ตอนที่ 1 โสดอีกนาน
“คุณพ่อคุณแม่ขา หนูมาแล้วค่า”
เจด้าสาวสวยวัยยี่สิบเอ็ดปีเรียกพ่อกับแม่เสียงดังพร้อมกับวิ่งพุ่งไปกระโดดกอดผู้เป็นพ่ออย่างอารมณ์ดีจนเจไดถึงกับเซถอยหลังเมื่อโดนลูกสาวพุ่งกระโดดกอดแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ก็รีบอ้าแขนรับกอดลูกสาวโดยไม่บ่นให้สักคำจนมิรินผู้เป็นแม่ได้แต่หัวเราะชอบใจกับความซนของลูกสาวเพราะเจด้านั้นถอดแบบนิสัยเธอมาเป๊ะๆ จนสามีเธอนั้นทั้งรักทั้งหวงลูกสาวไม่น้อย
“โตเป็นสาวจนเรียนปีสามแล้วยังกล้ากระโดดกอดพ่ออยู่หรอ หืมม”
เจไดพูดแซวลูกสาวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลยค่ะ ต่อให้หนูอายุสามสิบหนูก็จะกอดพ่อเหมือนเดิม คุณพ่อทั้งหล่อทั้งตัวหอมได้กอดแล้วรู้สึกดี๊ดี อิอิ”
เจด้าพูดเชิงเล่นๆ ด้วยรอยยิ้มจนผู้เป็นพ่อนั้นหลุดขำเมื่อโดนลูกสาวชมต่อหน้าตรงๆ
“ให้มันน้อยๆ หน่อยค่ะลูกสาว เมียเค้ายืนอยู่นี่ทั้งคนนะจ้ะ”
มิรินพูดเชิงแกล้งลูกสาวจนเจด้านั้นหันไปยิ้มให้ผู้เป็นแม่
“แหม นี่ลูกสาวเองนะคะคุณแม่ หวงไม่ได้นะคะ อิอิ ว่าแต่เจเดนกับน้องเปรี้ยวยังไม่มาหรอคะ”
เจด้าเอ่ยถามหาเจเดนที่เป็นฝาแฝดตัวเองกับเปรี้ยวน้องรักของเธอที่ตอนนี้พ่วงตำแหน่งน้องสะใภ้เธอเรียบร้อยเพราะเจเดนนั้นกำลังคบกับเปรี้ยวอยู่
“มาแล้วจ้า อยู่ในครัวนุ่น พอดีแม่อยากกินเกี๊ยวน้ำฝีมือหนูเปรี้ยว หนูเปรี้ยวก็เลยทำให้โดยมีเจเดนเป็นลูกมือ เจ้าแฝดเราน่ะช่วงนี้ติดเมียมากเลยนะ”
มิรินพูดพูดแซวลูกชายให้เจด้าฟังเพราะเวลาเจเดนอยู่กับคนอื่นนั้นยังนิ่งขรึมดุร้ายแต่เวลาอยู่กับเมียกลับเป็นคนละคนทั้งพูดเพราะ ทั้งขี้อ้อน แถมตีมึนจ้องจะหาเรื่องกินเมียตลอด
“คลั่งรักจริงๆ ไอ้แฝด อิอิ”
เจด้าพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“เจเดนมีแฟนไปแล้วหนึ่งคน แล้วเจด้าล่ะลูกยังไม่เจอคนที่ใช่หรอจ้ะ”
มิรินเปลี่ยนเรื่องมาถามลูกสาวเพราะเธอไม่เคยเห็นเจด้าเปิดตัวคบใครเลยสักคน หรือเรียกได้ว่าเจด้านั้นไม่เคยมีแฟนเลยด้วยซ้ำ มีคนมาจีบเธอมากมายแต่กลับไม่มีใครกล้าลุยต่อเพราะกลัวด่านเคราะห์ที่รออยู่
“ไม่มีแฟนก็ไม่เห็นเป็นไรนิ แฟนหาตอนไหนก็ได้แต่เรื่องเรียนสำคัญกว่า”
