[Part Plernta]
วันต่อมา….
11:30 น.
“รับไหม”
“...” ฉันส่ายหน้าไปมาอย่างเชื่องช้าปฏิเสธคำถามของมิณ พลางพ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูก ขยับแขนกอดกระเป๋าเป๋ที่สะพายไว้ด้านหน้าแน่น สายตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอมือถือที่ปรากฏประวัติแชทถูกส่งไปตั้งแต่ช่วงบ่ายของเมื่อวาน หลังจากที่ก้าวลงจากรถเขา ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ อย่าว่าแต่ตอบเลย แม้แต่เครื่องหมายแสดงว่าอ่านยังไม่มี
มาถึงตอนนี้ที่ฉันกระหน่ำโทรเป็นสิบสายก็ถูกปล่อยให้รอจนถึงบริการฝากข้อความ แม้แต่เพื่อนรักอย่างคุณหมอไวน์ก็ถูกเมิน
มิณเอื้อมมือมาวางบนไหล่และออกแรงตบเบาๆ เพื่อปลอมประโลมคนที่กำลังสับสนอย่างฉัน
เอาจริงๆ สมองฉันแบลงค์มาก มันไม่มีอะไรอยู่ในนั้นสักอย่าง ไม่มีทั้งเหตุผลและข้ออ้าง ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร ไม่รู้ว่าฉันทำอะไรผิด เพราะตอนที่เราจากกันเมื่อวานก็ยังปกติดี
ภาพเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ถูกรันใหม่อีกครั้งอย่างถี่ถ้วน เพื่อย้อนคิดว่าจุดไหนที่ฉันพลาดพลั้ง แต่ปรากฏว่ามันดีไปหมด
เขายังยิ้มให้ฉันถึงมันจะเป็นแค่ยิ้มมุมปาก ฉันยังได้เข้าไปในบ้าน ถึงจะไม่เต็มใจแต่เขาก็ไม่ได้ไล่ เขาฉันอุ้มฉันขึ้นไปนอนบนเตียงทั้งที่มันดูเป็นของส่วนตัวที่เขาน่าจะหวงมากๆ
แล้วสาเหตุที่อยู่ๆ เขานิ่งเงียบไปมันคืออะไร…
ไม่นานคุณหมอไวน์ก็เดินมาหยุดตรงหน้าฉัน
“มันอ่านไลน์อยู่ เดี๋ยวคงตามไปแหละ” เขาว่า คล้ายกับอยากให้ฉันสบายใจ แต่เขาจะรู้ไหมนั้นยิ่งตอกย้ำว่าเขาเลือกที่ปฏิบัติ และฉันไม่ได้ถูกเลือก
จะร้องแล้วนะ…ฉันกดล็อกหน้าจอมือถือแล้วก้มหน้างุดกับกระเป๋าใบเดียวที่ดูเหมือนจะปลอบฉันได้ดีที่สุดในตอนนี้
ก่อนที่ฝ่ามือหนาของคุณหมอไวน์จะวางลงบนหัวและลูบอย่างแผ่วเบา
“สดใสเข้าไว้” เขาพูดขณะโน้มตัวให้อยู่ระดับเดียวกับฉัน
“....” ถ้าเฮียฟิวส์ไม่ให้ความหวัง ความรู้สึกแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย จริงๆ นะ
“เดี๋ยวมันก็ตามไป เชื่อฉัน” พูดจบเขาก็ดึงตัวขึ้นตรงและเดินไปขึ้นรถแวนวีไอพีสีดำสุดหรูของทางบ้านรุ่นพี่ยูตะที่เตรียมสำหรับออกเดินทางวันนี้
แน่นอนว่าทุกคนรู้หมดแล้วว่าฉันรู้สึกยังไงกับเฮียฟิวส์ ที่ไม่รู้คือเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราและฉันรับปากกับเฮียฟิวส์ไว้แล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้…
ไม่ว่าทุกคนจะซัพพอร์ตฉันมากแค่ไหน ดูเหมือนปลายทางก็ยังริบหรี่ อารมณ์แบบเมื่อวานมันเข้าใกล้จนคิดว่าจะถึงแล้ว แต่พอตื่นมาจุดหมายดันเป็นอีกซีกโลก
ฉันสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะก้าวเดินตามคุณหมอไวน์ไปขึ้นรถ โดยมีเพื่อนรักอย่างมิณเดินเกาะไหล่ไม่ยอมปล่อย
ก็รู้สึกเฟลแหละ…แต่พอขึ้นรถมาเห็นทุกคน ฉันก็ปรับอารมณ์และแจกจ่ายยิ้มให้ทั่วทั้งคัน ไม่อยากให้พวกเขาก็จะไม่สนุกไปด้วย อุตส่าห์ได้สิทธิพิเศษทั้งที คิดในแง่ดี…คนที่เดี๋ยวดีเดี๋ยว
ร้ายอย่างเขาก็คงตามไป ตอนนี้อาจจะอารมณ์เสียกับอะไรสักอย่างอยู่ก็เป็นได้
ฉันเดินไปนั่นเบาะเดียวแถวที่สองฝั่งซ้าย เพราะดูน่าจะเหมาะสมที่สุด ในรถคันนี้มี พี่โรสกับรุ่นพี่ธาม มิณกับรุ่นพี่ยูตะและคุณหมอไวน์ กับคุณลุงคนขับ ส่วนคนอื่นๆ น่าจะขับรถส่วนตัวไปเอง
ตลอดทางฉันยังเปิดเช็กแชทเป็นระยะ หวังว่ามันจะขึ้นอ่านในครั้งใดหนึ่ง แต่ไม่เลย…
13:35 น.
