พลับพลึงคะนึงรัก 1
"พลับพลึง ฝากทำความสะอาดห้องหน่อยนะ ขอแบบสะอาด ๆ เลย"
ร่างสูงของพ่อหนุ่มแสนเสเพล คุณชายคนเล็กแห่งบ้านหิรันณุกุลเอ่ยกับเด็กรับใช้ในบ้าน ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลตัวเองและพี่ชายโดยเฉพาะ คุณเกื้อฝากให้พลับพลึงทำความสะอาดห้องของตน ก่อนจะเดินออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ และขึ้นรถหรูเปิดประทุน เพื่อออกสังสรรค์ท่องราตรีตามประสาชายหนุ่มผู้มีเสน่ห์เหลือล้นอย่างทุกที
พลับพลึงได้แต่ยิ้มรับ และมองชายหนุ่มที่ตนแอบรักมานานเดินจากออกไป เธอรู้ได้ทันทีว่าวันนี้อีกฝ่ายคงคิดจะพาใครสักคนมานอนที่ที่บ้าน เพราะปกติแล้วคุณเกื้อมักจะทำเช่นนั้น ยิ่งในสัปดาห์นี้คุณท่านและคุณนายไม่อยู่บ้าน เนื่องจากท่านทั้งสองต้องบินไปดูงานต่างประเทศทั้งสัปดาห์ จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ชายหนุ่มจะพาใครสักคนมานอนกอดด้วย
แม้พลับพลึงจะชอบคุณเกื้อ แต่กระนั้นเธอก็รู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนที่คู่ควร เธอเป็นเพียงลูกคนขับรถของบ้านหลังนี้ ต้องทำงานแลกที่ซุกหัวนอน อีกทั้งคุณท่านและคุณหญิงก็เมตตาส่งเสียให้พลับพลึงได้ร่ำเรียนจนจบมัธยมปลาย ไหนจะช่วยออกค่าเทอมเรียนมหาวิทยาลัยอีก มันจึงเป็นการไม่เหมาะสม หากพลับพลึงคิดอาจเอื้อม ฝันถึงการเป็นภรรยาของคุณเกื้อ อีกทั้งคนที่คุณเกื้อสนใจ ส่วนมากเป็นคนมีชื่อเสียงหรือลูกหลานผู้ดีมีตระกูลเหมือนกัน เช่นนั้นแล้ว จะมาสนใจลูกคนงานในบ้านตัวเองที่แม้แต่หัวนอนปลายเท้าก็ไม่มีอย่างพลับพลึงหรือ
เพราะเธอรู้ดีว่า ตัวเองไม่มีสิ่งใดคู่ควรกับคุณเกื้อเลย จึงได้แต่แอบมองอยู่ห่าง ๆ และพยายามทำทุกทางที่จะดูแลคุณเกื้อและคุณเกล้าให้ดีที่สุด อย่างที่คุณท่าน คุณนายไว้ใจมอบหมายหน้าที่นี้ให้เธอ
"สงสัยคุณเกื้อจะพาหนุ่มน้อยไม่ก็สาวสวยมาด้วยอีกละสิ อยากรู้จริงว่าคราวนี้จะเป็นดาราหนังหรือลูกหลานผู้ดีคนไหนอีก"
พิมพ์กาน สาวใช้ในบ้านที่เป็นลูกหลานคนงานเหมือนพลับพลึงกล่าว เมื่อเห็นคุณชายคนเล็กของบ้านแต่งหล่อพรมน้ำหอมกลิ่นฉุนออกจากบ้านอีกแล้ว
"จะเป็นใครก็ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง!! เข้าใจไหมนังพิมพ์"
ป้าแจ่ม แม่บ้านคนเก่าคนแก่ติเตือนหญิงสาว เพราะกลัวว่าจะมีคนปากหอยปากปูเอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณหญิงเข้า แล้วจะซวยกันเอาได้
"แหม ฉันก็แค่อยากรู้เฉย ๆ อย่างไรเล่าป้า แต่ละคนที่คุณเกื้อพาเข้าบ้านมานะ เป็นดาราหนังไม่ก็ลูกผู้ดีทั้งนั้น แต่ละคนหน้าตาดีแถมเห็นตามหน้าข่าวทุกวัน ก็เลยอยากรู้ว่าจะพาคนเดิมมาอีกไหม แค่นั้นเอง"