มิรินถึงกับหันไปมองค้อนใส่เจได เมื่อสามีนั้นพูดด้วยน้ำเสียงหวงลูกสาว และด่านเคราะห์ที่หนุ่มๆ ไม่กล้าเข้ามาจีบเจด้าเพราะไม่กล้าเข้าหาพ่อของเจด้าและเจเดน เวลาที่มีคนมาจีบเจด้ามักจะบอกผู้ชายที่มาจีบเสมอว่าถ้ากล้าเข้าไปคุยกับพ่อและแฝดของเธอ เธอก็จะยอมคุยด้วย หนุ่มๆ จึงถอยกันเป็นแถบเพราะแค่เข้าไปคุยกับเจเดนยังโดนเจเดนทำเสียงดุใส่อย่างไม่เป็นมิตรเลยคิดว่าพ่อก็คงดุไม่ต่างจากเจเดนจึงไม่มีใครผ่านด่านเลยสักคน และที่เจด้าตั้งกฎแบบนี้ขึ้นมาเพราะหนุ่มๆ พวกนั้นก็ไม่ใช่คนที่เธอชอบ จึงหาข้ออ้างเพื่อให้พวกเขาเลิกยุ่งกับเธอซึ่งมันก็ได้ผล เพราะใครที่คิดว่าตัวเองใจกล้าเดินเข้าไปทักทายเจเดนก็โดนเจเดนทั้งเมินทั้งด่ากลับมาจนหน้าหงอยกันเป็นแถบ
“แหม หวงจังเลยนะคะ ลูกขึ้นปีสามแล้วปล่อยลูกได้แล้วค่ะคุณพ่อ”
มิรินพูดแซวสามีเมื่อเห็นท่าทีห่วงลูกสาวของเขา ส่วนเจด้าก็ได้แต่หลุดขำออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นพ่อกับแม่พูดหยอกล้อกันซึ่งเป็นเรื่องปกติของครอบครัวเธอ
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณพ่อ ตอนนี้หนูยังไม่เจอคนที่ชอบเลยเพราะฉะนั้นหนูยังอยู่เป็นสาวโสดคอยอ้อนคุณพ่อแบบนี้ไปอีกนานค่า ไปกินข้าวกันดีกว่านะคะ”
เจด้าพูดกับผู้เป็นพ่ออย่างออดอ้อนจนเจไดได้แต่ยิ้มให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยน เมื่อเจด้าชวนไปกินข้าว มิรินจึงขึ้นไปตามเจเดนและเปรี้ยวบนบ้าน เนื่องจากวันนี้เป็นวันรวมครอบครัวเจด้าและเจเดนจึงมากินข้าวเย็นกับพ่อแม่ที่บ้านใหญ่ เจด้าและเจเดนนั้นเรียนคณะวิศวะทั้งคู่แต่คนละสาขาโดยเจเดนเรียนสาขาวิศวกรรมยานยนต์แต่เจด้านั้นเรียนสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ซึ่งทั้งคู่ก็อยู่ปีสามแล้ว ถึงทั้งสองจะเป็นฝาแฝดกันแต่นิสัยกับต่างกันสิ้นเชิงเพราะเจเดนแฝดชายนั้นมีนิสัยดุร้าย เย็นชา ไม่ค่อยผูกมิตรกับใครแต่เจด้ากลับมีนิสัยร่าเริง อัธยาศัยดี พูดเก่ง แต่ก็เป็นแค่กับบางคนเท่านั้น เพราะถ้าเธอไม่ชอบใครก็จะนิสัยไม่แตกต่างจากเจเดนเลยทั้งดุ ทั้งไม่กลัวใคร เรียกได้ว่ากล้าท้ากล้าชนไม่สนว่าใครเป็นใครเพราะตัวเธอเองก็เรียนการต่อสู้มาเหมือนกัน นอกจากเจด้าจะมีเอวาและดารินลูกพี่ลูกน้องที่สนิทจนรู้ใจทุกอย่างก็ยังมีวุ้นเส้นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่มามหาลัยด้วยกัน เมื่อเจด้ากินข้าวกับครอบครัวเสร็จแล้วก็ไปทำงานที่ผับของตัวเองที่มีหุ้นส่วนสามคนก็คือเจเดนและเอวา ถึงเจด้าจะเป็นคนขี้เล่นแต่เวลาทำงานเธอก็จริงจังจนลูกน้องต่างพากันกลัวไม่ต่างจากกลัวเจเดนเลยทีเดียว
“เฮ้ออ! เมื่อยชะมัด ไอ้แฝดนะไอ้แฝด พอมีเมียนี่ข้ออ้างเยอะจริงๆ เล่นเอาซะเกือบเช้าเลยเนี่ย”
