธิตอยู่จริง ๆ
“อีกอย่าง…หนูซุ่มซ่ามค่ะ” พิมหัวเราะนิด “เลยรู้สึกว่าระบบช่วยได้ ถ้าอะไรอยู่ที่เดิม ต่อให้ซุ่มซ่ามก็ยังหาทางกลับได้”
“เลยชอบจัดของ” เขาสรุปให้
“ใช่ค่ะ ชอบมาก แต่ยังไม่เก่ง” พิมชี้กล่อง “เลยดีใจที่พี่สอน เรื่องเล็ก ๆ อย่างหันฉลากออก มันทำให้ชัดขึ้น”
ธันวาเงียบไปนิด ก่อนพยักหน้า “อืม”
พิมไม่แน่ใจว่า “อืม” หมายถึงเข้าใจ โอเค หรือแค่รับฟัง แต่เสียงนั้นหนักแน่นเหมือนเขา “รับรู้” จริง ๆ
กันต์ลากพาเลตสติ๊กเกอร์เข้ามาพอดี โวยเสียงดัง “โอ้โห จัดคิทเป็นโชว์รูมแล้ว! เฮ้ เสาล้มเมื่อกี้ใครตั้ง”
“เรา” ธันวาตอบเรียบ ๆ แค่บอกข้อเท็จจริง
“โอเค จบข่าว” กันต์หัวเราะ หันมาหาพิม “งั้นน้องพิมได้ตำแหน่ง ‘ฝ่ายฉลากหันหน้า’ ไปเลย ดีมั้ย”
พิมหัวเราะ “ชื่อฝ่ายสนุกดีค่ะ”
“ทำงานหลังบ้านต้องมีมุกบ้าง ไม่งั้นล้า” กันต์ผิวปาก “เดี๋ยวพี่ไปไล่เทปผ้าต่อ”
ธันวาลุกหยิบแฟ้มงานขึ้นมา พิมยกกล่องสแตฟต์คิทไปวางซ้อนบนโต๊ะเทคนิค หันกลับมาเผลอไปโดนกองสายไมค์ เส้นหนึ่งหลุดจากยางรัด ลากเพื่อน ๆ ออกมาเป็นพรวน
“อุ๊ย ๆ ขอโทษค่ะ!” พิมรีบก้มเก็บ สายลื่นจนควบคุมยาก
“ใจเย็น” เสียงทุ้มดังข้าง ๆ ธันวาก้มมาด้วย จับปลายสายไว้ “จับปลายเดิมก่อน แล้วค่อยยกทั้งก้อน”
พิมทำตาม สายหยุดดิ้นทันที
“ใช่” เขาปล่อยมือให้เธอลองเอง “จำปลายแรกไว้ ทุกอย่างมีจุดเริ่ม ถ้าคุมจุดเริ่มได้ สายไม่เลื้อย”
คำพูดสั้น ๆ แต่คมจนพิมอยากจดลงฝ่ามือ เธอสบตาเขาแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “ค่ะ…จุดเริ่ม”
เขามองเธออยู่สองวินาทีเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่กันต์ก็โผล่หัวมาพร้อมโทรโข่ง “เทสต์ไฟ! หนึ่งสองสาม แสงมา…เฮ้ย แรงไป!” แล้วหัวเราะคิก เสียงคนรอบ ๆ ก็หัวเราะตาม
ช่วงสาย งานเล็ก ๆ ต่อกันเป็นสายยาว—แปะป้ายทางเข้า วางสติ๊กเกอร์จุดยืนทีมเยือน เช็กที่นั่งอาจารย์ พิมเดินวนระหว่างโต๊ะเทคนิคกับทางเข้า หยิบเทปบ้าง พับแผงผ้าบ้าง เธอเริ่มจับจุดเองได้ เช่น ขอบผ้าไวนิลลอยก็ตรึงด้วยเทปกระดาษก่อน แล้วทับด้วยเทปผ้าแบบที่ธันวาสอน
เที่ยง กลิ่นแกงเขียวหวานกับไข่ดาวลอยมา ทีมงานแยกย้ายหยิบข้าวกล่องกัน พิมนั่งริมอัฒจันทร์เตี้ย ๆ ข้างโต๊ะเทคนิค กินเงียบ ๆ มองสนามที่เปิดไฟครึ่งหนึ่งแล้วรู้สึกพอใจแปลก ๆ
ธันวาเดินผ่านมาพร้อมขวดน้ำกับข้าวกล่อง เขาหยุดนิดหนึ่ง “นี่ของคุณ”
พิมเงยหน้า “ของหนูเหรอคะ”
“อืม” เขาวางกล่องแกงเขียวหวานลงข้าง ๆ “กันต์บอกลืมหยิบ”
“ขอบคุณค่ะ” พิมรับแล้วยกมือไหว้แบบเผลอ ๆ ก่อนหัวเราะตัวเอง “*หลือมารยาทแบบเดิม”
เขานั่งลงห่างออกไป ไม่ติดแต่ก็ไม่ไกล “เหนื่อยไหม”
“กำลังดีค่ะ” พิมตักคำเล็ก ๆ “รู้สึกมือคล่องขึ้นเยอะ น่าจะเพราะได้ฝึกตลอด”
ธันวาครางรับเบา ๆ “อืม”
เงียบไปพักหนึ่ง แต่ไม่อึดอัด พิมกินไปสองคำก่อนถาม “พี่ธันวาเรียนสาขาอะไรคะ วิศวะไฟฟ้า? ยานยนต์? หรือซอฟต์แวร์?”
“เครื่องกล” เขาตอบสั้น ๆ
“อ๋อ…เลยถนัดหาจุดเริ่มของสายทุกเส้น” เธอแหย่นิด ๆ
มุมปากเขาขยับเล็กน้อยเหมือนยอมรับมุก ก่อนถามกลับ “เหตุผลที่เลือก?”
“พี่ถามหนูแล้ว ขอถามคืนบ้าง”
เขาไม่เลี่ยง “ชอบทำให้ของทำงาน ชอบรู้ว่าชิ้นไหนรับแรง ชิ้นไหนพัก ตอนมันประกอบกันแล้วเงียบ แปลว่าถูก”
พิมยิ้ม “คำว่า ‘เงียบแปลว่าถูก’ ดีจังค่ะ”
เขาเหลือบตามามอง “เหมือนงานหลังบ้าน”
“ใช่ค่ะ” เธอรีบพยักหน้า “หน้าเวทีดังได้ แต่หลังบ้านต้องเงียบ แปลว่าทุกอย่างเดิน”
เขาไม่พูดต่อ แต่ก็นั่งฟังไม่ละสายตา ไม่เช็กมือถือ ไม่กดนาฬิกา แค่ “อยู่” ตรงนั้น ทำให้พิมรู้สึกเหมือนเป็นของขวัญ
เธอเลยเล่าต่อ “จริง ๆ ตอน ม.ปลาย หนูเกือบเลือกนิเทศ ชอบเล่าเรื่อง ทำโปสเตอร์ จัดบอร์ด แต่คิดไปคิดมา สิ่งที่อยากทำจริง ๆ คือพื้นที่ที่ทำให้คนใช้ชีวิตง่ายขึ้น จะเป็นบ้าน ห้องเรียน หรือ…สนามยิมก็ได้” เธอหัวเราะ ยกเทปกระดาษในมือ “เลยเลือกสถาปัตย์ แต่ก็ยังชอบงานโปรดักชัน เลยชอบงานหลังบ้านแบบนี้”
เขายังคงฟังเงียบ ๆ
พิมยิ้มบาง “บางทีก็กลัวค่ะ เป็นคนซุ่มซ่ามแล้วจะอยู่ในโลกที่ต้องเนียนได้ไหม แต่พอทำมากขึ้น เหมือนร่างกายจำได้เองว่าตอนไหนต้องช้า ตอนไหนต้องเร็ว”
“ร่างกายเรียนรู้” เขาพูดสั้น ๆ
“ค่ะ” เธอทวนตาม “ร่างกายเรียนรู้…”
เสียงกันต์ตะโกนจากอีกฟาก “โว้ย ใครกินไก่ทอดเหลือแต่หนัง บาปนะ!” ทำเอายิมหัวเราะกันทั้งแถบ ธันวาลุกขึ้นอมยิ้มบาง ๆ “กินเสร็จแล้วเช็กไฟอีกที”
“ค่ะ!” พิมตอบเสียงดัง
บ่ายงานเดินตามแผน สติ๊กเกอร์สปอนเซอร์ติดครบ ขาตั้งเวทีแน่น ไมค์ลอยสองตัวแยกความถี่แล้ว พิมเช็กทางเดินที่เทปไว้ ขยับยางกันลื่นตรงมุมให้แน่น
กำลังจะเก็บเทป เห็นน้อง ม.ปลายสองสามคนแอบมาดูสนาม เธอเลยยิ้มทัก “พรุ่งนี้เจอกันนะ ระวังพื้นตรงนี้นิดนึง พี่ยังติดเทปไม่เสร็จ” เด็ก ๆ ยกมือไหว้แล้วเดินต่ออย่างตั้งใจไม่เหยียบสาย พิมแอบยิ้มภูมิใจ
“พร้อมกี่เปอร์เซ็นต์” เสียงเรียบดังข้างหลัง ธันวายืนกอดแฟ้ม
“แปดสิบห้าค่ะ เหลือไฟหน้าเวทีกับแถบเรืองแสงทางหนีไฟ”
เขาพยักหน้า “ดี” แล้วถามต่อ “เมื่อกี้บอกว่าเกือบเลือกนิเทศ ทำไมไม่เลือก”
พิมยิ้ม “กลัวพูดเก่งแล้วลืมฟังค่ะ อีกอย่าง หนูชอบอยู่ข้างหลังแล้วเห็นงานเดิน ถึงไม่มีใครเห็นก็โอเค”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนพูดสั้น ๆ “ตั้งใจดี”
น้ำเสียงนั้นหนักแน่นเหมือนประทับลงในใจเธอ พิมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนมุมปากยกขึ้นเอง หัวใจเต้นแรงสามจังหวะติด เธอยกมือแตะปากกันยิ้ม แล้วเผลอหัวเราะเบา ๆ
“ตั้งใจดี…” เธอพึมพำซ้ำ แล้วกลับไปที่โต๊ะเทคนิค เขียนโน้ตเล็ก ๆ ลงเช็กลิสต์
• จัดตามลำดับใช้งาน
• หันฉลากออก
• จำจุดเริ่ม
จากนั้นหยิบสมุดกฎ เปิดหน้าสุดท้าย เติมบันทึกเพิ่มใต้หัวใจสองดวงจากเมื่อวาน
💗 เขาจำชื่อเราแล้ว (7)
💗 เขาบอกให้มาก่อนเวลา (8)
💗 วันนี้ — ตั้งใจดี (9)
บ่ายนั้นเธอยิ้มกับทุกอย่าง ยิ้มกับเทปที่ติดตรง ยิ้มกับสายไฟที่ไม่พันกัน ยิ้มกับกล่องที่เรียงฉลากออก ยิ้มกับร่างกายที่เริ่มทำงานเองโดยไม่ต้องคิด กันต์เดินผ่านก็ร้องเพลง “คนมีความรัก” แกล้งเธอ แต่พิมก็ยังยิ้ม
เพราะวันนี้เธอได้คุยนานกว่าเดิม ได้เล่าเหตุผลที่เลือกคณะ ได้ฟังเหตุผลที่เขาเลือก และสุดท้ายได้คำสองคำที่เหมือนตราประทับลงใจ
ตอนแสงเย็นส่องยิม พิมเก็บของรอบสุดท้าย ล็อกกล่องคิทให้แน่น มองสนามเงียบ ๆ ที่พร้อมใช้งาน เธอยกถุงผ้า พยักหน้ากับตัวเองเหมือนโค้งเคารพเวที
พรุ่งนี้…เธอจะมาก่อนเวลาอีก จะจับ “จุดเริ่ม” ให้มั่น จะถามเมื่อไม่ชัวร์ จะจัดของให้หยิบง่าย จะเงียบพอให้หน้าเวทีดัง และถ้าโชคดี อาจได้ยินอีกสั้น ๆ ว่า
“ดี”
หรือแค่เขาเดินผ่านแล้วพยักหน้า
เธอก็ยิ้มได้ทั้งวันแล้ว.
❀˚˟.‧*✿˚˟.‧*❀˚˟.‧*✿˚˟.‧*❀