"รู้โว้ย แต่มันเป็นเรื่องของเจ้านาย ถ้ารู้ว่าแกขี้สงสัยขนาดนี้เดี๋ยวก็โดนไล่ออกหรอก"
"ป้าอย่าว่าให้พี่พิมพ์นักเลยค่ะ พี่พิมพ์ก็แค่ชอบมองคนสวย ๆ แต่ไม่เอาไปพูดให้ใครฟังอย่างแน่นอน"
"ใช่ ๆ น้องพลับพูดถูก ฉันไม่เอาไปโพนทะนาให้ใครฟังแน่นอนจ๊ะ"
"เอาเถอะ ๆ รีบทำงานเข้า เดี๋ยวคุณเกื้อท่านกลับมาแล้วจะไม่ทัน"
ทั้งพลับพลึงและพี่สาวพิมพ์กานต่างหัวเราะให้กัน ก่อนจะตั้งใจทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี เพื่อให้ห้องนอนของคุณเกื้อเสร็จทันก่อนมื้อเย็นจะมาถึง เพราะเธอมีหน้าที่ ที่ต้องไปจัดการเรื่องอาหารให้คุณเกล้าอีกด้วย
เวลาตีสอง ในบ้านหลังใหญ่ช่างเงียบสงบเหมือนอย่างเคย พลับพลึงยังคงนั่งรอชายหนุ่มลูกชายคนเล็กของเจ้าของบ้าน เพื่อรอปิดประตูและดูแลตามปกติ แต่รอจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววของเจ้านายกลับบ้านมาเสียที
หากจะว่าเคยชินก็ใช่ แต่กระนั้นพลับพลึงก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร เพราะในระหว่างที่รอ เธอก็นำงานที่ต้องส่งอาจารย์ขึ้นมาทำระหว่างรอคุณเกื้อกลับบ้านได้ ในเวลานี้นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีและเงียบสงบที่สุดแล้ว เพราะบ้านหิรันณุกุลแม้มีเจ้าบ้านเพียงสี่คน แต่ก็มีคนงานมากมาย ทั้งคนครัว คนสวน แม่บ้าน ในเวลากลางวันจึงเป็นช่วงเวลาอึกทึกครึกโครมจนพลับพลึงเองก็ไม่มีสมาธิทำงานในช่วงเวลานั้น
ตอนนี้พลับพลึงเรียนอยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอ เธอเรียนอยู่ปีที่สามแล้ว เหลือเวลาปีหน้าอีกปีเธอก็จะจบ ทำงานและมีชีวิตเป็นของตัวเองจริง ๆ เสียที
แต่พลับพลึงไม่ได้เรียนสาขานี้เพราะหนทางการเป็นนักออกแบบที่จะทำให้ชีวิตเธอดีขึ้นอะไรหรอก เธอเรียนสาขานี้เพราะความชอบและความสามารถด้านการออกแบบ อีกทั้งตัวพลับพลึงก็ทำอย่างอื่นไม่ถนัด มีแค่วาดภาพและตัดผ้าเย็บผ้านี่แหละที่ทำได้ไม่เป็นสองรองใครเลย
เธอไม่รู้หรอก ว่าความถนัดด้านนี้ได้มาอย่างไร แต่เท่าที่พ่อเล่า ตอนเด็ก ๆ พลับพลึงชอบไปแอบมองคุณย่า หรือมารดาของคุณท่าน ตัดเสื้อผ้าอยู่บ่อย ๆ เพราะสมัยก่อนคุณท่านเคยเปิดห้องเสื้อ ตัดเสื้อตัดสูท ตัดชุดสวย ๆ ขายให้คนในสมัยนั้น เห็นว่ามีชื่อเสียงมาก มีแต่คนมีชื่อเสียงมาสังตัดชุดด้วย แต่เมื่อท่านแก่ตัวลงก็ส่งต่อห้องเสื้อให้ลูกสาวทำต่อ และเพราะพลับพลึงแอบไปดูท่านอยู่บ่อยครั้ง ท่านจึงเอ็นดู และเรียกพลับพลึงเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ต่อจากนั้นมา พลับพลึงจึงได้กลายเป็นลูกมือคอยนั่งวัดความยาวของผ้า โตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มได้ใช้กรรไกรตัดผ้า และเริ่มใช้เครื่องเย็บผ้าเป็น
น่าเสียดายที่ท่านด่วนจากไปก่อนที่พลับพลึงจะมีความสามารถมากพอจะตัดชุดได้ แต่เพราะความเมตตาเหล่านั้น ทำให้พลับพลึงได้มีความสามารถด้านนี้ติดตัวมา จึงทำให้พลับพลึงตั้งใจว่าจะตอบแทนท่าน ด้วยการตั้งใจเรียนและดูแลหลานชายทั้งสองของท่านให้ดีที่สุด
"พลับพลึง ยังไม่เข้านอนอีกเหรอ"
เสียงเข้มดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดในยามกลางคืน ทำเอาร่างเล็กตกใจตัวโยก เพราะคิดว่าเป็นผีในบ้านหลังนี้ แต่เมื่อหันไปเห็นว่าเป็นคุณเกล้า เธอจึงยิ้มออกมาได้อย่างโล่งใจ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผีท่านเจ้าคุณต้นตระกูลของเจ้าของบ้านหลังนี้ ที่พลับพลึงไม่กล้าแม้แต่จะมองรูปภาพของท่าน
"ค่ะ พลับรอคุณเกื้ออยู่ ต้องรอปิดประตูบ้านด้วย"
"เห้ย ไอ้เกื้อนะไอ้เกื้อ ถ้าลำบากคนอื่นขนาดนี้ก็ปล่อยให้มันนอนสนามหญ้าหน้าบ้านเถอะ เราเองก็เหมือนกัน ตามใจมันจนมันเคยตัวเลย ไปนอนเถอะไป มีเรียนตอนเช้าไม่ใช่เหรอ"
คนอายุมากกว่าบอกให้น้องไปเข้านอน เพราะรู้ว่าพลับพลึงต้องไปเรียนตั้งแต่เช้า นี่ก็เป็นเวลาตีสองครึ่งแล้วและไม่รู้ว่าไอ้น้องตัวดีมันจะกลับมากี่โมง หรือหากไม่กลับก็จะกลายเป็นว่าพลับพลึงนั่งรอจนไม่ได้นอน ทำให้คนอื่นต้องเสียเวลาชีวิตโดยเปล่า
"ไม่หรอกค่ะคุณเกล้า จริง ๆ เวลานี้ก็ดีนะคะ พลับทำงานส่งอาจารย์เสร็จแล้วเพราะมันเงียบ แล้วเรื่องเรียนตอนเช้าไม่ต้องห่วงเลยค่ะ อาจารย์ยกเลิกคลาสเช้า พรุ่งนี้พลับมีแค่คลาสบ่าย ว่าแต่คุณเกล้าละคะ ตื่นเวลานี้มีอะไรให้พลับช่วยหรือเปล่าคะ"
พลับพลึงกล่าวแก้ความเข้าใจผิด และเลี่ยงปัญหาที่จะทำให้คุณเกื้อถูกคุณเกล้าตำหนิ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นไปถามถึงตัวคุณเกล้าเองซึ่งลงมาในเวลานี้
"พี่หิวน้ำ น้ำที่เราเตรียมไว้หมด ก็เลยลงมาเติม"
"ตายจริง งั้นเดี๋ยวพลับเอาไปเติมให้ค่ะ"
เมื่อพลับพลึงรู้เช่นนั้นเธอจึงรีบลุกขึ้น เพื่อที่จะนำขวดน้ำของคุณเกล้าเอาไปเติมน้ำที่ห้องครัวให้ เพราะคุณเกล้าเป็นคนที่ดื่มน้ำเก่งมาก ๆ ขนาดขวดน้ำที่เธอมักจะเติมให้ก่อนคุณเกล้าเข้านอน มีความจุถึงสองลิตรยังดื่มหมดทุกคืน แต่ร่างเล็กก็ถูกมือใหญ่คว้าข้อมือเอาไว้ เพราะไม่ต้องการให้พลับพลึงทำเช่นนั้น
"พี่ทำเองได้ ห้องครัวก็แค่นี้ เรานั่นแหละไปนอนได้แล้วพลับพลึง"
ชายหนุ่มกล่าวเสียงดุเล็กน้อย ทำเอาร่างเล็กหน้าจ๋อยเพราะใบหน้าเข้มของคุณเกล้า
"แต่..."