เจด้าบ่นให้เจเดนเมื่อโดนเจเดนโยนงานให้ทำ ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบทำอะไรค้างคาเจด้าจึงเคลียร์งานทั้งของตัวเองและงานของเจเดนในวันเดียวกว่าจะเสร็จก็เกือบตีห้าแล้วโชคดีที่เป็นวันอาทิตย์เธอจึงไม่กังวลเรื่องไปเรียนและอีกอย่างเจด้าก็พึ่งย้ายมาอยู่คอนโดใหม่ที่อยู่ใกล้ทั้งผับและมหาลัยมากกว่าเดิม เมื่อทำงานเสร็จแล้วเจด้าจึงขับรถกลับคอนโดทันทีแต่ระหว่างที่ขับรถมาแถวสวนสาธารณะใกล้คอนโดก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ดีๆ รถเธอก็กระตุกดับขึ้นมากะทันหัน
“เป็นอะไรอีกเนี่ย โอ๊ย! คนยิ่งง่วงนอนอยู่”
เจด้าพูดขึ้นอย่างหัวเสียเมื่ออยู่ดีๆ รถก็เสียกลางทางจึงลงไปดูหน้ารถก็เห็นควันนั้นออกมาจากตัวเครื่อง เจด้าจึงโทรบอกราชันย์ลูกพี่ลูกน้องของเธอผู้เป็นพี่ใหญ่ของเหล่าห้าพี่น้องให้ส่งช่างมาดูรถให้ เมื่อคุยกับราชันย์เสร็จเจด้าก็เดินไปหาที่นั่งรอใกล้ๆ รถ เพราะราชันย์บอกว่าช่างออกมาแล้ว แต่ขณะที่เจด้ากำลังจะเดินไปนั่งตรงม้านั่งตรงสวนสาธารณะก็ต้องหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนร้องขอความช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ
“เช้ามืดแบบนี้ยังมีขโมยอีกหรอเนี่ย ขยันตื่นแบบนี้ทำไมไม่ไปหาสมัครงานทำเลยล่ะยะ”
เจด้าบ่นพึมพำอย่างอารมณ์ไม่ดีเพราะอารมณ์เสียที่รถพังอยู่แล้วจึงพาลต่อไปอีก เมื่อเห็นขโมยกำลังถือกระเป๋าที่ขโมยวิ่งมาทางเธอเจด้าจึงถอยหลัง เธอไม่ได้ถอยหลังเพื่อจะหนีแต่กลับถอยหลังตั้งหลักเพื่อหาจังหวะเข้าหาขโมย
พลั่ก!
“โอ๊ยย!”
ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เป็นขโมยถึงกับร้องเจ็บเซล้มลงพื้นอย่างแรงเมื่อโดนเจด้ากระโดดถีบกลางหน้าอกเต็มๆ
“ร่างกายก็สมบูรณ์แข็งแรงดีแต่หากินแบบนี้ไม่ดีเลยนะยะ”
เจด้าพูดขึ้นเสียงแข็งหลังจากถีบขโมยจนล้มแล้ว
“แม่ง! มึงเป็นใครมาเสือกอะไรดะ...โอ๊ย!”
เจด้าไม่รอให้ขโมยได้ด่าเธอจบก็เตะเสยปลายคางจนขโมยนอนหงายหลังลงพื้นอีก จากนั้นเจด้าก็ยืนกระทืบขโมยคนนั้นซ้ำๆ โดยไม่ใช้มือและไม่เปิดโอกาสให้ขโมยได้ลุกขึ้นเลยสักครั้งจนสุดท้ายขโมยคนนั้นก็สลบไป จากนั้นเจด้าจึงเดินไปหยิบกระเป๋าคืนเจ้าของแล้วบอกให้เธอแจ้งความแล้วเดินมานั่งรอบริเวณใกล้ๆ เพื่อรอช่างมาดูรถ โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังมีสายตาคู่หนึ่งยืนดูการกระทำของเธอตั้งแต่แรกจนจบ
“เป็นผู้หญิงแต่เตะผู้ชายตัวใหญ่จนสลบ หึ ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัวชะมัด”