[Part Plernta]
10:30 น.
ฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้นพร้อมความสดชื่นและรอยยิ้มสดใสบนที่นอนนุ่มนิ่มในบ้านของคนที่ฉันไม่คิดว่าจะอาจเอื้อมถึง ยกแขนบิดขี้เกียจไปมาก่อนจะดีดตัวขึ้นนั่ง ฉันรู้ว่าถูกเคลื่อนย้ายตั้งแต่ตอนที่ตื่นกลางดึกช่วงตีสองกว่านั้นแล้ว
หลังจากนั้นก็หลับสนิทไปอย่างมีความสุข เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ใจร้ายทิ้งฉันไว้ด้านล่าง
แถมยังได้นอนบนเตียงเขาด้วยนะ ในเมื่อฉันมีโอกาสมากว่าคนอื่น ก็ลองดูสักตั้ง ผลลัพธ์มีแค่สองอย่างเอง ไม่เจ็บเจียนตายก็สำลักความสุขจนตาย
ฉันกวาดสายมองไปรอบๆ แต่กลับไร้วี่แววของคนในความคิด…
เท้าเล็กทั้งสองถูกหย่อนลงข้างเตียงสวมสลิปเปอร์คู่เดิมของเขาและเดินลงไปข้างล่างแต่ก็ไม่เห็น สำคัญคือรถไม่อยู่ด้วย เขาออกไปข้างนอกโดยไม่ปลุกฉันเลยเนี่ยนะ ใจร้ายชะมัด…
ฉันหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าสะพายที่ยังถูกทิ้งอยู่บนโซฟาด้านล่างเพื่อที่จะโทรหาเจ้าของบ้าน
ปรากฏว่าหน้าจอดำมืดเลย กรรม…เมื่อคืนลืมชาร์จแบต สุดท้ายฉันได้กลับขึ้นมาเสียบชาร์จมือถือด้านบน แล้วก็ทำได้แค่รอ…รอจนกว่าเครื่องจะติดขึ้นมาอีกครั้ง
ผ่านไปสักพัก หน้าจอมือถือก็เริ่มมีแสงสว่าง ฉันจึงเป็นตอนที่ฉันยกหูต่อสายหาเขา
แต่เขาทิ้งให้ฉันรอจนสายถูกตัด ก่อนจะแทรกขึ้นมาด้วยเสียงรถเคลื่อนเข้ามาจอดด้านใน
ฉันละความสนใจจากมือถือและรีบวิ่งลงมาด้านล่างทันที หยุดยืนฉีกยิ้มกว้างตรงบันไดขั้นสุดท้ายก่อนจะเอ่ยถามขณะที่เขาก้าวพ้นประตู
“ไปไหนแต่เช้าคะ”
“ถามเหมือนเป็นแม่ฉันเลยนะ”
“อุ๊ย…” หุบยิ้มแทบไม่ทัน ใครแอบเอาของหวานให้เขากินนะ
เจ้าของใบหน้าหงุดหงิดเดินตรงไปยังโซนที่มีไว้สำหรับปรุงอาหารด้านในสุด ฉันลอบมองตามและยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อคิดอะไรดีๆ ออก
“เป็นอย่างอื่นแทนได้ไหมคะ”
“หมา?” เขาสวนกลับแบบไม่มีการไตร่ตรองขณะเปิดก๊อกน้ำล้างมือ
“เฮียอะ…หุ!” พอ…จบเลย จะยัดเหยียดให้เป็นให้ได้เลยใช่ไหม หมาน้อย เนี่ย…
“ฉันจะไปรอที่รถ รีบๆ เลย” ไม่เพียงแต่ออกคำสั่ง พอเช็ดมือเสร็จ เขาก็สาวเท้ากลับไปทางเดิมทั้งที่เพิ่งจะเข้ามาได้ไม่ถึงห้านาที
“ค่าาาาา…”
ฉันตอบรับลากเสียงยาวเหยียดพลางทำหน้าล้อเลียนคนเจ้าอารมณ์และรีบก้าวขึ้นบันไดไปเอามือถือ รวมถึงคว้ากระเป๋าสะพายบนโต๊ะอย่างเร่งรีบ เพราะคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเบิ้นเครื่องรอแล้ว