"ไม่มีแต่ ไปนอนได้แล้ว ไอ้เกื้อมันโตแล้ว ถ้ามันเดินขึ้นห้องตัวเองไม่ได้ก็ช่างหัวมัน ปล่อยให้มันนอนหน้าบ้านไปนั่นแหละ อีกอย่างบ้านนี้ติดกล้องวงจรปิด เรานั่นแหละ เพราะนอนน้อยแบบนี้ไงถึงได้ตัวเล็ก"
"คุณเกล้าอ่ะ"
"ไปได้แล้ว"
มือหนาดันหลังคนอายุน้อยกว่าให้กลับไปพักผ่อนได้แล้ว พร้อมยืนดูจนร่างบางลับตาไปทางบ้านพักคนงาน ส่วนเขาก็กำลังจะเดินไปล็อคประตูบ้านแต่ไอ้คนที่ทำให้คนอื่นต้องรอ ก็ขับรถเข้ามาในบ้านพอดี
"กลับมาได้แล้วเหรอ ไอ้เกื้อ"
"อ่าว พี่ชาย ยังไม่นอนอีกเหรอครับ"
แม้พี่ชายจะส่งสายตาและกล่าวเสียงดุ แต่กระนั้นชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ก็ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวแต่อย่างใด นั่นยิ่งทำให้เกล้ารู้สึกโกรธน้องชายของตัวเองเหลือเกิน
คงเป็นเพราะตัวเกล้าถูกคุณปู่และคุณย่าเลี้ยงดูตั้งแต่เกิด ซึ่งท่านทั้งสองค่อนข้างเข้มงวด จึงทำให้ขากลายเป็นคนมีระเบียบสูง ทำทุกอย่างตามแบบแผน ต่างจากเกื้อที่ถูกเลี้ยงโดยพี่เลี้ยง เพราะคุณปู่คุณย่าท่านเสียงไปก่อนเกื้อกูลจะเกิด ทำให้เจ้าคนเล็กของบ้านเป็นคนรักอิสระ ไม่ยอมทำตามใคร แต่บางทีเจ้าเกื้อก็คิดถึงแต่ตัวเองมากไปหน่อย โดยเฉพาะกับเรื่องของพลับพลึง
"อย่ามาเลี่ยงคำถามฉัน แกต่างหาก ทำไมกลับเวลานี้ รู้ไหมพลับนั่งรอตั้งนาน ฉันพึ่งให้น้องไปนอนเมื่อกี้นี้เอง"
"อ่าว ผมไม่นึกว่าพลับพลึงจะมานั่งรอ"
ชายหนุ่มแสดงใบหน้าตกใจเมื่อได้รู้ว่า เจ้าพลับพลึงต้องนั่งรอนานมากขนาดนั้น เพราะเขามัวแต่สนุกกับสาว ๆ หนุ่ม ๆ มากไปหน่อย อีกทั้งคนที่เกื้อกูลนัดไว้ไม่มาตามที่นัดกัน จึงไปต่อเรื่อย ๆ จนลืมนึกถึงพลับพลึง แม้เขาจะรู้ว่าเจ้าตัวเล็กทำหน้าที่ดูแลเขากับพี่ชายเป็นอย่างดี โดยที่ไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่ก็ไม่คิดว่าจะนั่งรอกันจนเกือบเช้าขนาดนี้
"งั้นต่อไปถ้าแกจะกลับดึก ไปต่อที่อื่นหรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ โทรมาบอกพลับด้วยเข้าใจไหม"
"ครับพี่ชาย รู้แล้วครับ ถ้าเทศนาเสร็จแล้ว นักรักขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ ฝันดี"
"พรุ่งนี้ตื่นไปเรียนด้วยนะเกื้อ เพื่อนรุ่นเดียวแกเขาจบทำงานไปหมดแล้ว ไม่เอาจบหกปีทั้งที่เรียนแค่บริหารนะ"
"ครับ เด็กชายเกื้อกูลรับทราบแล้วครับ คุณพ่อคนที่สอง"
ชายหนุ่มยกยิ้มกวนประสาทใส่พี่ชาย จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปห้องนอนของตัวเอง ก่อนจะถูกพี่ชายดุว่าอะไรอีก ฝ่ายเกล้ากานท์ได้แต่ส่ายศีรษะกับความเสเพลของน้องชาย แต่นั่นก็เปลี่ยนอะไรเกื้อกูล หิรันณุกุล ไม่ได้หรอก ต่อให้วิญญาณคุณปู่คุณย่ามาว่ากล่าวตักเตือนให้ เจ้าเกื้อก็คงเป็นแบบเดิม
แต่เมื่อเจ้าเกื้อหายเข้าห้องนอนของตัวเองไป สายตาของชายหนุ่มก็หันไปมองร่างเล็กที่แอบมองอยู่ข้างนอก ทั้ง ๆ ที่พลับพลึงควรจะไปนอนได้แล้ว แต่ก็คงกลับมาดูว่าเกื้อกูลถึงบ้านโดยปลอดภัยหรือเปล่า ก็ไม่แปลกใจหรอก.....เพราะสายตาพลับพลึงมักจะมองหาแต่เกื้อกูลอยู่เสมออยู่แล้ว....
ชายหนุ่มถอนหายใจพร้อมหันกลับไปล็อคประตูบ้าน จากนั้นก็ขึ้นนอนและไม่พยายามคิดเรื่องเจ้าตัวเล็กอีก