@ลานกางเต็นท์
พอรถเลี้ยวเข้ามาภายในลานกางเต็นท์จนเกือบถึงด้านในสุด ฉันก็เห็นว่าคุณวาโยกับพี่เฌอกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์อยู่กลางลานแล้ว
และทันทีที่รถจอดสนิท คุณหมอไวน์เป็นคนแรกที่เปิดประตูแล้วโดดลงจากลงไปบิดเนื้อตัวบรรเทาความเมื่อยอยู่ด้านล่าง ตามด้วยคนอื่นๆ และฉันลงเป็นคนสุดท้าย
ฉันสูดอากาศบริสุทธิ์โดยลอบเข้าสู่ปอดแบบเต็มเหนี่ยว ถึงแม้จะเป็นช่วงบ่ายแต่ที่นี่ยังปกคลุมไปด้วยไอหมอกจางๆ ด้วยความที่มันอยู่สูงเหนือน้ำทะเลกว่าพื้นที่ปกติ แต่ก็ไม่มากจนอับสัญญาณ ประกอบด้วยไม่ใช่วันหยุดยาวคนเลยไม่พลุกพล่าน ถือเป็นอะไรที่เพอร์เฟกต์สุดๆ
ตอนนี้ฉันคงต้องพักเรื่องของเฮียฟิวส์ไปก่อน เพราะมีภารกิจที่สำคัญมากรออยู่
ได้เวลากางเต็นท์...
“ตรงนี้เป็นของเต็นท์ใหญ่สองหลังนะ” คุณวาโยพูดขึ้นพร้อมกับชี้บริเวณที่ตัวเองยืนอยู่
“แล้วของผมล่ะ” รุ่นพี่ธามเอ่ยถามขณะหยิบถุงเต็นท์ของตัวเองไปถือไว้ในมือ
“มุมซ้าย หรือขวา เลือกเอา เต็นท์เล็กสองหลังอยู่ตรงนั้น” สิ้นเสียงคุณวาโย รุ่นพี่ธามโยนสิทธิ์มาให้ฉันเป็นคนเลือกก่อน เพราะเต็นท์เล็กสองหลังที่คุณวาโยพูดถึง หนึ่งในนั้นเป็นของฉัน
“เพลินได้หมด” พอฉันตอบออกไปแบบนั้น คุณหมอไวน์ก็ดึงไหล่รุ่นพี่ธามไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง ซึ่งฉันพยายามจะเงี่ยหูฟังแต่มันเบาจัดจนฉันไม่ได้ยิน
ประเด็นคือสายตารุ่นพี่ธามบ่งบอกว่ามีฉันอยู่ในประโยคของคุณหมอไวน์เพราะวูบหนึ่งเขาเหลือบมอง
หลังจากที่คุณหมอไวน์ปล่อยรุ่นพี่ธามเป็นอิสระ เขาก็เลือกสถานที่นอนให้ฉันทันที
“งั้นเธอไปมุมขวาเลย”
ฉันหันไปมองตำแหน่งที่เขาระบุให้ ซึ่งมันอยู่คนละฝั่งกับเต็นท์ใหญ่และดูจากองศา เต็นท์น่าจะหันหน้าออกไปด้านนอก เห็นวิวเขา ฉันคิดว่ามันสุดยอดเลยนะตรงนั้น
ทำไมเขาเลือกให้ฉันละ…ถึงจะสงสัยแต่ก็พยักหน้ารับ และเริ่มขนของอย่างเร่งรีบ ด้วยเวลาที่มีจำกัด เดี๋ยวต้องมาเตรียมอาหารก่อนฟ้าจะมืดอีก
ที่นี่มีไฟฟ้าและสัญญาณอินเทอร์เน็ตปกตินะ แต่ดูจากไฟที่มีอยู่ไม่น่าจะสว่างจนทำอะไรได้สะดวกเหมือนอยู่บ้าน
“เดี๋ยวกูไปช่วย” มิณว่าพลางยกแขนพาดคอฉันขณะเดินไปจุดที่จะกางเต็นท์ของตัวเอง
“แล้วเต็นท์มึงอะ”
“นั้นไง เฮียวาโยกับเฮียยูตะจัดการแล้ว” มันพยักพเยิดหน้าไปอีกทาง ส่งผลให้ฉันต้องชะลอฝีเท้าลงและมองตาม เห็นเต็นท์หลังใหญ่สีครีมยี่ห้อดังที่ตอนนี้ถูกดึงตั้งเป็นรูปร่างแล้ว สำคัญคือมันสามารถกั้นห้องแยกได้เป็นสองห้อง คู่รุ่นพี่ยูตะกับคู่พี่ชายตัวเองนอนด้วยกัน งั้นอีกหลังก็ต้องเป็นคู่ของคุณแม็กซ์กับคุณหมอไวน์ ซึ่งความจริงเขาต้องนอนกับเฮียฟิวส์ คนที่ไม่ว่าฉันจะวุ่นวายแค่ไหนก็ยังแวบเข้ามาในหัวได้ตลอดเวลา