บ้าจริง…จะรีบไล่อะไรขนาดนั้น รู้งี้เรียกรถกลับเองตั้งแรกซะก็ดี
พอประตูรถถูกเปิด แทนที่จะเข้าไปนั่งได้เลย แต่ฉันต้องชะงักเพราะมีถุงกระดาษใบใหญ่วางอยู่บนเบาะ ซึ่งเจ้าของรถก็ไม่คิดจะหยิบออกให้ด้วยนะ
สุดท้ายฉันต้องหยิบมันขึ้นเพื่อที่จะหย่อนก้นนั่งและวางมันไว้บนตักแทน
หลังจากที่รถเคลื่อนตัวออก ฉันเพิ่งสังเกตว่าในถุงมีขนมเค้กหลากสีหน้าตาไม่เลว แถมยังเรียกน้ำย่อยได้ดีมากอีกด้วย
“เค้กเยอะแยะเลย เฮียกินหมดเหรอ” ฉันเปรยพลางเหล่มองเจ้าของขนมเล็กน้อย
“ฉันไม่กินของหวาน” เข้าทางสิ…แต่เขาทำถูกแล้วที่ไม่กินของหวาน ขนาดไม่กินยังดุขนาดนี้ แล้วถ้ากินละ
ฮึ่ย…ขนลุกรอเลยฉัน
“แล้วซื้อมาทำไมคะ”
“จะเอาไปให้หมา” เขาตอบขณะรถหยุดติดไฟแดง
“หมากินของหวาน เดี๋ยวก็ดุเหมือนเฮียหรอก” ฉันก้มลงพึมพำกับเค้กหลายกล่องบนตัก นี่มันเค้กคนไม่ใช่เค้กหมาซะหน่อยหรือของหมาวะ…ฉันตั้งใจหยิบเค้กหนึ่งกล่องขึ้นมาดูอย่างถี่ถ้วนอีกที
“หื้ม…” เสียงครางท้วงในลำคอส่งผลให้ฉันเงยขึ้นมองและวางเค้กลงที่เดิม กลอกตาไปมาเล็กน้อยก่อนจะตอบเฉไฉ
“หมามันกินของหวานไม่ได้สักหน่อย”
“จะกินก็เอาไป”
“จริงเหรอ เอาไปได้กี่อันคะ” ฉันถามเสียงใสพลางก้มเลือกเค้กในถุง
“....” ได้ยินแต่เสียงหัวเราะหึในลำคอ ก่อนรถจะเคลื่อนตัวอีกครั้ง และฉันยังง่วนอยู่กับการเลือกเค้กในถุง คือมันน่ากินทุกอันเลย รักพี่เสียดายน้อง
“เลือกไม่ได้ก็เอาไปหมดนั่นแหละ”
“ได้เหรอคะ ขอบคุณค่ะ” ฉันรีบกอดถุงเค้กไว้แน่นกลัวเจ้าของจะเปลี่ยนใจ
“เออ…” ฉันหันไปหาเฮียฟิวส์ท่าทางจริงจังเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น “เพลินถามถึงเรื่องเมื่อคืนได้ไหม”
“เรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ต้องรู้” ประโยคเดียวตัดจบทุกคำถาม
“ก็ได้” ลมหายใจถูกพ่นทิ้งก่อนจะหันกลับมามองตรง
“แล้วก็ห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร” ไม่ต่างจากที่คิด กะแล้ว…ว่าเขาต้องพูดแบบนี้
“เรื่องไหนบ้างคะ” ฉันถามเสียงอ่อยพลางทิ้งน้ำหนักทั้งหมดไปที่พนักพิงเบาะ ความจริงก็เหมือนจะรู้คำตอบอยู่แล้วนะ ถามไปงั้นแหละ…เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับฉัน” ตอนทำข้อสอบถ้าเดาเก่งแบบนี้คงท็อปทุกวิชา ฉันเลื่อนมองออกนอกกระจกทันทีที่เขาพูดจบ
“ค่ะ” เผลอกระแทกเสียงใส่เขาทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่สมควร ไม่มีสิทธิ์ ไม่อยู่ในสายตา ไม่ใช่คนที่ถูกเลือกด้วย คาดหวังเกินไปอีกแล้วฉัน
บางทีก็เหมือนจะดี บางทีก็เหมือนจะดิ่งลงเหว